№ 367 หลัวอวี่กลับมาอีกครั้ง!
ได้ยินเช่นนี้สายตาเฟิ่งจิ่วก็จับจ้องยังดวงไฟวิญญาณที่โลดแล่นอยู่รอบด้าน เห็นมันลอยอยู่กลางอากาศกลับไม่โจมตีผู้คนเหมือนไม่มีความดุร้าย ทว่าภายในค่ายกลวิญญาณโลหิตแปลกประหลาดนี้ใช้เลือดและดวงวิญญาณ งั้นดวงไฟวิญญาณพวกนั้นจะไม่มาโจมตีได้อย่างไร?
แล้วจะมีพลังโจมตีเช่นไรกันแน่? ก็ให้เธอลองดูหน่อยเถอะ!
พอตั้งใจแน่วแน่เฟิ่งจิ่วก็เรียกพลังกระโจนหลีกออกจากลายทางค่ายกลเลือดพวกนั้นบนพื้นไปยังตรงกลาง คนที่นั่งเซื่องซึมอยู่กลางค่ายกลอาจจะถูกจับมาก่อนจึงเหลือเพียงโอกาสหายใจ และสิ่งที่กระจายบนร่างพวกเขาก็ไม่ใช่กลิ่นอายของคนเป็นแต่เป็นกลิ่นอายแห่งความตาย
บางคนยังนั่งอยู่บนพื้นได้ บ้างก็เอียงล้มไปกับพื้น ถึงอย่างไรขณะพวกเขากำลังต่อสู้อยู่ในค่ายกลแรงกดดันกับใบมีดลมทรงพลังก็กระจายไปทั่ว คนพวกนี้ไม่อาจหลบไม่มีทางเลี่ยงและยิ่งรับแรงกดดันอันแข็งแกร่งนั้นไม่ไหว แน่นอนว่าพวกเขาต่างสูญเสียโอกาสรอดชีวิตไปตั้งนานแล้ว
สายตาเธอเพียงมองผ่านบนร่างคนพวกนั้นด้วยในใจสงบนิ่งไร้กังวล
โลกก็โหดร้ายเช่นนี้แหละ มีหลายครั้งหลายคราที่ไม่อาจทำตามใจตน แม้ไม่อยากตายแต่ไม่มีกำลังจะปกป้องตนเองก็หนีชะตากรรมแห่งความตายไม่ได้เช่นกัน
“เจ้าคิดจะทำลายค่ายกลวิญญาณโลหิตข้ารึ?”
ชายชราที่ถูกผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังทั้งสี่ล้อมจู่โจมถอยหลังไปด้วยความอับอาย หลังหางตาเห็นเฟิ่งจิ่วจะทำลายค่ายกลก็ขยับมือปากพึมพำคาถาทันใด เวลาต่อมาถึงจะสะบัดมือแล้วดวงไฟวิญญาณสีเขียวพวกนั้นก็แยกเป็นสองส่วนและพุ่งเข้าไปในดวงตาพวกคนบนพื้น
เพียงเห็นดวงตาที่เซื่องซึมไร้ชีวิตชีวาของคนพวกนั้นมีเปลวไฟสีเขียวปรากฎ ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้นราวกับถูกวิญญาณสิ่งสู่และจู่โจมมาหาเธอพร้อมๆ กันโดยไม่นัดหมาย
“นายท่านระวังขอรับ!”
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งลอยมา เฟิ่งจิ่วตกใจหันกลับไปมองเห็นหลัวอวี่ที่เดิมควรหนีไปวิ่งกลับมาอีกครั้ง พลันทำสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าให้เจ้าหนีไปไม่ใช่หรือ? กลับมาทำไมอีก? หรือว่าเจ้าไม่กลัวตาย?”
เธอเปลืองเรี่ยวแรงไปมากมายเพียงนั้นเพื่อช่วยเขาออกไป ใครจะรู้ว่าเขาจะละทิ้งโอกาสรอดชีวิตเพื่อวิ่งกลับมา ช่างน่าโมโหเสียจริง!
หลัวอวี่ฉีกยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม แล้วยกของในมือขึ้นพร้อมตะโกนบอกว่า “นายท่าน ข้ากลับมาช่วยขอรับ”
เฟิ่งจิ่วเห็นบนมือเขาถือสิ่งที่คล้ายกับกระบอกไม้ไผ่ไว้ ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน แต่เห็นเขาวิ่งเข้ามาจึงรีบตะโกนบอกว่า “อย่าเหยียบลายเลือดในค่ายกลนะ!”
“ขอรับ!”
เขาขานรับเสียงดังพลางปรี่ไปหา เห็นนางหันตัวกลับไปรับมือคนพวกนั้นที่ล้อมเข้ามาจึงใช้กระบอกจุดไฟมาจุดไฟยังกระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งในนั้นแล้วตะโกนว่า “นายท่านหลบไปเร็วขอรับ!”
สิ้นสุดเสียงเขาโยนกระบอกไม้ไผ่ในมือไปด้านหน้าเฟิ่งจิ่ว ขณะเดียวกันก็โยนอีกอันหนึ่งไปตรงที่มีคนกำลังต่อสู้กันอยู่
เฟิ่งจิ่วเพียงได้ยินเสียงดอกไม้ไฟดังขึ้น กลิ่นกำมะถันพลันแผ่ออกไปในอากาศ ได้กลิ่นเช่นนั้นเธอก็ตกใจ ระหว่างถอยหลังอย่างรวดเร็วก็เห็นกระบอกไม้ไผ่นั้นระเบิดออกท่ามกลางคนสิบกว่าคนที่รายล้อมเข้ามา เสียงตู้มดังสนั่นสะเทือนเสียจนพื้นดินต่างสั่นไหว
“แค่กๆ!”
ขณะที่เธอถอยไปก็สำลักควันที่กระจายออกมาเสียจนไอเสียงเบา ในใจประหลาดใจไม่รู้ว่าหลัวอวี่ไปเอาดินปืนที่อานุภาพแสนรุนแรงเช่นนี้มาจากไหน
“ตู้ม!”
ส่วนผู้ฝึกตนทั้งสี่กับชายชรากลับไม่ได้โชคดีถึงเพียงนั้น พอหลัวอวี่โยนดินปืนในมือไปตรงกลางทันทีที่ระเบิดออกพวกเขาแม้แต่หลบยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เพียงได้ยินเสียงตู้มดังสนั่นกลบเสียงอุทานพวกนั้นไว้ พวกเขาแต่ละคนโดนระเบิดกระเด็นออกไป ดวงตาเห็นขณะที่จะล้มลงหมุนตัวร่อนลงพื้นอย่างมั่นคงพลันหันกลับไปมองหลัวอวี่ด้วยสายตาขุ่นเคือง
………………………………