№ 269 นินทาลับหลังนายท่าน
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ บอกว่า “การปรุงยากับการกลั่นยาเซียนน่าจะเป็นศาสตร์เดียวกัน ลองเรียนรู้หน่อย ข้าว่าคงไม่ยากนัก”
“ฮ่าๆๆ ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของน้องชาย ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่โดดเด่นแน่นอน วางใจเถอะ เรื่องตำราให้ข้าจัดการเอง” เขาพูดพลางตบๆ หน้าอก หลังจากให้ผู้อารักขาสองนายนั้นวางข้าวของไว้ข้างๆ แล้วก็ให้เฟิ่งจิ่วเก็บไปเสียก่อน
จากนั้นกล่าวอีก “หลังกลับมาเมื่อวานตอนเย็นมีคนไม่น้อยอยากขอพบน้องชาย แต่ข้าออกไปขวางไว้ เรื่องที่เจ้าจัดการตระกูลหลิ่วด้วยตัวคนเดียว เชื่อว่าใช้เวลาไม่นานนักก็จะแพร่ออกไป ต้องยิ่งเพิ่มสีสันให้ชื่อภูตหมออย่างแน่นอน”
เขามองเฟิ่งจิ่วตรงหน้าที่สวมชุดแดงงดงามเป็นหนึ่ง ในดวงตามีแต่ความชื่นชม “ไม่นึกจริงๆ ว่าน้องชายไม่เพียงโดดเด่นในด้านโอสถ แม้แต่พลังวรยุทธ์ยังดีเยี่ยม หนำซ้ำรูปโฉมก็มีน้อยคนจะเทียบได้เช่นนี้ เป็นเมตตาจากสวรรค์โดยแท้!”
ขณะฟังคำชมเชยยาวเหยียดของเขา บนหน้าเฟิ่งจิ่วมีรอยยิ้มประดับเล็กน้อย เอ่ยว่า “พี่เคอ หากมีคนมาขอพบ ท่านช่วยข้าตอบกลับไปทีว่าช่วงนี้ข้าไม่อยากพบใครอื่น รบกวนด้วย” เธอประสานมือคารวะ หลังจากเก็บข้าวของก็ออกไปก่อน
เมื่อกลับมาถึงในเรือน เธอหยิบเรือเหาะลำหรูหราออกมาให้เหลิ่งซวงดูอย่างอารมณ์ดี “เจ้าดูสิ นี่คือพาหนะวิเศษใช้เหาะเหิน จากนี้พวกเราก็กลับไปเองได้แล้ว ไม่นึกเลยว่าเจ้าเรือลำน้อยนี่จะจุได้ร้อยกว่าคน ข้าเพิ่งดูไป ด้านในอะไรๆ ล้วนมีหมด เป็นของดีที่จำเป็นในการเดินทางไกลโดยแท้!”
“นายท่านคิดจะกลับไปรึเจ้าคะ?”
เหลิ่งซวงมาที่ข้างโต๊ะ ถามขึ้นหลังมองเรือเหาะลำเล็กนั่นไปสักพัก
“เรื่องนี้ไม่รีบ ทางนี้ข้ายังมีธุระต้องทำ จริงด้วย เจ้าช่วยไปหาแผนที่แคว้นเหินเวหามาให้ที” เธอพูดพลางมองไปด้านในเขตเรือน เห็นเจ้าตัวเล็กนั่นกำลังนั่งมองอยู่หน้าประตู จึงยิ้มอย่างอดไม่ได้
“ฉิวฉิว มานี่สิ” เธอกระดิกนิ้วมือพลางขานเรียก
ส่วนเหลิ่งซวงตอบรับแล้วก็ออกไป ช่วยนางหาแผนที่แคว้นเหินเวหา
เจ้าตัวเล็กขนขาวปุกปุยนั่งหมอบจ้องเฟิ่งจิ่วอยู่ตรงนั้น ชะงักไปนิดหนึ่งถึงจะเดินเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า มายังข้างขาเธอ
“เด็กดี”
เฟิ่งจิ่วอุ้มมันขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม วางลงบนโต๊ะแล้วลูบๆ ขนมัน พูดว่า “ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนหมาน้อยเท่าไหร่ คล้ายๆ สัตว์เลี้ยงวิญญาณตัวน้อยเสียมากกว่า”
“โฮ่ง!”
ฉิวฉิวขยับปากส่งเสียง ชำเลืองมองแวบหนึ่งก็นอนลงบนโต๊ะ ไม่สนใจเธออีก
“ตัวเล็กแล้วยังหยิ่งผยองอีก?”
เธอยิ้มน้อยๆ ดีดศีรษะมันเบาๆ อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าตำหนักยมราชยกเจ้าตัวเล็กเช่นนี้ให้เธอ หนำซ้ำยังไม่ไต่สวนเรื่องที่เธอหยิบฉวยโสมพันปีของเขามาอีก เธอก็ต้องทำอะไรสักหน่อยใช่หรือไม่?
ครั้นนึกถึงว่าเจ้าตำหนักกับท่านอาเป็นคนคนเดียวกัน เธอถอนใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้ ก็ว่าอยู่! บนโลกนี้จะมีคนที่ถูกพิษเหมันต์พันปีมากมายเพียงนั้นได้อย่างไร? เธอเดาไว้ก่อนแล้วว่าทั้งสองน่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนคนเดียวกันด้วย
ส่วนอีกด้าน ภายในเรือนแห่งหนึ่ง
ฮุยหลางกับอิ่งอีที่กำลังเฝ้าดูนายท่านทานอาหารเช้าอยู่ข้างๆ มองหน้ากันแวบหนึ่ง จากนั้นก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบมายังด้านนอก อิ่งอีเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าว่าสถานการณ์นายท่านเป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนเขาไปหาภูตหมอ ทำไมยังหน้าดำคร่ำเครียดอยู่อีก หรือภูตหมอจะมีท่าทีไม่พอใจนายท่าน?”
ฮุยหลางมองไปด้านใน กดเสียงเบากล่าว “เดาว่าคงส่งของไปไม่ถูก เจ้าว่าเถอะ ถึงแม้ภูตหมอเป็นคนรุ่นเยาว์ แต่ก็เป็นผู้ชายนะ! นายท่านไปยกสัตว์เลี้ยงให้เขา นี่หัวทึบเลยไม่ใช่หรือ?”
………………………………….