№ 370 ภัยพิบัติจวนตระกูลเฟิ่ง?
เฟิ่งจิ่วเหมือนจะใช้เรี่ยวแรงไปจนหมด เห็นหัวหน้าคนนั้นถูกหงส์เพลิงเผากลายเป็นเถ้าถ่านและหายไปกลางอากาศ วิกฤติบรรเทาเธอเพียงรู้สึกว่าตรงหน้ามืดลง สุดท้ายจึงทนไม่ไหวล้มไปด้านหลังอย่างไร้เรี่ยวแรง
“นายท่าน!”
หลัวอวี่ได้สติกลับมาจากภาพน่าตกตะลึงนั้น ถึงกับไม่มีเวลาไปคิดว่าหงส์ไฟที่ก่อตัวจากเปลวเพลิงตัวนั้นมาได้อย่างไร พอเห็นนางล้มไปก็อุทานพร้อมปรี่เข้ามารับนางไว้
“นายท่าน? นายท่าน? นายท่าน?…”
เขาเรียกด้วยความวิตก เห็นนางเป็นลมล้มลงในอ้อมแขนอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เรียกยังไงก็ไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิดจึงรีบเร่งใช้มือลองวัดลมหายใจด้วยความกังวลใจและเป็นห่วง พอเห็นว่ายังมีลมหายใจถึงจะวางใจลงได้
ยามนี้ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังทั้งสี่ก็ได้สติกลับมาจากความตื่นตกใจแล้วมองหน้ากัน ต่างกดความตกตะลึงประหลาดใจและความสั่นไหวจากจิตใจและสายตาไว้ไม่ได้ สายตามองไปทางคนที่เป็นลมล้มลง ก่อนจะรีบร้อนเดินเข้ามา
“พวกท่านจะทำอะไร!”
หลัวอวี่จ้องพวกเขาอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งดึงกระบี่คมพยับที่นายท่านแทงไว้บนพื้นเก็บเข้าห้วงมิติ แล้วค่อยอุ้มนางถอยห่างด้วยความรวดเร็ว แอบคิดในใจว่า ‘หากสี่คนนี้มีเจตนาร้ายกับพวกเขา ด้วยกำลังเขาเกรงว่าจะปกป้องนายท่านไม่ได้แน่’
“เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นพร้อมให้สัญญาณว่าเขาไม่ต้องวิตก
“พวกเรารับนางเป็นนายแล้ว นางจึงเป็นนายท่านของพวกเรา หาที่วางนางลงก่อนเถอะ พวกเราจะดูอาการนางให้เอง” อีกคนหนึ่งบอก มองไปรอบๆ สถานที่ที่มีกลิ่นเหม็นกระจายคิ้วก็ขมวดกันขึ้นมา
สองคนนอกนั้นต่างพยักหน้า กล่าวว่า “ถูกต้อง สถานที่แห่งนี้มีกลิ่นเลือดรุนแรงนัก ออกไปก่อนค่อยคุยกันเถอะ”
เห็นเช่นนี้หลัวอวี่ก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาร่วมกันต่อกรกับชายชราคนนั้น ถึงจะวางใจพยักหน้าบอกว่า “ขอรับ” จากนั้นจึงอุ้มเฟิ่งจิ่วที่หมดสติออกจากที่นี่โดยเร็ว พวกเขาตามหาสถานที่ใหม่ที่ห่างไกลจากกลิ่นเลือดแล้วหยุดลง
หลัวอวี่วางนางลงบนพื้นหญ้า ถึงจะเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “บนตัวนายท่านไม่มีบาดแผลอะไร แต่ทำไมถึงหมดสติไป? จะบาดเจ็บภายในหรือไม่?” เขาไม่ใช่ฟั่นหลินไม่รู้เรื่องการแพทย์ ตอนนี้จึงไม่รู้ว่านางบาดเจ็บภายในหรือไม่
“ข้าขอดูหน่อย”
ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังคนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น เข้าไปจับชีพจรนางไม่ทันไรก็ดึงมือกลับ บอกว่า “เพราะนางใช้เลือดลมเกินขนาดจึงสลบไป เลือดลมที่นางใช้ในการโจมตีครั้งสุดท้ายนั้นคงมากเกินควรถึงได้ทนไม่ไหวจนหมดสติ ไม่มีอะไรร้ายแรง พักผ่อนไปสักพักก็จะฟื้น”
เห็นเขาพูดเช่นนี้หลัวอวี่ก็พยักหน้าไม่เอ่ยอะไรอีก แค่นั่งเฝ้าอยู่ข้างกาย
“หลังจัดการบาดแผลพวกเราค่อยมาปรับกลิ่นอายเพื่อรักษาตัวกันเถอะ!”
พวกเขาพูดพลางมองหน้ากัน เดินไปเปลี่ยนชุดคลุมบนตัวที่ขาดรุ่ยเพราะเถ้าถ่านในบริเวณไม่ไกล หยิบยาออกมาพันแผลภายนอกเสียหน่อยแล้วใช้น้ำในถุงใส่น้ำล้างหน้าอย่างลวกๆ จากนั้นค่อยกลับมานั่งขัดสมาธิปรับกลิ่นอายตรงใกล้ๆ เฟิ่งจิ่ว
เวลาในยามค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ความสงบหลังผ่านอันตรายทำให้คนอดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายลง อาจเพราะแรงกดดันอันทรงพลังที่ปกคลุมสถานที่แห่งนี้ไว้ค่อยๆ จางไป ตามด้วยท้องฟ้าที่สว่างขึ้นอย่างช้าๆ ภายในป่าจึงมีเสียงร้องคำรามเบาๆ ของสัตว์ร้ายลอยมาอยู่แว่วๆ
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต่างนึกไม่ถึงคือเดิมทีคิดว่าเฟิ่งจิ่วจะฟื้นขึ้นมาเมื่อฟ้าสว่าง กลับไม่นึกว่าจะหลับใหลไปเป็นเวลาถึงสามวันสามคืน…
และในขณะที่เธอกำลังหมดสติ ภายในเมืองอวิ๋นเยวี่ยก็มีภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดมาเยือนตระกูลเฟิ่งอย่างไร้ซึ่งคำเตือนทำให้พวกเขาไม่ทันรับมือ…
…………………