Skip to content

เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน 9

Chapter 9

รุมฆ่าเสนาบดีเฉิน

“เฮ้อ…” ฮ่องเต้ถอนหายใจทีหนึ่ง ชักม้าไปชิดม้าของเสนาบดีเฉิน เฉินจงกุ้ยก็ยื่นมือไปอุ้มลูกมา จับลูกนั่งข้างหน้า กอดเอวลูกเอาไว้ เขาชักม้าออกห่าง องค์ชายใหญ่ก็ขี่ม้ามาถึง เขาบังคับม้าพุ่งไประหว่างกลางม้าทั้งสองตัว ตามองเฉินมู่อิ๋งอย่างข่มขู่ ‘เจ้าอยู่ห่างๆ เสด็จพ่อข้าหน่อย’

ฮ่องเต้จึงหันไปมองลูกชาย สั่งว่า “ระวังตัวอย่าอยู่ห่างจากองครักษ์”

“พะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่รับคำ สีหน้าอ่อนโยนลง เฉินมู่อิ๋งโล่งอกมากที่ได้มานั่งม้าตัวเดียวกันกับท่านพ่อ ความเอ็นดูของฮ่องเต้เหมือนดาบสองคมสำหรับเขา ทางหนึ่งคือทำให้คนไม่กล้ารังแกเขา อีกทางหนึ่งก็ต้องรับมือกับความริษยาของผู้คนที่อิจฉาตาร้อนผ่าวๆ อย่างเช่นที่องค์ชายใหญ่แสดงออกอยู่ในขณะนี้

ฮ่องเต้ก็ชักม้าไปล่าสัตว์ องค์ชายใหญ่ชักม้าตามไป องครักษ์ก็ชักม้าตามไปหมด เหล่าขุนนางก็พากันชักม้าตามไป เหลือม้าของเฉินจงกุ้ยยืนอยู่ที่เดิม ไฉฟู่ชักม้าไปใกล้แล้วพูดว่า “เจ้าช่างสั่งสอนลูกได้ดีจริงๆ ทำให้ฝ่าบาทเอ็นดูเขายิ่งกว่าลูกแท้ๆ เสียอีก”

“หึ!” เฉินจงกุ้ยแค่นเสียงคำหนึ่ง เขาไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเสนาบดีไฉจึงชักม้ากลับไปที่ตำหนัก ไฉฟู่มองตาม เห็นเสนาบดีเฉินขี่ม้าไปกลับไปเพียงลำพังเขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขากวักมือเรียกองครักษ์คนสนิทหยุนเตอ (云地) หยุนเตอก็ชักม้าไปใกล้ๆ เจ้านาย ไฉฟู่กระซิบกระซาบสั่งความบางอย่าง “เจ้า…….”

หยุนเตอฟังจบแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ “ขอรับ”

เขาชักม้าออก ไฉฟู่ก็ชักม้าตามเสด็จฮ่องเต้ไป หยุนเตอก็สั่งลูกน้องว่า “พวกเจ้า 5 คนตามข้ามาไปจัดการศัตรูของนายท่าน”

เขาชักม้ากลับไปทางตำหนักพร้อมกับลูกน้องอีก 5 คน พวกเขาเอาผ้ามาปิดหน้าจนเห็นแต่ลูกตาแล้วรีบตามเสนาบดีเฉินไปอย่างมุ่งร้าย พวกเขารีบควบม้าตามเสนาบดีเฉินไป

เฉินจงกุ้ยได้ยินเสียงควบม้าตามหลังมาเขาก็หันไปมอง เขาชักม้าหลบข้างทางเพื่อให้คนกลุ่มนั้นผ่านไปก่อน เมื่อคนข้างหลังตามมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักกระบี่ชักดาบออกฟันใส่เสนาบดีเฉินทันที เฉินจงกุ้ยก้มหลบพลางชักกระบี่ต้าน เคร้ง!

“พวกเจ้าบังอาจนัก!” เขาตวาดอย่างดุดัน เฉินมู่อิ๋งมองคนทั้ง 6 คนที่ล้อมเขากับท่านพ่อเอาไว้ เขาจำคนหนึ่งในกลุ่มได้ คนๆ นั้นเป็นคนสนิทของเสนาบดีไฉ เจ้าคนๆ นี้(เสนาบดีไฉ) วางแผนร้ายต่อท่านพ่อเขามาตลอด เขาอยากจะช่วยท่านพ่อแต่ตัวเขาก็เล็กเกินไป อย่าว่าแต่จะยกดาบฟันเลย เกรงว่าแค่ยื่นมือออกไปก็คงถูกฟันมือขาดแล้วกระมัง เขาได้แต่ร้องเตือน “ท่านพ่อข้างหลัง!”

เฉินจงกุ้ยรีบหันไปมองทันที เขารีบผลักดาบออกไปแล้ววาดกระบี่ฟันซ้ายฟันขวา กระทุ้งสีข้างม้าให้วิ่งโจนทะยานออกไป

“อย่าให้มันหนีไปได้!” หยุนเตอสั่ง ลูกน้องก็พยายามปิดล้อมเสนาบดีเฉินเอาไว้ เฉินจงกุ้ยเห็นท่าไม่ดีก็พยายามจะพาลูกหนีไปให้ได้ เขาตัวคนเดียวอีกทั้งไม่ได้พาองครักษ์มาด้วยเพราะมาลานล่าสัตว์กะทันหันจึงไม่ได้พาองครักษ์ติดตามมาด้วย นี่นับเป็นคราวเคราะห์โดยแท้ ฮึ่ม!

เฉินมู่อิ๋งกอดท่านพ่อแน่นมือหนึ่ง อีกมือก็ล้วงเข้าไปในอกเสื้อล้วงห่อผ้าออกมา 1 ห่อ สั่งว่า “ท่านพ่อหลับตา!”

เฉินจงกุ้ยไม่ทันคิดอะไรเขาหลับตาลงทันที เฉินมู่อิ๋งก็โยนห่อผ้าห่อนั้นใส่คนร้ายที่อยู่ข้างหน้า หยุนเตอยกกระบี่ฟันห่อผ้าห่อนั้น ฉั๊วะ!

ผงสีคล้ำๆ กระจายออกมา ถูกตัวหยุนเตอ เขาร้องลั่น “อ้า! ตาข้า!”

คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็พลอยถูกผงสีคล้ำไปด้วย “อ้า!”

เขาถูกผงสีคล้ำๆ จนแสบคันยิ่งนัก เฉินมู่อิ๋งมองแล้วสั่งท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ หนี!”

เฉินจงกุ้ยลืมตาขึ้น เห็นคนร้ายข้างหน้ายกมือปิดตาร้องเสียงดังก็รีบชักม้าควบหนีไปทันที คนร้ายข้างหลังชักม้าควบตาม เฉินมู่อิ๋งก็รีบเอาห่อผ้าอีกห่อออกมาโยนใส่คนร้ายข้างหลังทันที

“เหวอ!” คนร้ายผวาห่อผ้าชะงักกึกไม่กล้าตามไป ห่อผ้าตกลงพื้นตุบ! เฉินจงกุ้ยจึงหลุดจากกลุ่มคนร้ายไปได้ เขารีบควบม้าสุดฝีเท้า มุ่งหน้าไปตำหนักล่าสัตว์อย่างเร่งรีบสุดชีวิต พวกคนร้ายเสียจังหวะไม่อาจตามต่อได้ หยุนเตอก็ถูกผงพิษจนแสบตาไปหมดแล้ว

คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กนั้นจะมีพิษสงร้ายกาจถึงเพียงนี้! ฮึ่ม!

