Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 327

№ 327 ต้องการเหล่าไป๋!

ในขณะที่เฟิ่งจิ่วกำลังตักข้าวต้มกวนสีหลิ่นก็มายังข้างเตียงเพื่อประคองเฟิ่งเซียวขึ้นมาอย่างระมัดระวังเพื่อให้นางป้อนข้าวเขาได้สะดวก

เธอยกข้าวต้มที่ต้มเสร็จมาข้างเตียง เป่าให้เย็นแล้วถึงจะป้อนเขาพลางพูดว่า “ท่านพ่อ ภายในนี้มีน้ำยาวิญญาณ นอกจากสามารถฟื้นฟูอวัยวะภายในที่เสียหาย ยังฟื้นฟูเรี่ยวแรงและทำให้กลิ่นอายในร่างกายคงที่ มา ระวังร้อนนะเจ้าคะ”

ผู้เฒ่ามองเฟิ่งจิ่วคอยดูแลอย่างระมัดระวังอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มและแอบๆ พยักหน้า

ใครว่ามีแต่ลูกชายถึงจะดี?

ใครว่ามีแต่ผู้ชายถึงจะสามารถแบกรับวงกบประตูอันทรงเกียรติของวงศ์ตระกูลได้?

เรื่องที่ลูกชายทำได้ลูกสาวก็ทำได้เช่นกัน ถึงกับทำได้ดียิ่งกว่าเสียด้วย!

แม้เชื้อสายหลักจวนตระกูลเฟิ่งเขาจะมีแม่หนูเฟิ่งเป็นลูกสาวคนเดียว แต่เด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความกตัญญูต่อผู้อาวุโส ยามนี้เกิดเรื่องขึ้นในจวน หากเป็นลูกชายเกรงว่าจะทนแรงกดดันนี้ไม่ไหวเสียจนตื่นตระหนกตกใจ

ทว่าเด็กสาวที่อายุเพิ่งสิบหกเช่นนางกลับแบกไว้ได้เสียอย่างงั้น ใช้ไหล่ที่อ้อนแอ้นแบกรับทั้งจวนตระกูลเฟิ่ง ค้ำแผ่นฟ้าขึ้นเพื่อพวกเขา

นึกถึงตรงนี้เขาก็ทอดถอนใจไปร้อยแปด ทั้งภูมิใจและเจ็บปวดใจ

“ท่านพ่อ ท่านนอนอีกสักพักเถอะเจ้าค่ะ”

เฟิ่งจิ่วพูดเสียงเบา หลังป้อนข้าวต้มให้เขาจนหมดชามก็ให้กวนสีหลิ่นวางเขานอนราบลงพักผ่อนดีๆ ปล่อยเหลิ่งหวาคอยเฝ้า ส่วนพวกเขาสามคนออกห้องไป

“ท่านปู่ พี่ชาย ไปคุยกันในเรือนข้าหน่อยเถอะ!” เธอพูดมองทั้งสองคน

“ได้สิ” ทั้งสองขานรับพยักหน้า

เฟิ่งจิ่วมองลัวอวี่ในเรือน บอกว่า “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ในเรือนด้วย! หากไม่มีคำอนุญาตจากข้าอย่าให้ใครอื่นเข้าไปในห้องแม้แต่ก้าวเดียว”

พวกเขามองหน้ากันก่อนจะขานรับเสียงเข้ม “ขอรับ!”

หลังสั่งการให้องครักษ์เฝ้าเรือนไว้พวกเขาก็ไปยังด้านในเรือนนางพร้อมๆ กัน

ทางอีกด้านหนึ่ง ภายในพระราชวัง

มู่หรงป๋อที่กลับถึงตำหนักวังมองชายชราทั้งสองที่ยืนอยู่กลางตำหนัก ถามอย่างลังเลเล็กน้อย “พวกเจ้าเห็นเช่นไรบ้าง? เฟิ่งเซียวหมดสติกลายเป็นคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ รึ?” ไม่ใช่ว่าเขาสงสัยอะไรมาก แต่สำหรับเขาเรื่องนี้ยังเหลือเชื่ออยู่บ้าง

เดิมทีนึกว่าเฟิ่งเซียวต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ใครจะรู้ว่าตลาดมืดกลับส่งยาช่วยชีพไปรักษาชีวิตเขาไว้ อีกอย่างพวกเขาคิดว่าหลังรักษาชีวิตไว้เขาจะฟื้น กลับไม่นึกว่าจะอยู่ในอาการหมดสติกลายเป็นคนตายที่ยังรอดชีวิต

แม้สำหรับพวกเขานี่ถือเป็นเรื่องดี แต่ไม่รู้ทำไมในใจยังมีความหงุดหงิดและกระวนกระวายที่อธิบายไม่ได้

สองชายชรากลางตำหนักมองหน้ากัน ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยถึงจะปริปากเอ่ย “ท่านผู้ครองแคว้น เฟิ่งเซียวจัดการพวกกระหม่อมหนึ่งคนหนึ่งฝ่ามือ ตอนนั้นใช้กำลังกันเกือบเต็มที่ หากเป็นคนธรรมดาคงตายไปนานแล้ว มีเพียงเฟิ่งเซียวคนนี้ที่ทนมาถึงตอนนี้ได้ แต่พวกกระหม่อมเชื่อว่าต่อให้ไม่ตายเขาก็แทบไม่ต่างกับตาย ถึงอย่างไรรับสองฝ่ามือทำให้อวัยวะภายในเสียหาย! ถึงเป็นเทพเซียนก็ช่วยกลับมาไม่ได้แน่พะยะค่ะ!”

อาจเพราะมู่หรงป๋อแค่ต้องการความมั่นใจจากพวกเขาสักหนึ่งประโยคที่ฟังแล้วสบายใจ ยามนี้ได้ยินทั้งสองพูดถึงเพียงนี้ ใจที่หวาดหวั่นจึงวางลงได้ในที่สุด

“อืม ข้าก็คิดว่าคงเป็นเช่นนี้” เขาพยักหน้าถึงจะผุดรอยยิ้มออกมา “สองวันนี้ลำบากท่านทั้งสองแล้ว”

“ได้แบ่งเบาภาระเพื่อท่านผู้ครองแคว้นถือเป็นโชคดีของเราสอง แต่ว่า…”

น้ำเสียงสองท่านชะงักเล็กน้อย ลังเลอยู่บ้าง ท่าทางเหมือนมีคำพูดอยากจะบอกแต่ไม่รู้ว่าควรบอกหรือไม่

เห็นเช่นนี้ มู่หรงป๋อก็จิตใจสั่นไหวน้อยๆ กล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อสองท่านมีคำจะพูดก็บอกกันตรงๆ เถิด”

ได้ยินเช่นนี้ ทั้งสองก็ไม่ปิดบัง บอกตรงๆ ว่า “เป็นเช่นนี้ท่านผู้ครองแคว้น พวกกระหม่อมต้องการม้าตัวนั้นที่ชื่อเหล่าไป๋ ไม่ทราบว่าท่านผู้ครองแคว้นพอจะมีวิธีหรือไม่พะยะค่ะ?”

………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version