№ 393 ตกใจเมื่อรู้ข่าว
เฟิ่งจิ่วสาวก้าวมานั่งลงข้างโต๊ะ ยิ้มแย้มกล่าว “ลูกมาบอกข่าวดีท่านพ่อเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”
“นายท่าน ชาขอรับ” เหลิ่งหวาที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ รินน้ำชาส่งให้เธอ
“อืม ดี” เธอเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง พร้อมพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม
“ข่าวดีอะไรรึ?” เฟิ่งเซียวกินข้าวต้มยาในชาม เช็ดๆ มุมปาก มองนางพลางขยับชามออกไป
เธอยกน้ำชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง บอกว่า “สองคนนั้นตายแล้ว”
เฟิ่งเซียวตกใจ อึ้งไปสักพัก ทั้งดวงตามีประกายสาดส่อง ก่อนจะกดเสียงเอ่ยอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ลูกหมายถึงตาแก่สองคนนั้น?”
“เจ้าค่ะ เพิ่งจัดการไป”
บนใบหน้าเธอเผยรอยยิ้มอิ่มเอม ดวงตาวงคิ้วโค้งมนไร้พิษสง “เช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะมาหาถึงที่หรือแอบทำมิดีมิร้ายอะไรอีก ซ้ำยังสามารถลดทอนกำลังของมู่หรงป๋อ ยิงคราเดียวได้นกสองตัว”
ชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งนัก นางกลับพูดออกมาอย่างผ่อนคลายเช่นนี้ ครั้นได้ยินคำพูดนี้และเห็นสีหน้านาง เฟิ่งเซียวก็หัวเราะร่าขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “ฮ่าๆๆ ดีๆ! อึก!”
พอยินดีเช่นนี้ก็ลืมไปว่าบาดแผลภายในยังไม่หายดี เสียงหัวเราะจึงสะเทือนจนทรวงอกเจ็บเล็กน้อย
“ท่านพ่อ บนตัวท่านยังพันยาไว้นะเจ้าคะ!” เฟิ่งจิ่วกลอกตา จนคำพูดกับการกระทำที่ไม่เอาไหนของเขายิ่งนัก แผลบนร่างตัวเองยังไม่หายดีก็ไม่รู้จักเก็บรอยยิ้มเสียบ้าง
เขาใช้มือหนึ่งลูบๆ หน้าอก พอค่อยยังชั่วก็ถอนหายใจ “เฮ้อ! หากปู่ลูกอยู่บ้านด้วยคงดี ได้ยินข่าวนี้ต้องดีใจมากแน่ๆ”
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง อย่างน้อยตอนนี้ไม่มีข่าวก็นับเป็นข่าวดี” เธอปลอบใจเสียงอ่อนลง คิดไปคิดมาก็บอกว่า “จริงสิท่านพ่อ ข้าอยากไปดูในห้องท่านปู่เสียหน่อย ข้าว่าไม่แน่ท่านปู่อาจรู้ว่าคนที่จับตัวไปเป็นใคร หรือก่อนหน้านี้คงมีเบาะแสอะไรเหลือไว้”
เฟิ่งเซียวพยักหน้า กล่าวว่า “ได้ เจ้าอยากไปก็ไป ร่างกายพ่อยังไม่ฟื้นตัว ตอนนี้มีเรื่องอะไรก็ได้แต่ยกให้เจ้าไปจัดการ” ดีที่วิธีจัดการของนางเด็ดขาดว่องไว แม้ภายในจวนเป็นเช่นนี้ ก็ยังสามารถประคับประคองไว้ได้ทุกส่วน ทำให้เขาสบายใจไม่น้อย
“เรื่องภายในจวนมีลูกอยู่ ท่านพ่ออย่าได้กังวล พักฟื้นดีๆ ก็พอเจ้าค่ะ” เธอเอ่ยยิ้มๆ มองหาเหลิ่งหวาพลางถามว่า “ยาทาที่ข้าปรุงยังมีอยู่หรือไม่ หากไม่มีก็ไปหาข้าแล้วเอามาอีก”
“มีขอรับนายท่าน ยังใช้ไม่หมด”
“อืม งั้นข้าจะกลับเรือนก่อน” กล่าวจบแล้วถึงจะยืนขึ้นเดินออกไป
เวลาเดียวกันนี้ ภายในราชวัง
“ผู้ครองแคว้น ผู้ครองแคว้นแย่แล้ว แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ชายชราคนหนึ่งเข้ามากลางท้องโรงด้วยท่าทางลนลาน เพราะความตื่นตระหนก จึงเกือบจะสะดุดธรณีประตูแล้ว
“ตื่นตกใจเรื่องอะไร?”
มู่หรงป๋อถามอย่างเฉื่อยชา น้ำเสียงมีความเคร่งขรึม เขากำลังยกชาขึ้นดื่ม สองข้างซ้ายขวามีสองนางกำนัลผู้งดงามคุกเข่านวดขา ด้านหลังยังมีอีกสองคนยืนพัดให้ พูดได้ว่าช่างเอ้อระเหยยิ่ง
ผู้เฒ่าตระกูลเฟิ่งหายตัวไป เฟิ่งเซียวหมดสติไม่ฟื้น สำหรับเขาล้วนเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง แม้จวนตระกูลเฟิ่งยังไม่สิ้น ทว่ามีอำนาจคุกคามต่อเขาไม่มากแล้ว ต่อให้เขาอยากทำลายก็เป็นเรื่องง่ายดายเพียงขยับปาก
แม้แต่เฟิ่งชิงเกอคุณหนูใหญ่แห่งจวนตระกูลเฟิ่ง อีกไม่นานก็ต้องโดนจับมาแต่งงานผูกสัมพันธ์กับแคว้นระดับหกอย่างแคว้นเหินเวหา เช่นนี้ฐานะของแคว้นแสงสุริยันจะโดดเด่นขึ้นในหมู่แคว้นระดับเก้าทั้งหลาย มีแคว้นเหินเวหาคุ้มหัวอยู่ ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าทำแคว้นเขาสั่นคลอนโดยง่าย!
………………………………….