Skip to content

เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน 10

Chapter 10

การทดสอบเจ้าตระกูล 1

หวงห้าวหยางตาโตหูผึ่งทันที “รีบยกมาเลย”

“เจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งยิ้มๆ ส่งสายตาสั่งสาวใช้ สาวใช้ก็รีบไปยกไหเหล้าเลิศรสมาทันที นางยกไหเหล้าไปวางตรงหน้าหวงห้าวหยาง หวงห้าวหยางรีบเปิดไหเหล้าดมกลิ่น “อา เหล้าดีๆ”

เขารินเหล้าลงจอกอย่างถูกอกถูกใจ เฉินมู่อิ๋งจึงเรียนรู้ว่าท่านตาชอบดื่มเหล้า เช่นนั้นต่อไปในอนาคตหากเขาจะปะเหลาะท่านตาก็ต้องใช้เหล้าปะเหลาะ ฮี่ๆๆๆ

หลังจากนั้น ทั้ง 4 คนก็นั่งกินข้าวร่วมกัน หวงห้าวหยางดื่มจนเมา บ่าวก็ประคองหวงห้าวหยางไปนอนในห้องที่จัดเตรียมเอาไว้ ส่วน 3 พ่อแม่ลูกก็เข้าเรือนนอนไป เมื่ออยู่ตามลำพัง 3 คนแล้วเฉินมู่อิ๋งก็อ้อนท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากไปบ้านเกิดของท่านแม่ขอรับ”

“เจ้ายังเล็กนัก จะเดินทางไกลได้อย่างไร” เฉินจงกุ้ยพูดอย่างเป็นห่วง เฉินมู่อิ๋งก็ปะเหลาะท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ ข้าอยู่ที่นี่ข้าต้องแกล้งทำตัวอ่อนแอ จะฝึกวรยุทธ์ก็ไม่สะดวก อีกทั้งหูตามากเกินไป ทั้งข้ายังต้องไปเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายใหญ่ซึ่งองค์ชายใหญ่ไม่ชอบข้า ข้าไม่อยากสร้างปัญหาให้ท่านพ่อขอรับ สู้ให้ข้าไปไกลๆ สักพักจะดีกว่านะขอรับ คิดเสียว่าข้าไปร่ำเรียนวิชาก็ได้ขอรับ”

“หือ? องค์ชายใหญ่ไม่ชอบเจ้าหรือ? เขากลั่นแกล้งอะไรเจ้าบ้าง?” เฉินม่านอิ๋งถามลูกทันที เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “เขายังไม่ได้กลั่นแกล้งรังแกข้า แต่เขาไม่ชอบข้านั้นเป็นเรื่องจริงขอรับ”

“อ่อ” เฉินม่านอิ๋งรับรู้ นางเบาใจขึ้นนิดหนึ่งที่ลูกไม่ได้ถูกรังแกอะไร หากกล้ารังแกลูกของนางซิ ต่อให้เป็นองค์ชายนางก็จะแก้แค้นคืนให้สาสมเชียว

“ท่านแม่ ท่านตาคงเหงามากนะขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพูดขึ้นมา เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า “อืม” แล้วนางก็พูดว่า “ข้าชวนท่านตาเจ้ามาอยู่ด้วยตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ท่านตาเจ้าก็ไม่ยอมมา บอกว่าไม่ชอบเมืองหลวงที่มีคนพลุ่กพล่านเกินไป”

“เช่นนั้นตอนที่ข้าไปกับท่านตาข้าจะปะเหลาะท่านตาให้ย้ายมาอยู่กับพวกเราดีไหมขอรับ?” เฉินมู่อิ๋งถาม เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า “ดีๆ”

“เดี๋ยวๆ พวกเจ้าน่ะ ข้าอนุญาตให้เขาไปกับท่านพ่อแล้วรึ?” เฉินจงกุ้ยขัดขึ้นมา เฉินมู่อิ๋งก็ขยับไปหาท่านพ่อ ปีนขึ้นเก้าอี้ไปนั่งตักท่านพ่อ อ้อนว่า “ท่านพ่อขอรับ อนุญาตให้ข้าไปเถอะนะขอรับ ข้าอยากฝึกวรยุทธ์ ข้าไม่อยากไปเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายใหญ่ ท่านพ่อยอมให้ข้าไปเถอะนะขอรับ”

เฉินจงกุ้ยถูกลูกออดอ้อนขนาดนี้เขาก็ทำใจแข็งไม่ลง แต่เขาก็ไม่อยากให้ลูกไปเลย เฉินมู่อิ๋งจึงพูดว่า “ถือเสียว่าให้ข้าเป็นตัวแทนท่านแม่ไปเยี่ยมบ้านเกิดเถอะขอรับ ถ้าท่านตาหาข้ออ้างอะไรมาพาท่านแม่กลับไป ข้าเกรงว่าท่านตาคงไม่ยอมให้ท่านแม่กลับมาง่ายๆ แน่นอน”

เฉินจงกุ้ยมองลูกอย่างตกตะลึง ลูกดูออกด้วยหรือว่าท่านตาพยายามหาทางพาท่านแม่กลับไปน่ะ!

