№ 357 ตาค้างไปแล้ว!
“มาสิ… มาสิ…”
หญิงชุดแดงคนนั้นเดินถอยหลังไป มือคู่ขาวซีดกวักอยู่ตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเช่นนั้น ดวงตาสีเลือดที่มีไอภูตผีเย็นเยียบจ้องมองตรงมาที่เธอเหมือนอยากจะมองลึกเข้าไปในจิตวิญญาณเธอ
อาจเพราะความมั่นใจในความสามารถตัวเองนางจึงไม่สงสัยว่าสาวน้อยที่เดินตามมานิ่งๆ ไร้ชีวิตชีวาดังหุ่นเชิดจะไม่ได้ถูกนางควบคุม ถึงอย่างไรเห็นเช่นนี้แล้วสาวน้อยที่สกปรกราวขอทานก็ไม่เคยอยู่ในสายตา
ในสายตานางสาวน้อยคนนี้ก็เหมือนคนพวกนั้น ต่างมาที่นี่เพื่อถวายตัวแก่ตนเองโดยไม่มีข้อยกเว้น
เฟิ่งจิ่วเดินไปทั้งดวงตานิ่งอึ้งว่างเปล่าเหมือนหุ่นเชิดที่สูญเสียดวงวิญญาณ แต่ยังแอบสังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้างจึงพบว่าชายชราผู้ผอมแห้งและแปลกประหลาดที่นั่งอยู่ตรงกลางสุดไม่ได้สนใจหรือระวังตัวกับการมาถึงของเธอมากนัก
แม้แต่จะมองมาทางนี้ยังไม่มี ชัดเจนว่าไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเลย เธอโล่งใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้ ชายชราคนนั้นคงเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหลอมแก่นพลังขั้นสูงสุด หากเขามองมายังดวงตาเธอก็ไม่มั่นใจจริงๆ ว่าจะไม่ถูกพบในสถานการณ์เช่นนี้
หลังเข้ามายังเขตอาคมกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งที่พัดโดนหน้าก็ถาโถมมาพร้อมกับความรู้สึกคลื่นไส้เพราะกลิ่นเหม็นเน่า ทำให้เธอแทบจะอาเจียนออกมาอย่างรับไม่ไหว นั่นเป็นกลิ่นที่ซึมขึ้นมาจากบนพื้นและมันเหม็นมากๆ เมื่อดมกลิ่นรุนแรงเช่นนั้นเธออดไม่ได้ที่จะคิดว่าข้างใต้ผืนดินนี้มีศพถูกฝังไว้เท่าไหร่กันแน่?
หลังจากพาเธอมายืนตรงตำแหน่งผีสาวชุดแดงตนนั้นก็ลอยหวิวออกไป เธอนั่งลงไปอย่างสงบเงียบเหมือนกับคนอื่นๆ สายตามองวนไปรอบๆ เห็นผีสาวชุดแดงสองขาลอยขึ้นกลางอากาศไม่แตะพื้น
ก็ว่าสิ หากไม่ใช่ผีจะปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบไร้เสียงได้อย่างไร?
เฟิ่งจิ่ววางแผนอยู่ในใจ เธอไม่อาจสู้กับหัวหน้าระดับหลอมแก่นพลังขั้นสูงสุดได้ชนะแต่การพาหลัวอวี่หนีไปคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เธอสังเกตเห็นว่านอกจากผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังทั้งสี่คนกับตนเองคนที่นั่งอยู่รอบข้างต่างสูญเสียการรับรู้ตนเอง
ส่วนชายชราคนแปลกๆ กับผีสาวชุดแดงก็เหมือนว่ากำลังรออะไรอยู่ถึงไม่ได้ลงมือกันคนพวกนี้
แม้ยังไม่ลงมือกลับไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำ ทุกส่วนบนร่างกายเธอต่างกำลังร้องตะโกนถึงอันตราย
ขณะครุ่นคิดว่าจะพาหลัวอวี่หนียังไงดีกลับได้ยินเสียงผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังตรงหน้าพวกนั้นหัวเราะลั่นออกมาอย่างมีความโกรธเคือง
“เสียแรงที่คบหากันมาหลายปี ไม่นึกเลยว่าจะคิดร้ายกับพวกเรา! พวกเรามองคนผิดไปแล้วจริงๆ!”
“เจ้าเดินทางสายมาร ต่อให้ผ่านพ้นภัยครั้งนี้สุดท้ายก็เดินไปได้ไม่ไกลหรอก!”
“ฮ่าๆๆๆ มิตรสหายทั้งหลาย พวกเจ้าได้ตายเพื่อให้ข้ามีชีวิตต่อนับว่าตายอย่างคุ้มค่าแล้ว ถึงอย่างไรอายุขัยพวกเจ้าก็เหลือไม่กี่ปี ใช้อายุขัยที่เหลือมาช่วยทำให้ข้าสมหวังไม่ดีกว่าหรือ?”
ชายชราผู้ผอมโซหัวเราะร่าอย่างน่าสะพรึง ภายในน้ำเสียงมีความหนาวเหน็บและโหดเหี้ยม
ที่แท้ก็โดนหลอกมาหรือ?
เฟิ่งจิ่วมองคนพวกนั้นด้วยความแปลกใจโดยไม่มีความคิดจะไปสนใจพวกเขา รู้สึกว่ายิ่งท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง
กลิ่นเลือดภายในเขตอาคมนี้ก็ยิ่งคละคลุ้ง กลิ่นอายยิ่งรุนแรง และรู้ว่าไม่อาจรอต่อไปได้อีก
ดังนั้นเธอจึงกัดฟันกรอดลุกขึ้นจากพื้นเสียงดัง พุ่งไปหาหลัวอวี่ที่นั่งมึนงงอยู่บนพื้นตรงหน้าและลากขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
อีกมือหนึ่งพลันปิดปากปิดจมูกเขาไว้
และภาพที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ก็ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งสี่ต่างมองกันตาค้างทันใด…
……………………………………