№ 272 ไม่ติดค้างต่อกัน!
เฟิ่งจิ่วเก็บของสองอย่างนั้นขึ้นมา แล้วเดินหาวกลับเข้าห้องไปพักผ่อน ส่วนเหลิ่งซวงนั่งขัดสมาธิฝึกวิชาอยู่ในลานบ้าน ฉิวฉิวก้อนขนหนานุ่มนอนหมอบบนโต๊ะหินอย่างเกียจคร้าน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เฟิ่งจิ่วที่หลับสนิทพลันลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดคลุมสีดำนั่งอยู่ข้างเตียงก็ตบๆ หน้าอกถอนหายใจเบาๆ “ข้าตกใจแทบตาย! ท่านมาได้ยังไง?”
น้ำเสียงเธอไม่ดีนัก เพราะการปรากฏตัวที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง
หนำซ้ำเพราะพลังของเขาลึกล้ำเกินหยั่งไป ขนาดเขามาถึงเธอยังไม่ทันรู้ตัวเลย
อาจเพราะได้รับเม็ดยาขวดนั้นที่เธอปรุงให้เขาโดยเฉพาะ เจ้าตำหนักยมราชจึงอารมณ์ดีมาก เห็นสาวน้อยตบอกถลึงมองมาอย่างไม่สบอารมณ์ จึงเลิกคิ้วเบาๆ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงแววขำขันที่ยากจะสังเกต
“เจ้าใจกล้าได้แค่นี้เองรึ?”
เฟิ่งจิ่วพลิกตัวลงจากเตียง ดึงกระชับเสื้อผ้าบนร่างพลางเดินออกไปนอกห้อง ถามว่า “ท่านมาทำอะไรอีก?”
เธอมาข้างโต๊ะและรินน้ำดื่ม เหมือนนึกอะไรได้จึงเปิดประตูมองออกไป เมื่อเห็นเหลิ่งซวงยืนอยู่ในลานบ้านโดนจี้จุดลมปราณไว้อย่างเห็นได้ชัด แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ออก อดไม่ได้ที่จะถอนใจ เดินออกไปด้านนอกแล้วช่วยนางคลายจุด
“นายท่าน เขา…”
“เอาเถอะ ทีหลังเห็นเขาไม่ต้องขวาง เจ้าขวางเขาไม่ได้หรอก เจ้าไม่ต้องคอยอยู่ตรงนี้แล้ว ไปก่อนเถอะ!” เธอโบกๆ มือ สื่อให้นางออกไปก่อน
“เจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงมองไปที่เจ้าตำหนักยมราช ก่อนจะหันตัวจากไป
เห็นนางนั่งลงในสวนลานบ้าน เจ้าตำหนักเดินออกมานั่งอยู่ตรงข้ามกัน มองนางแวบหนึ่ง ทำท่าทางหยิ่งผยองพลางกล่าวเสียงเข้ม “ข้าจะมาถาม เม็ดยาที่เจ้าช่วยปรุงให้ข้ามีอะไรต้องหลีกเลี่ยงหรือไม่?”
“อุ๊บ!”
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วยังไม่ทันเอ่ยปาก ฮุยหลางกับอิ่งอีที่หลบอยู่บนต้นไม้ได้ยินแล้วหลุดหัวเราะอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ พอสิ้นเสียงถึงพบว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงรีบร้อนปิดปาก ทว่าเสียงนี้หลุดออกมา สองคนนั้นที่ข้างโต๊ะหินในสวนก็ได้ยินแล้ว
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองเจ้าตำหนักยมราช ก่อนจะมองไปบนต้นไม้ “ท่านพาลิ่วล้ออีกสองคนมาด้วยรึ?”
เจ้าตำหนักตอนนี้สีหน้าอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาลึกล้ำกวาดมองสองคนนั้นอย่างเย็นเยือก “พวกเจ้ายังไม่ไสหัวกลับไปอีก?”
ฮุยหลางกับอิ่งอีเห็นเช่นนั้นก็ขานรับทันที จากนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าอยู่แอบดูต่อ
“แค่กๆ!”
เจ้าตำหนักยมราชกระแอมเบาๆ เหลือบมองนางและกล่าวอีกว่า “ยังมีอีกอย่าง ข้ามาเพื่อขอบคุณเจ้า”
ได้ยินเช่นนี้เธอก็โบกมือ หรี่ตาลงยิ้มพูดว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอกขอรับ ข้าได้ของรางวัล ช่วยท่านปรุงยาเม็ดนั่น พวกเราก็ถือว่าหายกันแล้ว ข้าจะได้ไม่ติดค้างอะไรท่านอีก”
ทว่า เจ้าตำหนักที่ได้ยินคำพูดนี้สีหน้ากลับดูไม่ได้ขึ้นมา ใบหน้าที่เดิมเคยผ่อนคลายยามนี้กลายเป็นตึงเครียดถมึงทึง เขามองใบหน้าอมยิ้มของนาง ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เจ้าไม่อยากสานสัมพันธ์กับข้าถึงเพียงนี้เชียว?”
เฟิ่งจิ่วมองเขาอย่างยากจะเข้าใจ “ทำไมข้าต้องสานสัมพันธ์กับท่านด้วย?”
ได้ยินคำพูดนาง เจ้าตำหนักเม้มริมฝีปาก ดวงตาลึกล้ำมองลึกไปที่นางอย่างลึกซึ้ง กำลังจะเอ่ยคำพูดที่เดิมเตรียมเอาไว้ แต่เห็นนางเป็นเช่นนี้จึงพูดอะไรไม่ออกสักคำ
เขาเม้มริมฝีปากส่งเสียงในลำคอพลางนั่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาที่สงสัยและไม่เข้าใจของนาง สะบัดแขนเสื้อจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย
เห็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเท้าคางกลอกตาเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เวลาต่อมาก็ลุกขึ้นเดินไปด้านนอกเช่นกัน
…………………………