№ 277 เสียงหัวเราะกลางดึก!
กล่าวจบ เฟิ่งจิ่วมองไปทางเหลิ่งซวง ถามว่า “ฉิวฉิวล่ะ?”
“อยู่บนหลังม้าด้านนอกเจ้าค่ะ นอนอยู่ไม่ยอมลงมา”
“ปล่อยไปเถอะ มันคงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก เจ้านั่นแหละ กลางคืนอย่าไปวิ่งเพ่นพ่าน” เธอกำชับ เห็นผ้าม่านขยับเล็กน้อย แล้วเด็กชายก็วิ่งออกมา
“พี่ชาย ท่านแม่บอกว่าสิ่งนี้ล้ำค่ายิ่งนัก หยางหยางรับไว้ไม่ได้ขอรับ” เขายื่นไข่มุกราตรีเม็ดนั้นในมือให้เฟิ่งจิ่ว แม้จะพูดเช่นนี้ แต่เด็กชายก็ไม่เคยเห็นของเล่นเช่นนี้มาก่อน ดวงตาจึงเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
เฟิ่งจิ่วหัวเราะ บอกว่า “ไม่เป็นไร เก็บไว้เถอะ!” พูดจบก็เห็นหญิงสาวยกไข่ไก่สีแดงฉานสองสามใบเดินออกมา
“ในบ้านไม่มีของต้อนรับอะไรดีๆ เลย ทั้งสองท่านทานไข่ไก่แดงกันก่อนเถอะ” น้ำเสียงหญิงสาวช่างอ่อนโยน สายตาที่มองหยางหยางมีแต่ความรักของผู้เป็นแม่และความเอาใจใส่
“พี่ชาย ไข่มุกเม็ดนี้หยางหยางเก็บไว้ได้จริงๆ รึขอรับ?” เขากะพริบตามองเฟิ่งจิ่ว แล้วมองมารดาข้างกาย
“ไข่มุกราตรีนี้ล้ำค่านัก เด็กน้อยไม่รู้ความ คุณชายเก็บไว้ดีกว่า” หญิงสาวพูดเสียงเบา ส่งสัญญาณให้หยางหยางคืนไข่มุกให้เฟิ่งจิ่ว
“ไม่เป็นไรหรอก แค่ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ให้เด็ก เก็บไว้เถอะ!” เฟิ่งจิ่วเอ่ยยิ้มๆ ให้หยางหยางเก็บไป
เห็นเช่นนี้ หญิงสาวยอบตัวคารวะไปทางเฟิ่งจิ่วเบาๆ “เช่นนี้ ข้าน้อยขอขอบคุณแทนลูกชายสำหรับของขวัญด้วย”
เห็นท่าทางย่อตัวที่งดงามของหญิงสาว แววตาเฟิ่งจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร
ไม่นานนัก หญิงสาวก็ทิ้งหยางหยางไว้ด้านหน้าให้อยู่เป็นเพื่อนเฟิ่งจิ่ว แล้วหมุนตัวเข้าไปด้านหลัง
“หยางหยาง คนที่พักบ้านหลังถัดไปเป็นใครกัน?” เฟิ่งจิ่วมองเด็กชายที่กำลังกินไข่ไก่พลางถาม
“เป็นท่านปู่ท่านย่าขอรับ แต่พวกท่านสุขภาพไม่ดี มักจะอยู่แต่ในเรือนไม่ยอมออกมา”
“อ้อ? งั้นพ่อเจ้าล่ะ เขาอยู่บ้านด้วยหรือไม่?”
“ครั้งก่อนมีคนไม่ดีมา ทำท่านพ่อบาดเจ็บ ตอนนี้จึงรักษาตัวอยู่บนเตียงขอรับ!” เขายื่นไข่ไก่แดงให้เฟิ่งจิ่ว พูดอย่างอ่อนหวานว่า “พี่ชาย ท่านกินด้วยกันสิ! ท่านแม่บอกว่ากินไข่ไก่แดงถึงจะเติบโตได้อย่างอยู่ดีมีสุข”
ได้ยินเช่นนี้ เธอยิ้มเล็กน้อย รับไข่ไก่มาแกะเปลือกกิน ผ่านไปสักพัก หญิงสาวคนนั้นก็ยกพวกผักกับเนื้อและข้าวสองชามเข้ามา บอกกับเฟิ่งจิ่วว่า “ในบ้านไม่มีของอะไรอย่างอื่นแล้ว ผักเป็นพืชป่า ส่วนเนื้อเป็นเนื้อกระต่ายป่าที่จับได้ในป่า คุณชายก็ทานเสียหน่อยเถอะ”
จากนั้นค่อยพาหยางหยางลงไป ปล่อยเฟิ่งจิ่วกับเหลิ่งซวงอยู่ด้านหน้าสองคน
รอจนนางออกไปแล้ว เฟิ่งจิ่วมองผักกับเนื้อสัตว์และข้าวสองชามบนโต๊ะก่อนบอกเหลิ่งซวง “นั่งลงกินกันก่อน แม้คนบ้านนี้จะแปลกไปหน่อย แต่คงไม่เป็นอันตรายกับพวกเรา”
ได้ยินนายท่านพูดถึงเพียงนั้น เหลิ่งซวงก็ขานรับ นั่งลงข้างโต๊ะยกข้าวขึ้นมากิน
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง บริเวณรอบๆ เหมือนจะยิ่งหนาวขึ้น แม้แต่เสียงแมลงด้านนอกยังชัดเจนยิ่งนักเพราะความเงียบยามค่ำคืน ชัดเสียจนประหลาดอยู่บ้าง
เฟิ่งจิ่วกับเหลิ่งซวงถูกจัดให้พักในห้องปีกข้าง อยู่ในสถานที่ที่แปลกไปหมดทุกแห่งเช่นนี้ ทั้งสองอยากจะพักผ่อนดีๆ สักนิดก็ไม่อาจทำได้ ด้วยเหตุนี้เหลิ่งซวงจึงคอยเฝ้ากะกลางคืน ส่วนเฟิ่งจิ่วนั่งขัดสมาธิหลับตาฝึกบำเพ็ญ
ก่อนเที่ยงคืนก็สงบเงียบมาตลอด จนกระทั่งเมื่อพ้นเที่ยงคืนไป เสียงลมพัดกระทบประตูหน้าต่างถี่กระชั้น ส่งเสียงดังปังๆๆ เสียงลมด้านนอกดังหวีดหวิว ฟังแล้วน่าสะพรึงอยู่บ้าง
และในยามนี้เอง เสียงหัวเราะลั่นสะเทือนหูลอยมาจากไหนไม่รู้ ดังกึกก้องอยู่กลางอากาศในยามราตรีราวกับเสียงฟ้าร้อง ทำให้เฟิ่งจิ่วกับเหลิ่งซวงตกใจตื่น
…………………………………………