เขาเอาถุงน้ำออกมาเทน้ำล้างหน้าล้างตา เขาแสบตามากจนน้ำตาไหลพรากๆ มองอะไรไม่เห็นแล้ว เขาล้างหน้าล้างตาจนพอจะลืมตาขึ้นมาได้นิดหนึ่ง แต่ดวงตาก็ยังแสบมากอยู่ดี คนอื่นลงจากหลังม้าก้มลงไปหยิบห่อผ้าขึ้นมาดู เขาค่อยๆ แกะห่อผ้าตรวจดู เห็นผงสีแดงคล้ำ กลิ่นฉุนอย่างยิ่ง กลิ่นนี้!?

เขาเอานิ้วแตะผงสีแดงคล้ำนั้นขึ้นมาแตะลิ้นแล้วเขาก็รีบถุยทิ้ง “ถุยๆ”

เขาหันไปบอกหยุนเตอว่า “ท่านหยุนเตอ นี่มันผงพริก ไม่ใช่ยาพิษขอรับ”

หยุนเตอพยายามลืมตามอง เขาจดบัญชีแค้นนี้ไว้ในใจแล้ว เจ้าเด็กนั่นอายุเท่านี้ก็รู้จักใช้พริกโยนใส่คนแล้ว! “เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้าเด็กเลว! ฮึ่ม!”

เขาก่นด่าแล้วก็สั่งว่า “ไป!”

พวกเขาก็รีบจากไปทันที แผนการล้มเหลวแล้ว หากเสนาบดีเฉินไปถึงตำหนักล่าสัตว์ เขาย่อมให้ทหารที่อยู่ที่ตำหนักออกมาจับตัวคนร้ายแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรีบหนีไปก่อนที่ทหารจะมาถึง พวกเขาพลาดโอกาสเพียงเพราะผงพริก 2 ห่อ นี่มันน่าเจ็บใจยิ่งนัก! ฮึ่ม!

เมื่อไปถึงตำหนักล่าสัตว์ เฉินจงกุ้ยก็รีบหยุดม้า ทำให้ขุนนางบางคนที่ไม่ได้ตามเสด็จไปด้วยล้วนแปลกใจ “ท่านเสนาบดีเฉินไยจึงรีบร้อนเช่นนั้นเล่า?”

“ข้าถูกคนร้ายตามฆ่าน่ะซิจึงได้รีบพาลูกหนี” เฉินจงกุ้ยบอกสีหน้าตึงเครียด ขุนนางคนอื่นๆ ตกใจ “โอ้!”

“ลานล่าสัตว์ มีคนร้ายด้วยหรือ?” ขุนนางคนหนึ่งถามขึ้นมา ทำให้ได้รับสายตาดูแคลนจากขุนนางคนอื่น องค์ชายเก้าได้ยินที่เสนาบดีเฉินพูดเมื่อครู่เขาจึงรีบวิ่งไปหาเฉินมู่อิ๋งถามว่า “อิ๋งตี้ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”

“ข้าน้อยไม่เป็นอะไรพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ เฉินจงกุ้ยก้มลงกระซิบถามลูก “ห่อนั่นที่เจ้าโยนใส่คนชั่วพวกนั้นคืออะไรรึ?”

“ผงพริกขอรับ” เฉินมู่อิ๋งกระซิบตอบ เฉินจงกุ้ยเบิกตาโต ลูกของเขาฉลาดถึงเพียงนี้เชียวรึ!

“ข้าไปอาบน้ำก่อนดีกว่า พริกทำให้ข้าแสบๆ ยิ่งนัก” เฉินมู่อิ๋งกระซิบบอกแล้วก็ถามว่า “ท่านพ่อ จะอาบน้ำตรงไหนได้บ้างขอรับ?”