“เรื่องวรยุทธ์ ท่านพ่อย่อมสอนได้ ให้อิ๋งเอ๋อร์ไปเรียนวรยุทธ์กับท่านพ่อก็ดีเหมือนกัน” เฉินม่านอิ๋งพูดอย่างครุ่นคิดถึงอนาคตของลูก หากวรยุทธ์อ่อนด้อยย่อมเอาตัวรอดยาก อีกทั้งศัตรูในที่ลับที่แจ้งก็มีมากนัก การส่งลูกไปอยู่กับท่านพ่อสักพักย่อมเป็นการดี ในระหว่างนี้นางจะได้หาทางจัดการ ‘สุนัข’ 2 ตัวนั้นเสีย พวกมันคิดร้ายต่อนางกับลูกมาหลายหนแล้ว บัญชีแค้นนี้คงต้องถึงเวลาทวงคืนเสียที นางมองสามีด้วยดวงตาแน่วแน่ “ท่านพี่ ยอมให้อิ๋งเอ๋อร์ไปบ้านเกิดข้าสักครั้งเถอะเจ้าค่ะ”

“แต่ว่าลูกยังเด็กนัก” เฉินจงกุ้ยพูดอย่างทำใจไม่ได้ที่จะต้องห่างลูก เฉินม่านอิ๋งจึงบอกว่า “ท่านพี่จะยอมดีๆ หรือต้องให้ข้า…”

“ยอมแล้วๆ ข้ายอมให้ลูกไปแล้ว” เฉินจงกุ้ยรีบพูด ถ้าไม่ยอมมีหวังฮูหยินของเขาได้งอนกลับบ้านเกิดไปพร้อมกับท่านพ่อตาน่ะซิ ไม่เอาเช่นนั้นเด็ดขาด เขายอมให้ลูกไปก็ได้ ฮือๆๆๆๆ

“ท่านพี่น่ารักที่สุด” เฉินม่านอิ๋งยิ้ม ยื่นมือไปหยิกแก้มสามีเบาๆ เฉินมู่อิ๋งมองท่านพ่อกับท่านแม่ตาปริบๆ เขารู้ว่าท่านพ่อรักท่านแม่มาก ไม่ว่าท่านแม่จะอยากได้อะไรท่านพ่อจะต้องขวนขวายหามาให้ท่านแม่ให้ได้ ใครๆ ในจวนต่างก็รู้ดีว่านายท่านนั้น ‘กลัวเมีย’ เป็นที่สุด หึๆๆๆ

เมื่อตกลงได้แล้ว เฉินมู่อิ๋งก็ถามเกี่ยวกับบ้านเกิดของท่านแม่ เฉินม่านอิ๋งก็เล่าให้ลูกฟัง “ที่นั่น………”

เฉินจงกุ้ยก็ฟังไปด้วย เขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องในตระกูลของฮูหยินมากนัก รู้แต่ว่าเป็นตระกูลใหญ่มีอำนาจของเมืองเว่ยหง แต่รายละเอียดนั้นเขาไม่รู้จริงๆ ตอนเขาพบฮูหยินก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาไปเมืองเว่ยหง เรียกว่าพบนางครั้งแรกก็รักนางแล้ว เขาจึงเอ่ยปากขอนางแต่งงานอย่างทำใจกล้าหน้าด้านที่สุดในชีวิต หลังจากนั้นเขาก็ถูกท่านพ่อของนางขัดขวางทุกวิถีทาง เขาเกือบจะถูกฆ่าแล้ว ดีว่านางออกหน้ามาช่วยเขาไว้ได้ทัน เขาจึงไม่ได้ตายคาคมดาบขององครักษ์ตระกูลหวง นางก็ยื่นคำขาดกับท่านพ่อว่า ถ้าไม่ให้นางตกแต่งกับเขานางจะหนีตามเขาไปเสีย หากหนีตามไม่ได้นางก็จะฆ่าตัวตายไปเสียเลย หวงห้าวหยางรักลูกสาวมากจึงจำต้องยอมให้ลูกตกแต่งกับหนุ่มจากเมืองหลวงอย่างเขา

เมื่อเฉินม่านอิ๋งเล่าจบ เฉินจงกุ้ยก็ปากอ้าตาค้างไปแล้ว โอ!!! ตระกูลหวงมีอำนาจมากจริงๆ

