№ 96 ไฟไหม้จวนตระกูลสวี่!
ทว่า ทั้งสองท่านในเวลานี้กลับไม่รู้ ว่าคนที่กล่าวถึงกันอยู่ ได้เดินออกจากค่ายกลนั้นอย่างปลอดภัยไร้อุปสรรค…
เมื่อออกจากค่ายกลกระบี่ พวกนางก็พบกับองครักษ์ลาดตระเวนกะดึกกองหนึ่งที่เดินมา ขณะที่เหลิ่งซวงยังไม่ทันได้หลบ ก็ถูกเฟิ่งจิ่วลากพามาอีกด้านหนึ่ง เงาร่างแวบผ่านรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ทำให้คนที่ลาดตระเวนกะดึกไม่ได้สังเกตเลยสักนิด
ยืนรออยู่นิ่ง เหลิ่งซวงตกใจน้อยๆ ก่อนจะมองนายท่านข้างกายด้วยแววตาที่มีความเหลือเชื่อ ท่วงท่าเช่นนั้น เดาว่าต่อให้นางฝึกฝนวิชาอีกสิบปีก็ยังเทียบได้ไม่ติด
“ไป!”
เฟิ่งจิ่วบอกเสียงเบา แล้วพานางเดินไปอีกด้าน ตลอดเส้นทาง ถึงแม้จะพบเจอองครักษ์ลาดตระเวนกะดึกของตระกูลสวี่อยู่เรื่อยๆ แต่ก็ล้วนถูกทั้งสองหลบเลี่ยง จึงไม่ทำให้พวกเขาไหวตัวทัน
ในที่สุดเหลิ่งซวงก็รู้ถึงความหมายคำพูดก่อนหน้าของนายท่าน
รอบนอกด้านในนี้เป็นค่ายกลกระบี่ ภายในกลับเห็นองครักษ์ลาดตระเวนกะดึกอยู่ทุกหนแห่ง หากนางเข้ามาเสียเอง เดาว่าคงถูกพบตัวนานแล้ว
“รออยู่ตรงนี้นะ”
หลังจากเฟิ่งจิ่วทิ้งคำพูดไว้ ก็พุ่งตัวออกไปอย่างเงียบงัน ล็อคตัวปิดปากองครักษ์นายหนึ่งที่อยู่ทิ้งท้ายหลังสุดลากไปยังมุมมืด รอกององครักษ์นั้นเดินไปไกล ค่อยเอ่ยถามกดเสียงเบา “กวนสีหลิ่นอยู่ที่ไหน?”
องครักษ์ผู้นั้นเบิกดวงตาอย่างตื่นตระหนก ในแววตาร้องขอความเมตตา ก่อนจะยื่นมือชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ถีบขาคิดจะดิ้นรนหนีไป เห็นเช่นนี้ แววตาเฟิ่งจิ่วเย็นเยียบ ใช้มือหนึ่งจับหักคอเขา แล้วลากไปทิ้งไว้ยังมุมมืด
ทั้งสองออกมาอีกครั้ง มองหาไปตามทิศทางนั้น พอพบองครักษ์ลาดตระเวนกะดึกก็หลบเลี่ยง จนกระทั่ง เมื่อมาถึงด้านในบริเวณข้างภูเขาจำลอง เฟิ่งจิ่วถึงจะหยุดฝีเท้าลง
เหลิ่งซวงใช้สายตามองเป็นคำถาม ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงหยุดลงอย่างกะทันหัน
และทุกที่ด้านหน้าที่สายตาเฟิ่งจิ่วหันแฉลบมองไป เห็นที่ไกลๆ ตรงด้านข้างภูเขาจำลองมีองครักษ์สี่นายเฝ้าอยู่ นอกจากนี้ มุมมืดบริเวณรอบๆ ยังมีคนซ่อนตัวอยู่อีกไม่น้อย
แววตาเธอครุ่นคิด รู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางจัดการทั้งคนในที่แจ้งและที่ลับได้เพียงชั่วอึดใจ เช่นนั้นก็เหลือแค่ใช้ยาแล้ว
พอพลิกฝ่ามือ ก็หยิบขวดยาออกมาจากในห้วงมิติ แอบขึ้นไปเหนือลมอย่างเงียบสงัด อาศัยสายลมยามวิกาลสลัดน้ำยาในมือออกไป จากนั้นค่อยรออยู่นิ่งๆ จนกระทั่ง คนทั้งในที่ลับที่แจ้งต่างล้มกันลงไป ถึงจะส่งสัญญาณให้เหลิ่งซวงออกมา
“เจ้าเฝ้าไว้ ข้าจะลองเข้าไปดู” สิ้นสุดน้ำเสียง ก็งัดเปิดประตูหินเดินเข้าไป
พอเข้ามาด้านใน กลิ่นที่มืดสลัวและชื้นแฉะก็ปะทะโดนใบหน้า กลิ่นคาวเลือดฉุนกึกทำให้เธอขมวดคิ้วแน่นขึ้น โดยเฉพาะ เมื่อเห็นคนที่เนื้อเหวอะหวะช้ำเลือดช้ำหนองถูกผูกตรึงไว้บนเสาไม้ ใจยิ่งร้อนรน ไอกระหายเลือดเอ่อล้นไปทั่วร่าง
“ท่านพี่!”
เธอเรียกเสียงเบา แต่เขาหมดสติไป จึงไม่รู้สึกตัวแล้ว
เห็นเช่นนี้ จึงยัดเม็ดยาใส่ในปากเขาอย่างรวดเร็ว ตัดเชือกปล่อยคนลงมาและพาออกไป
“ข้าจะล่อคนไป เจ้าหาโอกาสพาเขาออกไปก่อนนะ”
เหลิ่งซวงที่ประคองกวนสีหลิ่นอยู่พยักหน้า กล่าวเตือนอย่างไม่วางใจ “นายท่าน ระวังตัวหน่อยนะเจ้าคะ”
“อืม รีบไปซะ”
เธอรับปาก พอเห็นพวกเขาเดินไปอีกด้าน ถึงจะเบนสายตามาจับจ้องที่เรือนหลักในส่วนที่พำนัก แววตามีจิตสังหารอันกระหายเลือดเยือกเย็น และน้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากปาก
“ข้าจะทำให้พวกเจ้ารู้ ว่าคนแบบไหนไม่ควรยุแหย่!”
“ไฟไหม้! ไฟไหม้แล้ว! รีบดับไฟเร็ว!”
ท่านผู้นำตระกูลสวี่กับชายชราที่พูดคุยกันอยู่ในลานบ้าน เมื่อได้ยินเสียงเรียกดับไฟดังลอยมาจากด้านนอก ก็พลันลุกยืน “เกิดอะไรขึ้น?”
องครักษ์นายหนึ่งท่าทางรีบร้อนเข้ามา “ท่านผู้นำตระกูล แย่แล้วขอรับ ด้านในจวนเกิดเพลิงไหม้ขึ้นหลายแห่ง ไฟโหมรุนแรงมาก ใกล้จะลามมาถึงด้านนี้แล้วขอรับ!”
พอสองท่านได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปยกใหญ่ ก่อนจะพุ่งไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว…