Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 390

№ 390 ติดกับ

“แม้แต่เหลิ่งซวงนางยังไม่พาไป ออกไปเองจะดีจริงๆ รึ?”

“อืม ช่วงนี้คนมากมายต่างจับตามองจวนตระกูลเฟิ่งเรา น่ากลัวจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”

“หรือว่าพวกเราจะลองตามไปดู?”

“ไม่ได้ ในเมื่อไม่มีคำสั่งให้ติดตามก็เท่ากับสะกดรอยตามนายท่าน ทำเช่นนี้ไม่ได้” ฟั่นหลินส่ายหน้า ชะงักไปเล็กน้อย “พวกเราไปหาอาจารย์กันเถอะ! นายท่านออกไปข้างนอก ควรมีคนไปรายงานพวกเขา”

“ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ต้องถามหรอก พวกเขาคงคิดว่าพลังนายท่านดูแลตัวเองได้ไม่มีปัญหาจึงไม่ให้พวกเราตามไป ยิ่งไปกว่านั้นหลัวอวี่บอกแล้วไม่ใช่หรือ ฝีมือนายท่านไม่ธรรมดา ครั้งนั้นยังซ้อมเขาจนกลายเป็นหัวหมูเลยไม่ใช่หรือไง”

ได้ยินเช่นนี้ พวกเขาครุ่นคิดกันอยู่นานนัก จากนั้นถึงจะเดินไปยังศาลาตรงภูเขาจำลอง

เฟิ่งจิ่วออกจากจวนไปด้วยชุดสีแดงพร้อมท่าทีห้าวหาญองอาจและเปิดเผยเอาแต่ใจ ม้าขาวชุดแดงโลดแล่นผ่านกลางถนนในยามเช้าตรู่ ช่างสะดุดตายิ่งนัก

โดยเฉพาะเมื่อยามนี้เป็นช่วงที่จวนตระกูลเฟิ่งกำลังมีเรื่องมากมาย สายตาของกลุ่มอำนาจแต่ละฝ่ายภายในเมืองต่างจับจ้องทุกการกระทำของพวกเขา ด้วยเหตุนี้การที่นางควบม้าออกไปแต่เช้าจึงน่าฉงนอย่างยิ่ง

ไม่ใช่แค่วันเดียว นางควบม้าออกไปติดต่อกันหลายวันเช่นนี้ แม้แต่มู่หรงอี้เซวียนยังได้ยินข่าว ทว่านึกถึงคำพูดของนางในวันนั้น เขาจึงได้แต่กดความคิดชั่ววูบที่อยากจะไปหานางเอาไว้

ยิ่งไปกว่านั้น ในใจเขายังกังวลว่าเรื่องที่บิดานางหมดสติไม่ฟื้นจะเป็นฝีมือเสด็จพ่อเขา หากเป็นเช่นนี้จริง ระหว่างเขากับนางก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้

เช้าตรู่วันที่สาม เฟิ่งจิ่วยังคงพาเหล่าไป๋ออกไปข้างนอก ที่แตกต่างคือครั้งนี้แม้แต่ฉิวฉิวยังตามมาด้วย เพียงแต่เหล่าไป๋ไม่ยอมให้มันขี่ เจ้าตัวน้อยจึงทำได้เพียงก้าวขาเล็กสั้นๆ วิ่งตามหลังม้าไป

เพราะรูปร่างกลมนุ่มนิ่ม ตัวเล็กน่ารักน่าชัง เมื่อผ่านไปบนถนนหนทางก็ดึงดูดความสนใจจากเด็กสาวเด็กหนุ่มไม่น้อย

“นั่นลูกหมารึ? น่ารักมากเลย!”

“ไม่ใช่ลูกหมา คล้ายๆ ลูกแมวมากกว่า”

“ขนมันยาวนัก ทั้งยังตัวเล็กเหมือนลูกหนัง แต่กลับวิ่งเร็วมาก”

“ช่างน่ารักจริงๆ ไม่รู้ว่าซื้อมาจากไหน”

“นั่นคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งนี่ หากเป็นของนาง ไม่ใช่ของที่คนทั่วไปซื้อได้แน่”

“ดูท่าทางจะเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณ พบเห็นได้น้อยยิ่งนักในแคว้นแสงสุริยันเรา”

บนถนนมีเสียงพูดคุยแว่วมา เฟิ่งจิ่วหันมองเล็กน้อย เห็นด้านหลังฉิวฉิวมีเด็กๆ ตามมาเป็นโขยง จึงยิ้มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ หลังบอกให้เหล่าไป๋ชะลอความเร็ว สองมือก็กางออกพลางตะโกนเรียกฉิวฉิวที่เดินก้าวขาเล็กสั้นอยู่ “ขึ้นมาสิ”

“โฮ่ง!”

เจ้าตัวเล็กส่งเสียงร้อง ขาสั้นๆ กระโจนขึ้น พุ่งไปยังอ้อมกอดเฟิ่งจิ่ว

เฟิ่งจิ่วยิ้มอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ กอดเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดพร้อมลูบหัวมัน ระหว่างหันกลับก็เหลือบมองไปโดยไม่ตั้งใจ เห็นร่างชุดขาวยืนอยู่ตรงหน้าต่างบนภัตตาคาร กำลังจ้องมองเธอด้วยแววตาเป็นประกาย

เมื่อเห็นว่าเป็นมู่หรงอี้เซวียน เธอดึงสายตากลับมาช้าๆ สองขากระทุ้งท้องเหล่าไป๋พร้อมแผดเสียง ก่อนจะรีบรุดทะยานผ่านถนนใหญ่ที่คนค่อนข้างน้อยอย่างรวดเร็ว และหายลับไปจากสายตาเขา…

บริเวณชั้นสอง มู่หรงอี้เซวียนมองร่างนางหายลับไปจากสายตา นึกถึงรอยยิ้มเมื่อครู่แล้วในใจก็วางใจลงเล็กน้อย เดิมทีเป็นห่วงว่าตระกูลเฟิ่งเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้นางอาจรับไม่ไหว แต่ดูท่าตอนนี้นางขี่ม้าออกไปอย่างสบายใจ ก็พอจะเห็นได้ว่าทุกอย่างยังดีอยู่

เขาหมุนกายนั่งลง หันหลังไปด้านนอก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทันเห็นสองร่างที่พุ่งตามหลังเฟิ่งจิ่วไปอย่างเงียบเชียบ…

…………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version