เฉินมู่อิ๋งก็ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลฝั่งท่านแม่มากขึ้น หลังจากเล่าจบแล้วสามพ่อแม่ลูกก็เข้านอน

วันรุ่งขึ้น เมื่อหวงห้าวหยางรู้ว่า ลูกเขยยอมให้หลานไปกับเขา เขาก็ดีใจมาก “ฮ่าๆๆๆ ดีๆๆ”

เขาหัวเราะครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “เช่นนั้นข้ากลับเลยดีกว่า เจ้าจะได้เปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว”

“หา!” เฉินจงกุ้ยปากอ้าตาค้าง ตกใจราวฟ้าผ่ากลางกบาลอย่างไรอย่างนั้น เขายังไม่ทันได้เตรียมใจดีๆ เลยนะ ท่านพ่อตาก็จะรีบพาหลานไปเช่นนี้เลยรึ! ฮือๆๆๆๆ

“อี้จื่อ เก็บของกลับบ้าน” หวงห้าวหยางตะโกนสั่งคนสนิท หวงอี้จื่อ (黄羿之) รับคำสั่ง “ขอรับ”

เขาสั่งบ่าวอีกทอดหนึ่งให้รีบเก็บข้าวของใส่รถม้าทันที เฉินม่านอิ๋งถอนหายใจทีหนึ่ง นางคิดอยู่แล้วเชียวว่าท่านพ่อจะต้องรีบพาหลานกลับไปแน่นอน นางจึงสั่งสาวใช้ว่า “เก็บของใช้ของคุณชายใส่รถม้าท่านพ่อเร็วๆ”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วรีบเดินไปเก็บของ เฉินมู่อิ๋งมองท่านแม่ เขาเดินไปกอดท่านแม่อย่างรู้สึกอาลัยอาวรณ์ เฉินม่านอิ๋งก็กอดลูกแน่น กว่าจะเดินทางไปถึง กว่าจะเดินทางกลับมา กว่าจะจัดการเรื่องราวต่างๆ เรียบร้อยดี กะคร่าวๆ แล้ว นางคงไม่เจอลูกเป็นปีเลยเชียวนะ เมื่อคิดถึงระยะเวลาที่จะไม่ได้เจอหน้าลูกนางก็ใจหายขึ้นมา อยากจะเปลี่ยนใจเสียเดี๋ยวนี้ ไม่ให้ลูกไปแล้วดีกว่า แต่นางพูดไปแล้วไม่อาจเปลี่ยนใจได้ ไม่เช่นนั้นท่านพ่อจะเสียใจ นางข่มความรู้สึกอยากร้องไห้ลงไป กอดลูกแน่นมาก

จนกระทั่งทำใจได้แล้วนางจึงคลายอ้อมกอด เฉินจงกุ้ยก็เดินไปกอดฮูหยินกับลูก เขาพูดกับลูกว่า “เจ้าต้องดูแลตัวเองให้มากๆ ล่ะ ถึงเจ้าจะฉลาดอย่างไรก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี ระวังตัวให้มากหน่อยเข้าใจหรือไม่?”

“ขอรับท่านพ่อ ข้าจะดูแลตัวเองดีๆ ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ เฉินม่านอิ๋งจึงหันไปสั่งสาวใช้ว่า “พวกเจ้าตามไปรับใช้คุณชายเถอะ”

“ไม่ต้องๆ ให้พวกนางอยู่รับใช้เจ้าน่ะดีแล้ว ข้าจะได้วางใจ ส่วนสาวใช้ของมู่อิ๋งเดี๋ยวข้าหาให้ใหม่ รับรองว่าจะคัดสาวใช้หน้าตาดีๆ ให้อย่างดีเลย 7 คืน 7 คนไปเลย หึๆๆๆๆ” หวงห้าวหยางหัวเราะชอบใจ เฉินม่านอิ๋งหน้าดำทมึนขึ้นมา “ท่านพ่อ อิ๋งเอ๋อร์ยังอายุแค่ 6 ขวบกว่าๆ ท่านไม่ต้องรีบหาบ่าวอุ่นเตียงให้เขาหรอก”

“ต้องรีบๆ เขาจะได้อยากอยู่ที่เมืองเว่ยหงตลอดไป” หวงห้าวหยางพูดยิ้มๆ เขาไม่ปิดบังแผนการล่อลวงหลานสักนิด เฉินจงกุ้ยยกมือนวดขมับอย่างอ่อนใจ ท่านพ่อตายังไม่ทันพาหลานไปเลยก็คิดแผนการหลอกล่อให้หลานอยู่ที่นั่นเสียแล้ว เฮ้อ…

