№ 708 โอหยางซิวกล่าวท้าประลอง
ตอนเย็น ทั้งสามที่เที่ยวเล่นแทบทั้งวันก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันตรงทางแยก
ขณะที่เฟิ่งจิ่วกำลังพาสามสัตว์อสูรเดินไปยังอาศรม เดินไปได้ระยะหนึ่งกลับเห็นนักเรียนระดับสวรรค์สวมชุดสำนักพลังวิญญาณคนหนึ่งยืนหันหลังให้เธอบนทางเบื้องหน้า แม้เธอกับสามสัตว์อสูรเดินเข้าใกล้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหลบ เห็นเช่นนี้จึงเลิกคิ้วทันที
“รบกวนหลีกทางหน่อย”
ยามนี้ ชายที่หันหลังให้เธอก็หันกลับมา เมื่อสี่ดวงตาสบกัน นัยน์ตาทั้งสองต่างฉายประกายหม่น
เฟิ่งจิ่วนั่งบนหลังเหล่าไป๋พลางพินิจมองคนตรงหน้า เครื่องแบบสำนักศึกษาบนร่างยังปกปิดกลิ่นอายหลักแหลมบนร่างเขา รวมถึงท่าทางเช่นผู้เหนือกว่าไม่ได้ คนคนนี้ต่อให้เป็นนักเรียนในสำนักศึกษา ก็คงเป็นนักเรียนที่มีอิทธิพลสามอันดับแรกในสิบผู้มีพรสวรรค์ของสำนัก
ไม่เพียงมีหน้าตาโดดเด่น แต่ยังมีพละกำลังไม่ธรรมดา และมีฐานะสูงกว่าใครๆ คนคนนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
ภายในสำนักศึกษาหมอกดารา ในหมู่สิบผู้มีพรสวรรค์ คนที่มีบุคลิกและรูปลักษณ์เช่นนี้ได้ นอกจากเนี่ยเถิงคนนั้นแล้ว คงมีแค่รัชทายาทโอวหยางซิวผู้มาจากแคว้นระดับหกอีกคน
โอวหยางซิวเป็นนักเรียนระดับสร้างรากฐานคนที่สองของสำนักพลังวิญญาณ พลังอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นกลาง เพราะเนี่ยเถิงอยู่สร้างรากฐานขั้นท้ายสุด เขาจึงโดนเนี่ยเถิงกดไว้อันดับสองของสิบผู้มีพรสวรรค์มาโดยตลอด
บอกได้เลยว่าเป็นรองเรื่อยมา
ระหว่างที่เฟิ่งจิ่วพินิจมอง โอวหยางซิวก็กำลังพินิจมองหนุ่มน้อยที่ขี่บนหลังม้าขาวเช่นกัน
ชุดสำนักศึกษาสีฟ้าที่ไม่โดดเด่น กลับมีความสง่างามน่าเกรงขามที่ไม่อาจปกปิด รูปโฉมงดงามปานเทพบุตรของหนุ่มน้อยลิขิตให้เขาเดินไปที่ไหนก็ล้วนเป็นที่สนใจ ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจโอวหยางซิวยิ่งกว่ากลับเป็นบุคลิกและดวงตาสดใสที่ลึกลับจนไม่เห็นก้นบึ้ง
ชัดเจนว่าเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบหก สวมเพียงชุดสีฟ้าไม่สะดุดตา กลับสง่างามอย่างยากจะปิดบัง เขานั่งขี่บนม้าขาว ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเกียจคร้าน และแสดงท่าทีเฉยเมย ราวกับเด็กหนุ่มเจ้าสำราญเช่นนั้น
ทว่าเมื่อหนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้น ดวงตาสดใสที่ลึกล้ำจนไม่เห็นก้นบึ้งและแฝงความลึกลับกลับแอบซ่อนความดุร้ายและแรงกดดันไว้ มองแค่แวบเดียวก็ทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน!
เด็กหนุ่มที่ชื่อเฟิ่งจิ่วคนนี้มาจากแคว้นระดับเก้าจริงหรือ?
บุคลิกท่าทาง รูปโฉมหน้าตา และความแพรวพราวสง่างามเช่นนี้ เขาจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?
“เฟิ่งจิ่ว?” เสียงเขาดังมา ในความทุ้มต่ำมีความดุดัน
“โอวหยางซิว?” เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
ดวงตาของโอวหยางซิวหรี่ลง “ข้าได้ยินชื่อเสียงเจ้ามานานแล้ว”
“เช่นกันๆ” มุมปากเฟิ่งจิ่วยกขึ้นเล็กน้อย เหมือนยิ้มแต่ก็ใช่ไม่ยิ้ม
เขามองลึกล้ำที่หนุ่มน้อยบนหลังม้า อยากจะมองให้รู้ตื้นลึกหนาบาง ดังนั้นจึงกล่าวว่า “อีกสามวันให้หลัง ข้าจะรอเจ้าที่ลานประลองวายุเมฆา” กล่าวจบ ไม่รอให้เฟิ่งจิ่วพูดตอบก็หมุนตัวจากไปทันที
ในความคิดเขา คนอย่างเฟิ่งจิ่วผู้นี้ หากตนเองกล่าวท้าประลอง อีกฝ่ายไม่มีทางไม่มา
แต่เขายังไม่เข้าใจและประเมินเฟิ่งจิ่วต่ำไป จึงไม่รู้เลยว่าเฟิ่งจิ่วแค่ฟังคำพูดนี้ไปโดยไม่แม้แต่จะเก็บมาใส่ใจ
ขณะมองร่างที่เดินไกลออกไป รอยยิ้มตรงริมฝีปากเฟิ่งจิ่วยิ่งกว้างขึ้น เธอตบๆ หัวเหล่าไป๋แล้วพูดกับหมีดำตัวใหญ่ข้างๆ ว่า “เสี่ยวเฮย พวกเราไปกันเถอะ!”
หนึ่งคนสามสัตว์อสูรย่างฝีเท้ามุ่งไปยังอาศรมอีกครั้ง
ทางด้านนี้โอวหยางซิวเพิ่งท้าประลองกับเฟิ่งจิ่ว อีกด้านไม่เพียงสำนักพลังวิญญาณ แต่นักเรียนแทบทั้งสำนักศึกษาล้วนได้ยินข่าวอย่างรวดเร็ว ต่างรู้ว่าอีกสามวันให้หลังโอวหยางซิวจะประลองกับเฟิ่งจิ่วที่ลานประลองวายุเมฆา…
…………………………