“ข้าพาเจ้าไปเอง” เฉินจงกุ้ยอุ้มลูกขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในตำหนัก เขาเดินไปทางด้านหลังของตำหนักซึ่งมีห้องอาบน้ำสำหรับข้าราชบริพารอยู่ เขาสั่งบ่าวที่อยู่แถวนั้นว่า “พวกเจ้ารีบต้มน้ำร้อนมาที ข้าจะอาบน้ำ”

“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่งแล้วเดินไปต้มน้ำร้อนให้ท่านเสนาบดีเฉิน ท่านเสนาบดีผู้นี้ติดตามฮ่องเต้มาหลายครั้งยิ่งนัก พวกเขาล้วนรู้ว่าท่านเสนาบดีผู้นี้เป็นคนโปรดปรานของฮ่องเต้จึงรับใช้อย่างดี

“อ่อ หาอาภรณ์ให้ข้ากับลูกด้วย ข้าไม่ได้เตรียมอาภรณ์มา อาภรณ์ชุดนี้สกปรกแล้วไม่อาจใส่ได้แล้ว” เฉินจงกุ้ยสั่งพลางยื่นถุงเงินให้บ่าง 1 ถุง บ่าวรับถุงเงินไป “ขอรับ”

เฉินจงกุ้ยพาลูกไปนั่งรอในห้องอาบน้ำ ขุนนางด้านนอกก็พูดคุยเรื่องคนร้ายกันอื้ออึง ราชครูจึงสั่งให้ทหารออกไปตามจับคนร้ายมาให้ได้ หากฮ่องเต้รู้เรื่องก็ย่อมสั่งให้ทหารตามจับคนร้ายอย่างโมโหยิ่งนัก กล้าลงมือในเขตลานล่าสัตว์ซึ่งถือเป็นเขตพระราชฐานของฮ่องเต้ เท่ากับลบหลู่เกียรติของฮ่องเต้ ต้องประหาร 9 ชั่วโคตรจึงจะสาสม ฮึ่ม!

ทหารก็รีบแบ่งกำลังไปตามจับคนร้าย ราชครูก็ตามติดองค์ชายเก้าคอยอารักขายิ่งกว่าชีวิตของเขาเสียอีก องค์ชายเก้าก็รอให้เฉินมู่อิ๋งออกมาตามประสาเด็กน้อย เขาเดินไปเดินมา บางครั้งก็นั่งดื่มชากินขนม ชะเง้อชะแง้มองอย่างรอคอย

เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว สวมอาภรณ์ชุดใหม่ที่บ่าวหามาให้เรียบร้อยดีแล้ว สองพ่อลูกก็ออกจากห้องอาบน้ำ องค์ชายเก้าก็วิ่งไปหาทันที “อิ๋งตี้”

เฉินจงกุ้ยปล่อยให้ลูกอยู่กับองค์ชายเก้า ตัวเขาเดินไปคุยกับราชครู เดาว่าราชครูย่อมส่งทหารไปตามจับคนร้ายแล้วแน่นอน เขาถามทันที “ท่านราชครู ทหารกลับมาหรือยัง?”

“ยังเลย” ราชครูตอบ แล้วถามว่า “คนร้ายมีกี่คนรึ?”

“6 คน” เฉินจงกุ้ยตอบ “พวกมันปิดหน้า ข้าจึงไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร?”

อันที่จริงแล้วเขารู้อยู่เต็มอกว่าคนพวกนั้นเป็นคนของเสนาบดีไฉ หากจับคนพวกนั้นได้พวกมันก็ไม่ซัดทอดไปถึงตัวเสนาบดีไฉหรอก พวกมันย่อมออกรับว่าเป็นพวกมันเกลียดชิงชังเขาจึงได้ลงมือฆ่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเสนาบดีไฉสักนิด

“เช่นนั้นก็อาจจะจับตัวได้หรือไม่ได้ก็ได้น่ะซิ” ราชครูพูด มองดูท่าทางของเสนาบดีเฉิน เขายังไม่ทันจะพูดต่อก็ได้ยินเสียงทหารตะโกนว่า “ฮ่องเต้เสด็จ—”

เขาจึงหยุดคุย รีบเดินไปรอรับเสด็จ เฉินจงกุ้ยก็เดินตามไป คนอื่นๆ ก็หยุดคุยรีบเดินไปรอรับเสด็จกันหมด องค์ชายเก้าจูงมือเฉินมู่อิ๋งไปรับเสด็จด้วยกัน “เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อข้าจะล่าสัตว์อะไรได้บ้าง?”

“นกพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ เพราะตอนที่เขาอยู่กับฮ่องเต้ เห็นฮ่องเต้ล่านกได้ 2 ตัว หลังจากนั้นท่านพ่อก็พาเขากลับมา

ฮ่องเต้เสด็จมาถึงก็ลงจากหลังม้า เหล่าขุนนางก็กุมมือคารวะ “ฝ่าบาท”

“พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้สั่งแล้วเดินผ่านพวกขุนนางไป องค์ชายใหญ่ลงจากหลังม้าแล้วเดินตามเสด็จพ่อไปอย่างภาคภูมิใจมาก เขาล่ากระต่ายได้ 3 ตัว ไก่ 2 ตัว เมื่อเดินผ่านเฉินมู่อิ๋งเขาก็มองเฉินมู่อิ๋งอย่างไม่เป็นมิตรเช่นเดิม องค์ชายเก้ารีบเดินไปหาพี่ชาย “พี่ใหญ่ ท่านล่าอะไรมาได้บ้างหรือพะย่ะค่ะ?”

“ข้าล่ากระต่ายได้ 3 ตัว ไก่ 2 ตัว” องค์ชายใหญ่ตอบอย่างภูมิใจ องค์ชายเก้าตบมือชม “พี่ใหญ่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เมื่อข้าโตขึ้นข้าก็จะล่าสัตว์ให้เก่งเหมือนท่าน”

“ขี่ม้าตัวใหญ่ให้ได้ก่อนเถอะ” องค์ชายใหญ่บอก องค์ชายเก้าหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง พยักหน้า “ข้าจะพยายาม”

“เสนาบดีเฉิน ข้าได้ข่าวว่ามีคนร้ายจะฆ่าเจ้ารึ?” ฮ่องเต้ถาม เขาหยุดยืนอยู่ห่างจากเสนาบดีเฉิน 1 ช่วงแขน กวาดตามองร่างเสนาบดีเฉินขึ้นๆ ลง ๆ 1 รอบ เห็นว่าไม่ได้บาดเจ็บอะไรก็เบาใจ

“ราชครูส่งทหารไปตามจับแล้วพะย่ะค่ะ” เฉินจงกุ้ยกุมมือตอบ ฮ่องเต้หันไปสั่งทหารว่า “ตามจับคนร้ายมาให้ได้!”

“พะย่ะค่ะ” ทหารรับคำสั่ง จากนั้นก็แบ่งคนไปตามจับคนร้าย

“กลับวัง” ฮ่องเต้สั่ง ผู้คนก็รีบตื่นตัวกันพรึ่บพั่บ ฮ่องเต้ก็สั่งทหารว่า “แบ่งคนส่วนหนึ่งคุ้มกันเสนาบดีเฉินกลับจวนด้วย”

“พะย่ะค่ะ” ทหารรับคำสั่ง เฉินจงกุ้ยรีบขอบพระทัย “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“อืม” ฮ่องเต้พยักหน้าทีหนึ่งแล้วเดินไปขึ้นรถม้า องค์ชายใหญ่เดินตามไป องค์ชายเก้าก็รีบตามไป ก่อนไปเขาหันไปพูดกับเฉินมู่อิ๋งว่า “พรุ่งนี้เจอกันนะ”

เฉินมู่อิ๋งไม่ได้ตอบอะไร เขามององค์ชายเก้าไปจนองค์ชายเก้าเข้าไปในรถม้า ราชครูก็รีบตามขึ้นไปนั่งกับสารถี หลังจากนั้นรถม้าก็วิ่งกลับวังหลวง เฉินจงกุ้ยก็จูงลูกเดินไปที่รถม้าของเขา สองพ่อลูกขึ้นรถม้าแล้วสารถีก็บังคับรถม้าวิ่งตามขบวนเสด็จไป ทหารก็ตามคุ้มกันขบวนเสด็จอย่างแข็งขัน