เฉินมู่อิ๋งฟังผู้ใหญ่คุยกันไปคุยกันมา เขาเข้าใจทุกอย่างแต่ก็ทำเฉยเสีย เขาก็มีแผนการกล่อมให้ท่านตามาอยู่กับท่านแม่เหมือนกัน ฮี่ๆๆๆ

หลังจากนั้นหวงอี้จื่อก็เดินไปกุมมือรายงานว่า “นายท่านขอรับ พร้อมเดินทางแล้วขอรับ”

“ดีๆ” หวงห้าวหยางพยักหน้า เขาเดินไปหาหลาน ยื่นมือไป “ไปกันเถอะมู่อิ๋ง”

เฉินม่านอิ๋งจึงกอดลูกแน่นๆ ทีหนึ่งแล้วยอมปล่อยลูก เฉินจงกุ้ยก็คว้าลูกไปกอดแน่นๆ อยู่นาน น้ำตาซึมในดวงตา

“นี่ๆ ปล่อยหลานข้าได้แล้ว” หวงห้าวหยางเร่ง เฉินจงกุ้ยจึงยอมปล่อยลูก หวงห้าวหยางยื่นมือไปจับมือหลานแล้วบอกว่า “ข้ากลับล่ะ พวกเจ้าคิดถึงเขาก็ไปเยี่ยมได้ทุกเมื่อ”

พูดจบแล้วเขาก็อุ้มหลานขึ้นมา พาไปขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าลูกสาวกับลูกเขยจะเปลี่ยนใจอย่างไรอย่างนั้น หวงอี้จื่อก็ขึ้นไปนั่งข้างสารถี ส่วนองครักษ์ก็ขึ้นม้าอย่างรวดเร็วยิ่ง หวงห้าวหยางสั่งว่า “กลับ!”

รถม้าก็เคลื่อนตัวออกไป องครักษ์ก็ตามคุ้มกันอย่างแข็งขัน เฉินม่านอิ๋งกับเฉินจงกุ้ยมองตามรถม้าไปอย่างใจหายมาก ลูกไม่เคยห่างอก พอได้ห่างอกก็จำต้องห่างไปไกลถึงชายแดนเชียวนะ เฉินจงกุ้ยยืนน้ำตาไหล “ฮูหยิน—”

เขาซบหน้ากับบ่าฮูหยินกลั้นเสียงร้องไห้จนปากสั่น เฉินม่านอิ๋งก็ลูบหลังสามีปลอบใจ สามีของนางนั้นจริงๆ แล้ว ‘ขี้แย’ มากเลยนะ สถานการณ์เช่นนี้ควรเป็นนางที่ร้องไห้ให้สามีปลอบใจซิ แต่ดูซิกลับเป็นนางที่ต้องปลอบใจเขาไปเสียได้ โถๆ พ่อหนุ่มน้อยขี้แยของข้า

หวงห้าวหยางนั่งกอดหลานดีใจจนหน้าระรื่นชื่นบาน เฉินมู่อิ๋งก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เขารู้สึกใจหายเหมือนกันที่ต้องจากเมืองหลวงไป แต่เขาจำเป็นต้องไปจริงๆ อยู่ที่นี่ก็ไม่อาจฝึกวรยุทธ์ดีๆ ได้เลย หูตาศัตรูก็มีมากเกินไป รอเขาโตอีกหน่อยค่อยกลับมาจัดการศัตรูทีละคน…ทีละคนเถอะ เริ่มจาก ‘สุนัข’ 2 ตัวนั้นก่อนก็ดีนะ หึๆๆๆ

ท่านแม่อยู่กับท่านพ่อเขาจึงไม่ห่วงท่านพ่อมากนัก อย่างน้อยท่านแม่ก็เท่าทันพวกสุนัข 2 ตัวนั่น คอยดูเถอะเขากลับมาเมื่อไหร่จะจัดการสุนัข 2 ตัวนั้นให้เจียนตายเลย!

เมื่อทำใจได้แล้วเฉินจงกุ้ยก็เข้าวังหลวงไปทำงาน เขาให้คนไปรายงานราชครูว่า เฉินมู่อิ๋งไม่อาจมาเรียนได้แล้วเพราะไปอยู่กับท่านตาที่เมืองเว่ยหงแล้ว ราชครูก็ไม่พูดอะไร เฉินมู่อิ๋งนั้นเป็นเพียงตัวเสริมเท่านั้น ตัวหลักของเขาก็คือองค์ชายทั้งสอง

