Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 107

№ 107 หลงหัวปักหัวปำ!

นึกถึงตรงนี้ ฝีเท้าเขาก็เดินตามไปอย่างไม่รู้ตัว

เฟิ่งชิงเกอด้านหลังเห็นท่าทางเขา ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ สายตามองไปยังรถม้าธรรมดาๆ คันนั้นแวบหนึ่ง แล้วเคลื่อนก้าวเดินหน้าตามไปด้วย

ด้านนั้น กวนสีหลิ่นมาถึงข้างรถม้า ยื่นชงโหยวปิ่งชิ้นหนึ่งให้เหลิ่งซวง “ข้าให้เจ้า มีซุปถั่วเขียวด้วย เจ้าไม่กินตอนยังร้อนๆ เสียก่อนเล่า แล้วพวกเราค่อยเดินทาง”

เหลิ่งซวงมองเขาแวบหนึ่ง ยื่นมือรับไว้ เอ่ยปากขอบคุณ

ขาข้างหนึ่งก้าวขึ้นรถม้า มือหนึ่งแหวกผ้าม่านออกจะเข้าไป พลางเอ่ยว่า “เสี่ยวจิ่ว ชงโหยวปิ่งยังอุ่นๆ ท่านลุงบอกว่าทานกับซุปถั่วเขียวจะรสชาติดีมาก ดังนั้นข้าเลยเอากลับมาให้พวกเจ้าคนละชุด”

เฟิ่งจิ่วด้านในรถม้ายื่นมือรับชงโหยวปิ่งกับซุปถั่วเขียวมา กล่าวทั้งอมยิ้มกริ่มว่า “ซุปถั่วเขียวนี่! ข้าไม่ได้กินมาตั้งนานแล้ว พอดีเลย ท่านพี่ ขอบคุณนะ”

“เหอะๆ ขอบคุณอะไรกัน เจ้าชอบก็ดีแล้ว ทีหลังพวกเราค่อยซื้อตัวสาวใช้กลับไปสักสองสามคน ให้พวกนางปรนนิบัติเจ้า คอยทำอาหารดีๆ ให้” อยู่ด้วยกันมานานเพียงนี้ จึงรู้ว่านางชอบอาหารอร่อยๆ เป็นที่สุด

“ได้สิ”

เธอยิ้มรับ เห็นเขากลับมานั่งในรถม้า ก็ถอดผ้าคลุมหน้าออก ขณะที่กำลังเตรียมจะกัดชงโหยวปิ่งสักคำ พลันได้ยินเสียงหนึ่งที่ไม่นับว่าไม่คุ้นหูดังมาจากด้านนอกรถม้า

“คุณหนูกวน ข้าน้อยมู่หรงอี้เซวียน”

คุณหนูกวน? เรียกใครน่ะ?

เฟิ่งจิ่วด้านในรถม้างุนงงเล็กน้อย หันมองไปทางพี่ชายคนข้างกายที่ตกตะลึงเช่นกัน ไต่ถามอย่างไร้เสียงว่า ‘เกิดอะไรขึ้น?’

กวนสีหลิ่นกัดชงโหยวปิ่งไปคำหนึ่ง บอกว่า “เจอกันตอนที่เพิ่งซื้อของน่ะ ชื่อมู่หรงอี้เซวียน บอกว่าครั้งก่อนเคยล่วงเกินเจ้าที่หมู่บ้านป่าหินอะไรนี่แหละ จึงอยากพูดขอโทษเจ้า”

พูดถึงตรงนี้ เขาก็รำคาญนิดหน่อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าบอกเขาแล้วว่าไม่ต้อง เขายังตามมาอีก ไม่รู้จริงๆ ว่าคิดอะไรอยู่!”

“ข้าลองลงไปดูเสียหน่อยดีกว่า!” เขาวางชงโหยวปิ่งในมือลง ขณะที่กำลังเตรียมจะแหวกผ้าม่านเพื่อกระโดดลงรถ ก็หันกลับไปทันควัน บอกกับเฟิ่งจิ่วว่า “เสี่ยวจิ่ว เจ้าผูกผ้าคลุมหน้าไว้นะ”

แผลเป็นบนใบหน้าเสี่ยวจิ่วยังไม่หาย พอออกมาด้านนอก ก็มักจะผูกผ้าคลุมหน้าไว้เสมอ เขาไม่หวังให้คนอื่นมองนางด้วยสายตาที่มีอคติ หลังจากเห็นใบหน้าที่โดนกรีดรอยนั้น

“อืม” เฟิ่งจิ่วยิ้มพลางผูกผ้าคลุมหน้าขึ้น สงสัยนิดหน่อย ว่ามู่หรงอี้เซวียนผู้นี้คิดจะทำอะไร?

เวลานี้มู่หรงอี้เซวียนที่รออยู่นอกรถม้าใจร้อนรนอยู่เล็กน้อย ฝ่ามือล้วนมีเหงื่อผุดไหลออกมาบ้าง ก่อนจะมองไปที่รถม้าอย่างตั้งตารอคอย ‘นางจะเปิดม่านไหมนะ? นางจะจำการพบกันทั้งสองครั้งสองคราได้หรือไม่?’

เมื่อเหลิ่งซวงที่นั่งคุมรถม้าอยู่ด้านนอกเห็นท่าทางบนใบหน้าของมู่หรงอี้เซวียนมีความเฝ้ารอ ก็ยู่คิ้วเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ และมองเขาด้วยความสงสัยอยู่บ้าง

มู่หรงอี้เซวียนผู้นี้คิดจะทำอะไร? ตามที่นางรู้มา เขาหมายหมั้นกับคุณหนูเฟิ่งชิงเกอแห่งจวนตระกูลเฟิ่งแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมองรถม้าด้วยท่าทางร้อนรนและเฝ้ารออยู่อีกเล่า?

ม่านรถม้าถูกเลื่อนเปิดออก กวนสีหลิ่นเดินลงมา ปล่อยมือผ่อนผ้าม่านปิดลง แล้วมองมู่หรงอี้เซวียนที่ยืนอยู่หน้ารถม้า “ข้าบอกท่านว่าไม่ต้องขอโทษอะไรไม่ใช่หรือ? ทำไมยังตามข้ามาอีกเล่า?”

แต่มู่หรงอี้เซวียนตอนนี้กลับมองไปที่รถม้าอย่างลุ่มหลง นึกถึงที่เปิดม่านออกเมื่อครู่ ท่าทางของสาวน้อยบนรถม้าที่สะท้อนสู่สายตา ทำให้หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมา

วันนี้นางไม่ได้สวมชุดสีแดง แต่สวมชุดกระโปรงสีขาว บนใบหน้าผูกผ้าคลุมสีเดียวกันไว้ และนั่งพิงอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งเงียบ ทั่วกายมีกลิ่นอายประณีตงดงาม ดูช่างเงียบสงบ สง่างาม

แต่นางที่สวมชุดสีแดง กลับแพรวพราวทรงเสน่ห์ราวแสงอาทิตย์ ขณะที่ยกมือยกเท้าเต็มไปด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อยมีเสน่ห์ เหมือนทุกครั้งที่พบเจอ ล้วนสร้างความตกตะลึงใจที่แตกต่างกัน และทุกๆ ครั้งก็ทำให้เขาหลงใหลนางโดยไม่รู้ตัว…

…………………………………….

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version