จนกระทั่งรถม้าเข้าประตูเมืองไปแล้วสารถีก็บังคับรถม้าแยกกลับจวนไป ทหารก็แบ่งกำลังไปคุ้มกันเสนาบดีเฉินไปจนถึงจวน หลังจากส่งท่านเสนาบดีเฉินถึงจวนแล้วทหารก็กลับไป เฉินจงกุ้ยก็อุ้มลูกลงจากรถม้า จูงมือเข้าเรือน พ่อบ้านเหลียงรออยู่แล้วรีบเดินไปบอกว่า “ท่านพ่อตามาขอรับ รออยู่ที่ห้องโถงขอรับ”

“หือ?” เฉินจงกุ้ยขมวดคิ้ว เขารีบเดินไปที่ห้องโถงทันที พลางจูงมือลูกไปด้วย เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าปลายนิ้วท่านพ่อเย็นขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงมองหน้าท่านพ่อสังเกตท่าทางของท่านพ่อเงียบๆ

เมื่อไปถึงห้องโถง เฉินจงกุ้ยเห็นฮูหยินนั่งอยู่ในห้องโถง ส่วนท่านพ่อตาก็นั่งอยู่ข้างๆ เฉินม่านอิ๋งมองไปพลางบอกว่า “ท่านพ่อ ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

“หึ!” หวงห้าวหยาง(黄浩洋) แค่นเสียงคำหนึ่ง มองลูกเขยอย่างไม่ชอบใจนัก เฉินจงกุ้ยเดินเข้าไปกุมมือคารวะ “ท่านพ่อ”

“อ่อ ยังจำได้ว่าข้าเป็นพ่อตาเจ้าอยู่รึ?” หวงห้าวหยางถามน้ำเสียงเย็นชา เฉินจงกุ้ยรีบคุกเข่าลงไป “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ลืมว่าท่านเป็นท่านพ่อตาของข้าสักวันเลยนะขอรับ”

“จนหลานข้าโตขนาดนั้นแล้ว เจ้ายังไม่เคยพาลูกสาวข้ากับหลานข้าไปหาข้าบ้างเลย ยังจะนับว่าข้าเป็นพ่อตาอยู่อีกรึ! หึ!” หวงห้าวหยางแค่นเสียงอย่างโมโห นิ้วชี้ไปที่หลานตัวน้อยซึ่งไม่เคยเห็นหน้า แต่ได้รับรายงานจากสาวใช้ของลูกสาวว่า เขามีหลาน 1 คนแล้ว

“ท่านพ่อ เป็นเพราะร่างกายข้าไม่แข็งแรงจึงไม่อาจเดินทางไกลได้ ไม่ใช่ท่านพี่ไม่อยากพาข้าไปเยี่ยมท่านหรอกเจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งแก้ตัวแทนสามี หวงห้าวหยางหันไปมองลูกสาวอย่างโมโห “เจ้าก็เข้าข้างมันเสียจริง เจ้านอนไปในรถม้าจะเดินทางไม่ได้ได้อย่างไร! มันขี้เกียจพาเจ้าไปหาข้าต่างหาก”

“ท่านพ่อ ท่านพี่อยากจะพาไปนะเจ้าคะ แต่เป็นข้าเองที่ไม่อยากเดินทางกลับไป” เฉินม่านอิ๋งบอกน้ำเสียงเข้มขึ้น “ข้าไม่แข็งแรงเช่นนี้ เดินทางลำบากนัก หรือท่านพ่อต้องการให้ข้าเดินทางไปแล้วฝังอยู่ที่บ้านเจ้าคะ?”

“อิ๋งเอ๋อร์ พ่อไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะ เจ้าอย่าได้โมโหไป เดี๋ยวจะป่วยเอา” หวงห้าวหยางปะเหลาะลูกสาว เฉินม่านอิ๋งส่งเสียงคำหนึ่ง “ฮึ!”