เมื่อองค์ชายเก้ารู้ว่าเฉินมู่อิ๋งไม่อาจมาเรียนได้เขาก็ซึมไปเลย ส่วนองค์ชายใหญ่ดีใจมาก ไปอยู่เมืองเว่ยหงตลอดไปเลยนะ ไม่ต้องกลับมาเมืองหลวงเลยยิ่งดี หึๆๆๆ

ฮ่องเต้รู้ว่าเฉินมู่อิ๋งไปอยู่กับท่านตาแล้วก็รู้สึกเศร้าหน่อยๆ เขาเอ็นดูเด็กคนนั้นมากเลยนะ เฮ้อ…

ครั้นกลับถึงจวน จวนก็เงียบมากจนน่าเศร้า เฉินจงกุ้ยจึงกินอะไรไม่ค่อยลง เขากินไม่กี่คำแล้วก็ไปอาบน้ำเข้านอน เฉินม่านอิ๋งก็นอนข้างสามี ปกติแล้วมีลูกนอนอยู่ตรงกลาง คืนนี้ไม่มีแล้วทำนางเศร้าใจมากจริงๆ นางจึงขยับไปกอดสามี เฉินจงกุ้ยก็กอดฮูหยินร้องไห้อึกๆ “ฮูหยิน อึกๆ ข้า อึกๆ คิดถึงลูก อึกๆ”

“ข้าก็คิดถึงลูกเช่นกัน” เฉินม่านอิ๋งบอกน้ำตาไหล นางก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จนกระทั่งหยุดร้องไห้แล้วนางจึงเช็ดหน้าเช็ดตา เฉินจงกุ้ยมองฮูหยิน เขาไม่ได้กอดนางเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ? อืม? ตั้งแต่ลูกคลอดนั่นแหละ

ความรู้สึกบางอย่างทะยานขึ้นมา เขาจึงเริ่มลูบไล้เนื้อตัวฮูหยินถามว่า “ฮูหยิน ข้าทำได้หรือไม่?”

“ทำเลย” เฉินม่านอิ๋งตอบเสียงเบา เฉินจงกุ้ยจึงถอดอาภรณ์ฮูหยินออก หลังจากนั้นก็มีเสียงครางแผ่วเบาดังออกมา สาวใช้ล้วนรีบคลานออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ

วันคืนผ่านไปราว 3 เดือน รถม้าก็ไปถึงเมืองเว่ยหง รถม้าวิ่งไปจอดหน้าจวนตระกูลหวง สารถีก็บอกว่า “นายท่านขอรับ ถึงจวนแล้วขอรับ”

“อืม” หวงห้าวหยางลงจากรถม้าทันที เฉินมู่อิ๋งเดินตามออกไป หวงห้าวหยางก็ยื่นมือไปอุ้มหลานลงมาเอง บ่าวจะช่วยอุ้มลงอุ้มขึ้นหลายครั้งแล้วแต่หวงห้าวหยางไม่ยอมให้ใครอุ้มหลานเลย เรียกว่ากำลังเห่อหลานนั้นแหละ เฉินมู่อิ๋งเงยหน้ามองป้ายจวนตระกูลหวงเหนือประตูสีแดงบานใหญ่ ดูแล้วไม่ต่างจากพระราชวังเลยทีเดียว

“ไปๆ เข้าบ้านกันเถอะ” หวงห้าวหยางจูงมือหลานเข้าไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามไป ตาก็มองสำรวจไปรอบๆ องครักษ์สวมชุดเกราะก็ค้อมตัวต่ำ “นายท่าน”

สายตาพวกเขามองเด็กชายที่นายท่านจูงมืออยู่ หวงห้าวหยางไม่พูดอะไร เขารอไว้พูดทีเดียวดีกว่า ฮี่ๆๆๆ

“โอ้ นายท่านกลับมาแล้ว!?” พ่อบ้านหวงไท่หั่ว (黄泰火) พ่อบ้านประจำตระกูลหวงอุทานอย่างแปลกใจ เขากะว่าคงอีกสักเดือนหรือสองเดือนกระมังนายท่านจึงจะกลับจากเมืองหลวง หวงห้าวหยางมองพ่อบ้านหวง “เจ้าจะตกใจอะไร? หรือว่าตอนที่ข้าไม่อยู่เจ้าแอบไปทำเรื่องเลวร้ายลับหลังข้า?”

“ไม่ใช่ๆ” พ่อบ้านหวงรีบโบกมือปฏิเสธ “ข้าน้อยแปลกใจที่ท่านกลับมาเร็วกว่ากำหนดขอรับ”

“นี่หลานข้า” หวงห้าวหยางแนะนำ พ่อบ้านหวงมองเด็กชายข้างกายนายท่านเขม็ง “ลูกของคุณหนู?”

