№ 378 จุดยืนของเขา!
พอได้ยินคำพูดนี้ทั้งสองก็ยิ่งโกรธอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในนั้นตะคอกว่า “ช่างกล้านัก! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใครถึงได้กล้าปฏิเสธ?”
“ใครมาก็เหมือนกัน เชิญสองท่านกลับไปเถอะ!”
พวกเขาหกคนขวางอยู่ตรงประตูมองสองชายชราที่ค่อยๆ กดดันมาด้วยหน้าถมึงทึง วรยุทธ์พวกเขาไม่ถึงระดับพรรพชนนักรบแต่หากอาจารย์พวกเขามา หึ! ไม่ต้องพูดถึงสองคนนี้หรอก ต่อให้มาอีกสองก็ต้องคลานออกไป!
อาจเพราะคิดว่าจวนตระกูลเฟิ่งในยามนี้ไม่ได้น่าเกรงขาม ชายชราทั้งสองเห็นพวกเขาขวางประตูไว้ไม่ให้เข้าไป หนึ่งในนั้นจึงก้าวยาวเดินเข้าไปสะบัดแขนเสื้อตะโกนว่า “หลบไป! ข้าจะเข้าไปพบคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่ง หากพวกเจ้ากล้าขัดขวางก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
พวกเขาตกใจกับแรงกดดันจากชายชราคนนั้น ร่างกายสะดุ้งถอยห่างเล็กน้อยในทันที กำลังจะลงมือก็ได้ยินเสียงหนึ่งลอยมา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
พอเสียงนั้นดังมาทุกคนตรงหน้าประตูจวนก็มองไปยังผู้มาใหม่ตามเสียง เพียงเห็นมู่หรงอี้เซวียนในชุดคลุมสีม่วงมือหนึ่งวางไว้ข้างหน้าอีกมือหนึ่งไพล่หลังก้าวเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาคร่ำเครียดเล็กน้อย คิ้วขมวดกันเบาๆ จ้องมองชายชราสองคนนั้นด้วยสายตาที่มีความแหลมคมและไม่ชอบใจ
“ทั้งสองท่านเป็นคนข้างกายเสด็จพ่อไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาก่อเรื่องหน้าประตูจวนตระกูลเฟิ่งเล่า?” น้ำเสียงที่อ่อนโยนในวันวานยามนี้มีความเคร่งขรึมและไม่พอใจ สายตาที่จ้องมองชายชราทั้งสองเฉียบคมปานกระบี่ราวกับจะมองความคิดพวกเขาออก
“คารวะท่านอ๋องสาม”
ชายชราทั้งสองเห็นว่าผู้มาใหม่คือมู่หรงอี้เซวียนก็ตกใจเล็กน้อยพักหนึ่งกลับไม่กล้าแสดงออกมา ทว่ายังคารวะไปตามระเบียบ ในสายตาพวกเขาตอนนี้แม้มู่หรงอี้เซวียนเป็นเพียงท่านอ๋อง แต่พรสวรรค์และกำลังเขายังโดดเด่นยิ่งนักในหมู่คนรุ่นเยาว์ ความสำเร็จในอนาคตต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ถึงกับห่างไกลจากมู่หรงป๋อไปมาก ด้วยเหตุนี้ต่อหน้าเขาทั้งสองจึงไม่กล้าเหิมเกริมจนเกินไป
แต่มู่หรงอี้เซวียนยกเลิกการหมั้นหมายกับเฟิ่งชิงเกอแล้ว ทำไมยังปรี่มาจวนตระกูลเฟิ่งบ่อยๆ อีก? ตามที่พวกเขารู้ คนภายในจวนก็ไม่ได้ชอบเขามากเท่าไหร่!
“ท่านอ๋องสาม”
องครักษ์หกนายประสานมือคารวะ จากนั้นสายตาจึงมองผ่านบนร่างชายชราทั้งสองที่หลุบตาลงน้อยๆ ไม่พูดไม่จา ฟั่นหลินเอ่ยปากบอกว่า “ภายในจวนมีคำสั่ง ช่วงนี้ปิดประตูไม่รับแขกใครมาก็ไม่ขอพบ หลังพวกเราชี้แจงสองท่านนี้ไม่ยอมออกไปซ้ำยังจะบุกเข้ามา บอกว่าต้องการนำของมาแลกเปลี่ยนกับเหล่าไป๋ม้าของคุณหนูใหญ่ตระกูลเรา จะขอถามท่านอ๋องสามสักหน่อย ไม่ทราบว่านี่เป็นความตั้งใจของผู้อาวุโสสองท่านนี้หรือผู้ครองแคว้น?”
มู่หรงอี้เซวียนที่ได้ยินคำพูดนี้กวาดมองไปทางชายชราสองคนนั้นด้วยสายตาตึงเครียดเล็กน้อย “เรื่องนี้เป็นความจริงรึ?”
“คือ…”
ทั้งสองลังเล เงียบอยู่นานไม่ปริปาก
เห็นท่าทีทั้งสองมู่หรงอี้เซวียนก็ใบหน้าบึ้งตึง บอกว่า “จวนตระกูลเฟิ่งยังคงเป็นตระกูลผู้ปกปักษ์แคว้น ต่อให้ส่งมอบอำนาจไปแล้วหรือแม่ทัพเฟิ่งล้มลง ข้าก็ไม่อนุญาตให้ใครรังแกคนจวนตระกูลเฟิ่งแม้แต่น้อย! ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือสาหาความกับพวกท่าน หากมีครั้งต่อไปต่อให้เสด็จพ่อปกป้องพวกท่านข้าก็ไม่ปรานีแน่!”
น้ำเสียงเขาทั้งดุดันและมีความขึงขัง คนคนหนึ่งที่เดิมเคยอบอุ่นสง่างามพอโกรธขึ้นมาก็ทำให้คนไม่กล้ามองตาเขาตรงๆ คำพูดเอ่ยออกมาอย่างเสียงดังทรงพลัง ไม่เพียงทำให้ชายชราทั้งสองรับรู้ถึงจุดยืนของเขา ยังทำให้คนจวนตระกูลเฟิ่งที่แอบสังเกตอยู่รอบๆ รู้ว่าเขาจะปกป้องจวนแห่งนี้!
องครักษ์ทั้งหกเห็นเช่นนี้ก็แปลกใจอยู่บ้าง ไม่นึกว่ามู่หรงอี้เซวียนจะปกป้องจวนเช่นนี้ เพื่อคุณหนูใหญ่งั้นรึ?
…………………