№ 278 เป็นผีกันหมด?
ทั้งสองพลันลืมตาลุกยืนขึ้น ทว่าไม่รอให้พวกเขาได้เคลื่อนไหวอะไร ก็ได้ยินเสียงลมพัดโหมแรง ในเสียงหวีดหวิวมีความดุดันและเศร้าโศก
“ทำไม? ทำไมไม่ยอมปล่อยพวกเราไป? ทำไม!”
นั่นเป็นเสียงที่ทั้งชราและแหบแห้ง แหลมคมเล็กน้อย ดังชัดเจนอย่างยิ่งในยามวิกาล นั่นไม่ใช่เสียงของหญิงสาว กลับคล้ายคนชรา แต่ว่า…
แววตาเฟิ่งจิ่วสั่นไหวน้อยๆ มองด้านนอกพลางพูดกับเหลิ่งซวง “เรื่องไม่เกี่ยวกับเราอย่าออกไป” ระหว่างที่พูด เธอก็มานั่งลงข้างโต๊ะ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหลิ่งซวงผงะเล็กน้อยสักพัก ขานรับออกไป แล้วมาเฝ้าอยู่ด้านหลังนาง
ด้านนอก ชายวัยกลางคนสวมชุดนักพรตถือแส้จามรยืนอยู่กลางอากาศ บนร่างมีกลิ่นอายพลังวิญญาณที่ทรงพลังกำลังพลุ่งพล่าน รวมถึง…แสงศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างจากพลังวิญญาณเล็กน้อย
บนพื้นดินมีหญิงชรากับชายชรายืนประคองกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาและความไม่ยอม สิ่งที่กระจายอยู่บนร่างหาใช่พลังวิญญาณหนาแน่น แต่เป็นระลอกลมหนาว
“ปล่อยพวกเจ้า? ฮ่าๆๆๆ น่าขันนัก!”
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่กลางเวหาหัวเราะร่า “คนกับผีอยู่คนละโลก หากข้าไม่มาพบพวกเจ้าก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่อเจอแล้ว ก็ต้องจัดการพวกเจ้าให้จงได้!”
สิ้นเสียง แส้จามรีในมือเขาโบกสะบัด พลังวิญญาณสายหนึ่งโจมตีออกไปด้านล่างพร้อมกับกระแสพลังรวดเร็วรุนแรงและลำแสงศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินเพียงเสียงคมตวัดผ่านในอากาศ หญิงชรากับชายชราที่เดิมยืนอยู่บนพื้นยามนี้ก็โกรธเคืองแล้วเช่นกัน
“พวกเราตอนมีชีวิตไม่เคยทำร้ายใคร กลับถูกกล่าวหาจนต้องตาย แม้กลายเป็นผีก็ไม่เคยทำอันตรายคนผ่านทางพวกนั้น แต่คนที่เอ่ยปากว่ามีความชอบธรรมอย่างเจ้า กลับไม่แม้แต่จะปล่อยพวกเราไป เอาแต่พูดว่าจะกำจัดทิ้ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อพวกเราก็จะสังหารเจ้าเสีย!”
ชายชราแผดเสียงเกรี้ยวกราดด้วยความทุกข์ใจ เหมือนก่อนตายเขาจะเป็นผู้ฝึกตน ยามตายกลายเป็นผี แรงแค้นบนร่างจึงยังกระจายอยู่ไม่จางหาย พลังหยินรุนแรงนัก หลังจากเขาส่งเสียงคำรามร่างกายก็ลอยขึ้นมา เล็บนิ้วสองมือยาวขึ้น ตะปบไปทางนักพรตคนนั้น
ส่วนภายในเรือน เหลิ่งซวงที่ฟังคำพูดนี้อดไม่ได้ที่จะเบิกตาโต มองยังเฟิ่งจิ่วแล้วถามเสียงเบาอย่างตกใจ “นายท่าน คนบ้านนี้เป็น…เป็นผีรึเจ้าคะ?”
เฟิ่งจิ่วเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ พูดเสียงค่อยว่า “ไม่ใช่ทั้งหมด”
“ไม่ทั้งหมด?” เหลิ่งซวงตกตะลึง พลันนึกถึงที่นายท่านบอกว่ามีเพียงเด็กคนนั้นที่ปกติ จึงถามไปอย่างอดไม่ได้ “นายท่านหมายความว่ามีเพียงเด็กคนนั้นที่เป็นคน?”
“ใช่” เธอขานรับ บอกว่า “ตอนยังไม่เข้ามาข้าเห็นมีกลิ่นอายของคนคนเดียว ซึ่งคือเด็กชายคนนั้น ส่วนพ่อแม่กับปู่ย่าคงตายไปหมดแล้ว เพราะนอกจากพวกเรากับเด็กน้อยก็ไม่รู้สึกถึงพลังชีวิตเลยสักนิดเดียว”
“เป็นไปได้ยังไงกัน หากเป็นผีจะมีเด็กคนหนึ่งอยู่ด้วยได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เหลิ่งซวงเพียงรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ โลกนี้มีคน มีเซียน แน่นอนว่าก็มีผีด้วย และเพราะฟ้าดินมีทั้งสามสิ่งนี้อยู่ถึงได้กลายเป็นภพทั้งสาม
“ยังไม่เห็นวิญญาณอีกสามตนที่เหลือ จึงไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร แต่ท่านแม่ของหยางหยางคงไม่ใช่วิญญาณร้าย และไม่ได้คิดร้ายกับพวกเราแน่นอน แม้แต่อาหารที่กินไปเมื่อตอนเย็นก็ล้วนเป็นของที่พวกเรากินได้จริง ไม่ใช่ดินทรายที่วิญญาณสร้างภาพลวงตาออกมา”
ได้ยินคำพูดนี้ เหลิ่งซวงถึงจะคิดออก ตอนที่ยกผักกับเนื้อมา หญิงสาวคนนั้นยังบอกอย่างเฉพาะเจาะจงว่าเป็นผักป่ากับเนื้อกระต่าย เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นนางรู้ว่านายท่านมองออกแล้วว่านางไม่ใช่คน?
“นายท่าน งั้นพวกเขาอยู่ที่นี่…”
“คงเพื่อเด็กคนนั้น” เธอถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า
“แต่คนด้านนอกนั้นพูดถูก คนกับผีอยู่คนละโลกกัน พวกเขากับหยางหยางอยู่ด้วยกันนานเกินไป พลังหยางบนร่างเขาก็จะยิ่งอ่อนแอ ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะร้ายมากกว่าดี”
…………………………