“หึ! ถ้าไม่ใช่ลูกของนางจะเป็นหลานข้าได้อย่างไร ก็ลูกนางนั่นแหละ ลูกที่สาวใช้ส่งข่าวมาบอกเมื่อคราวนั้นนั่นแหละ” หวงห้าวหยางพูดอย่างโมโหนิดๆ เขาหรือก็รออยู่ตั้งนานว่าลูกสาวจะพาหลานมาเยี่ยมท่านตาบ้าง แต่รอมาจน 6 ปีกว่าแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววเลย เขาจึงได้จัดการงานต่างๆ แล้วถ่อสังขารไปถึงเมืองหลวงเชียวนะเพื่อไปเยี่ยมลูกอกตัญญูกับหลานที่ไม่กลับมาเยี่ยมท่านพ่อเสียที

“อ่อๆ” พ่อบ้านหวงพยักหน้าหงึกๆ เขารู้ว่านายท่านคิดถึงคุณหนูมากขนาดไหน ทุกวันจะเฝ้ารอจดหมายจากเมืองหลวงกับรอว่าเมื่อไหร่ลูกสาวจะกลับมาเยี่ยมพ่อบ้าง นายท่านไปคราวนี้กลับมาพร้อมกับหลานชายคงไม่ใช่ว่านายท่านลักพาตัวหลานชายกลับมาหรอกนะ “…”

“นี่ๆ เจ้าไม่ต้องมองข้าเช่นนั้นเลยนะ ข้าไม่ได้ลักพาเขากลับมาด้วย เป็นอิ๋งเอ๋อร์กับลูกเขยอนุญาตให้ข้าพาเขากลับมาเอง” หวงห้าวหยางพูดอย่างโมโหนิดๆ พ่อบ้านหวงพยักหน้าหงึกๆ “ขอรับๆ ท่านไม่ได้ลักพาเขากลับมา”

“ท่านตา ข้าอยากถ่ายเบา” เฉินมู่อิ๋งบอกพลางกระตุกมือท่านตายิกๆ หวงห้าวหยางจึงส่งหลานให้พ่อบ้านหวง สั่งว่า “พาเขาไปที”

“ขอรับ” พ่อบ้านหวงยื่นมือไปจับมือคุณชายน้อย แต่เฉินมู่อิ๋งไม่จับมือพ่อบ้านหวง เขาเอามือไพล่หลัง ยืดตัวตรง บอกว่า “นำทางด้วย”

“ขอรับ” พ่อบ้านหวงจึงนำทางไป เขาคิดในใจสมกับเป็นลูกของคุณหนูจริงๆ รู้จักวางตัวตั้งแต่เล็กๆ เชียว จนกระทั่งถึงห้องปลดทุกข์เฉินมู่อิ๋งก็เดินเข้าไปข้างใน จัดการปลดทุกข์เบาแล้วล้างมือจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยจากนั้นก็เดินออกไป พ่อบ้านหวงมองอย่างเอ็นดู “เชิญขอรับ”

“ขอบคุณท่านมาก” เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ เพราะพ่อบ้านหวงอายุมากกว่าตัวเองมากนัก เขาถูกสอนมาให้เคารพผู้อาวุโส อีกทั้งผู้คนส่วนใหญ่ก็ชมชอบผู้มีสัมมาคารวะ พ่อบ้านหวงอึ้งไป ไม่เคยมีเจ้านายคนไหนกุมมือคารวะเขาเช่นนี้ เขารีบกุมมือตอบ “คุณชายน้อย ต่อไปท่านไม่ต้องคารวะข้าน้อยหรอกขอรับ ข้าน้อยเป็นบ่าว คุณชายน้อยเป็นนาย นายไม่คารวะบ่าวขอรับ”

“ข้าไม่ได้คารวะที่ท่านเป็นบ่าว แต่ข้าคารวะที่ท่านอาวุโสกว่าข้า เอาเถอะหากท่านไม่ชอบก็คิดเสียว่าเมื่อกี้ข้าคารวะลมก็ได้” เฉินมู่อิ๋งพูดแล้วเดินไป พ่อบ้านหวงตะลึงงัน ฝีปากคุณชายน้อยช่างน่าทุบ! จริงๆ เขาเดินตามคุณชายน้อยไป เฉินมู่อิ๋งเดินกลับไปที่ห้องโถง เห็นท่านตานั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานเขาก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัว หวงห้าวหยางสั่งพ่อบ้านว่า “เรียกประชุมตระกูลพรุ่งนี้ตอนเย็น”

“ขอรับ” พ่อบ้านหวงรับคำสั่ง หวงห้าวหยางลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปจูงมือหลาน “ไปๆ ตาจะพาไปกินข้าว”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า หวงห้าวหยางก็พาหลานเดินเข้าไปด้านใน พ่อบ้านหวงสั่งบ่าวแล้วเดินตามนายท่านไป

คนตระกูลหวงได้รับเทียบเชิญให้เข้าประชุมตระกูลตอนเย็นวันพรุ่งนี้ก็สงสัยกันถ้วนหน้า “หือ? ท่านลุงใหญ่เรียกประชุมเรื่องอะไรรึ?”

“เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงไม่ใช่รึ?”

“หรือว่าท่านลุงใหญ่จะให้ของจากเมืองหลวง?”

ฯลฯ ผู้คนคาดเดากันไปต่างๆ นานา

เย็นวันถัดมา ห้องโถงของจวนตระกูลหวงก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มาชุมนุมกันตามคำสั่งของหวงห้าวหยาง ทุกคนล้วนพูดคุยกันเสียงดังอื้ออึง จนกระทั่งหวงห้าวหยางจูงหลานเดินเข้าไปในห้องโถง สายตาของทุกคนจับจ้องที่หวงห้าวหยางกับเด็กชายตัวน้อยข้างกายหวงห้าวหยางเป็นตาเดียว “หือ? เด็กนั่นเป็นใคร?”

“นั่นลูกใครรึ? ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย”

“ท่านลุงใหญ่”

“พี่ใหญ่”

“ท่านลุงหยาง”

ฯลฯ เสียงพูดคุยเสียงทักทายดังไม่ขาดสาย หวงห้าวหยางจูงหลานเดินไปนั่งที่เก้าอี้ประธาน เขานั่งลงแล้วบอกทุกคนว่า “เอ้าๆ นั่งก่อนๆ ข้ามีเรื่องจะบอกพวกเจ้าทุกคน”

ทุกคนจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ พวกเขายังพูดคุยกันอย่างสงสัย “พี่ใหญ่เรียกพวกเรามาทำไมรึ?”

เฉินมู่อิ๋งยืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ของท่านตาอย่างสงบ เขามองทุกคนในห้องอย่างพินิจพิจารณา เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว หวงห้าวหยางจึงบอกว่า “นี่คือลูกชายของอิ๋งเอ๋อร์”

“อ่อ ที่แท้ก็ลูกชายของหวงม่านอิ๋งนี่เอง”

“แล้วหวงม่านอิ๋งล่ะ?”

“นั่นซิ นางอยู่ไหน? กลับมาแล้วก็น่าจะออกมาเจอญาติๆ ซิ แต่งออกไปอยู่ไกลถึงเมืองหลวงไม่เคยกลับมาเลยนี่นา”

“หรือว่านางไม่สบายอีกแล้วจนต้องอยู่แต่ในห้อง?”

ฯลฯ เสียงผู้คนถามถึงกันอื้ออึง หวงห้าวหยางจึงบอกว่า “นางไม่ค่อยสบายไม่อาจเดินทางกลับมาได้ ข้าจึงพาหลานกลับมาคนเดียว ส่วนลูกเขยข้าทุกคนก็รู้ว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนัก ไม่อาจปลีกตัวมาได้”

“พี่ใหญ่ ถึงเขาจะมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีก็เถอะ แต่อย่างไรการกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมภรรยาก็สมควรทำไม่ใช่หรือ นี่อะไร ไม่เคยมาเลยนับตั้งแต่ที่แต่งงานกันไปจนถึงป่านนี้น่ะ ถึงเขาจะส่งของจากเมืองหลวงมาให้ท่านตั้งมากมายทุกปีๆ ก็จริงอยู่ แต่ไม่พาอิ๋งเอ๋อร์กลับมาเยี่ยมบ้านเดิมเลยใช้ได้ที่ไหน!” หวงเสี่ยวฉี (黄小淇) น้องชายคนรองของหวงห้าวหยางตำหนิออกมา

“เป็นอิ๋งเอ๋อร์ไม่แข็งแรงไม่อาจเดินทางไกลได้ ไม่ใช่ว่าลูกเขยข้าไม่อยากพามา แต่อิ๋งเอ๋อร์ไม่มาเองต่างหาก เจ้าอยากเจอนางมากเช่นนี้ ครั้งหน้าข้าไปหานางจะพาเจ้าไปด้วยล่ะกัน” หวงห้าวหยางพูดตรงๆ หวงเสี่ยวฉีรีบโบกมือ “เอ่อ ข้ามีงานต้องจัดการมากนัก ไม่อาจทิ้งงานไปนานๆ ได้”

หวงห้าวหยางมองคนอื่นๆ ทุกคนล้วนหุบปากเงียบไม่กล้าตำหนิติเตียนอะไรสองผัวเมียคู่นั้นอีกเลย ใครจะกล้าล่ะ ถึงหวงม่านอิ๋งจะไม่ค่อยแข็งแรง แต่นางก็ร้ายกาจไม่ใช่น้อย ถามดูซิมีใครในตระกูลบ้างที่ไม่ถูกนางเล่นงานทั้งต่อหน้าและลับหลัง พวกเขาล้วนดีใจจะตายที่นางแต่งออกไปอยู่ถึงเมืองหลวง

“ข้ามีเรื่องจะบอกทุกคนว่า ข้าเจอไพลินฟ้าครามแล้ว” หวงห้าวหยางบอก ทุกคนตื่นตัวทันที “โอ? เจอแล้ว ดีจริงๆ”

“แต่ไพลินฟ้าครามอยู่ที่หลานชายข้าแล้ว ข้าไม่อาจถอดออกมาได้ ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องให้เขาเข้าทดสอบเป็นเจ้าตระกูลหวง” หวงห้าวหยางบอกพลางชี้ไปที่หูหลานชาย สายตาทุกคนมองหูข้างนั้นเป็นตาเดียว พวกเขาเห็นไพลินฟ้าครามอยู่บนหูเด็กคนนั้นจริงๆ

“อา จริงซิ ตอนนั้นคนที่เข้าทดสอบเจ้าตระกูลเป็นคนสุดท้ายก็คืออิ๋งเอ๋อร์นี่นา นางเก็บไพลินฟ้าครามไว้ไม่ได้คืนมานี่เอง พวกเราตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ ที่แท้ไพลินฟ้าครามก็อยู่กับนาง” หวงเสี่ยวฉีตบหน้าผากตัวเองทีหนึ่ง หวงห้าวหยางกุมมือขึ้น “ข้าขอโทษแทนอิ๋งเอ๋อร์ด้วยที่นางไม่คืนไพลินฟ้าคราม ทำให้พวกเราต้องตามหากันให้วุ่นวายเชียว”

“เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ ก่อเรื่องไม่หยุดไม่หย่อนจริงๆ” หวงเสี่ยวเย่า (黄小耀) น้องชายคนที่สามของหวงห้าวหยางบ่นขึ้นมา หวงเสี่ยวฉีรีบสะกิดแขนน้องสามยิกๆ ทำให้หวงเสี่ยวเย่ารีบหุบปากฉับ หลานสาวคนนี้เป็นดวงใจของพี่ใหญ่ ถูกเลี้ยงตามใจมาตั้งแต่เล็กๆ จึงร้ายกาจไม่น้อย ความร้ายกาจนี้สืบทอดมาจากพี่ใหญ่นั่นแหละ

“ว่าแต่ถ้าเขาเกิดตายในห้องนั่นล่ะ?” หวงเสี่ยวฉีถามอย่างเป็นกังวล เคยมีคนตายในการทดสอบหลายคนแล้วนะ ทุกคนที่ตายล้วนหลับตาย แต่หากผ่านการทดสอบก็จะได้เป็นเจ้าตระกูลได้รับมรดกล้ำค่าที่อยู่ในห้องนั้น หากไม่ตายก็จะลืมความทรงจำช่วงที่อยู่ในห้องไป เสมือนหนึ่งนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา เฉินมู่อิ๋งมองทุกคนแล้วพูดอย่างฉะฉานว่า “ข้าอยากทดสอบขอรับ”

“นี่ๆ เจ้าหนู การทดสอบไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ เคยมีคนตายตั้งหลายคนแล้วนะ” หวงเสี่ยวเย่าเตือน เจ้าเด็กนี่ก็เหมือนลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือนั่นแหละ ไม่รู้ซึ้งถึงอันตรายที่อยู่ในห้องนั้นจึงได้พูดออกมาอย่างไร้ความกลัวเช่นนี้ได้ หวงเสี่ยวฉีก็เตือนอีกคน “หลานชาย การทดสอบมีอันตราย เจ้าอาจต้องทิ้งชีวิตไว้ในห้องนั้นก็ได้ หากเจ้าตายไปเจ้าจะไม่ได้เจอพ่อแม่เจ้าอีกเลยนะ”

“ข้ารู้ว่าความตายหมายถึงอะไร ข้าอยากทดสอบขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพูดอย่างมุ่งมั่น หวงเสี่ยวเย่าจึงมองพี่ใหญ่ “พี่ใหญ่ ท่านจะให้เขาเข้าทดสอบจริงๆ หรือ?”

“อืม” หวงห้าวหยางพยักหน้า “เอาล่ะ ข้าจะพาเขาไปทดสอบเลย วันนี้เป็นวันเพ็ญพอดี หากไม่ทดสอบวันนี้ก็ต้องรอเดือนหน้า”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version