เฉินมู่อิ๋งเห็นท่านแม่โมโหจึงรีบเดินไปหา “ท่านแม่ขอรับ”

“อิ๋งเอ๋อร์” เฉินม่านอิ๋งมองลูก พลางอุ้มลูกขึ้นมานั่งตัก หวงห้าวหยางมองหลานพลางกวักมือ “มาหาตาก่อน”

เฉินมู่อิ๋งลงจากตักท่านแม่ เดินไปหาท่านตา กุมมือคารวะ “ท่านตา”

“ดีๆ” หวงห้าวหยางมองหลานแล้วจับหลานหมุนซ้ายหมุนขวามองขึ้นๆ ลงๆ ลงๆ ขึ้นๆ หลายรอบ สุดท้ายสายตาของเขาก็หยุดลงที่ต่างหูบนหูซ้าย “นี่!”

“ไพลินฟ้าคราม เครื่องหมายเจ้าตระกูลหวงอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เฉินม่านอิ๋งตอบ หวงห้าวหยางอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วบ่นว่า “เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะ มอบไพลินฟ้าครามให้ลูกเจ้าโดยไม่ผ่านการทดสอบไม่ได้”

“ข้ามอบให้เขาไปแล้ว” เฉินม่านอิ๋งตอบอย่างกำปั้นทุบดิน หวงห้าวหยางจับต่างหูถอดออกทันที แต่เขาดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก เฉินมู่อิ๋งถูกดึงจนเจ็บหูจึงร้อง “ท่านตา ข้าเจ็บ”

“วะ ทำไมถอดไม่ได้เล่า!?” หวงห้าวหยางสบถพยายามดึงต่างหูออกมา เฉินมู่อิ๋งปัดมือท่านตาออก แล้วรีบเดินไปหาท่านแม่ ฟ้องว่า “ท่านแม่ ข้าเจ็บ”

“โอ๋ๆ” เฉินม่านอิ๋งปลอบลูก พูดกับท่านพ่อว่า “ต่างหูนี้ข้าเคยพยายามถอดออกแล้วแต่ก็ถอดไม่ออกอีกเลย ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากคิดจะถอดต่างหูออกจากหูเขามีทางเดียวคือต้องตัดหูแล้วล่ะท่านพ่อ ท่านอยากจะตัดหูหลานไหมล่ะ?”

“ไหนๆ มาให้ตาลองอีกทีซิ” หวงห้าวหยางลุกขึ้นเดินไปหาหลาน ยื่นมือไปดึงต่างหูออกมา เฉินมู่อิ๋งไม่หลบ ยอมให้ท่านตาลองดึงต่างหูอีกครั้ง หวงห้าวหยางก็พยายามดึงออก เขาจับตัวต่างหูข้างหน้ากับแป้นข้างหลังแล้วออกแรงดึงแยกออกจากกัน “ฮึ๊บบบบบ—”

เขาดึงจนสุดแรงแล้วก็ยังดึงไม่ออกเลย เขาพยายามอีกครั้ง “ฮึ๊บบบบบบบ—”

ก็ยังดึงไม่ออก ราวกับต่างหูติดแน่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของติ่งหูไปแล้ว เขาหมดแรงจึงปล่อยมือ ก้มมองต่างหูอย่างแปลกใจ “เมื่อก่อนไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เลยสักครั้ง ไม่ว่าใครใส่ก็ถอดได้หมดทุกคน เหตุใดพอเจ้าเด็กคนนี้ใส่ถึงได้เป็นเช่นนี้เล่า?”

“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งส่ายหน้า เฉินจงกุ้ยยิ่งส่ายหน้าไปมา เขารู้เกี่ยวกับต่างหูนี้น้อยยิ่งกว่าฮูหยินเสียอีก หวงห้าวหยางถอยไปนั่งที่เก้าอี้คิดๆ “อืม?”

สักพักเขาก็พูดว่า “เช่นนั้นต้องพาเขากลับไปทดสอบเป็นเจ้าตระกูลรุ่นต่อไป”

“เอ่อ…” เฉินจงกุ้ยพูดไม่ออก เท่าที่เขาได้ฟังจากฮูหยินการทดสอบเจ้าตระกูลของตระกูลหวงนั้นยากเย็นยิ่งนัก ลูกจะสอบผ่านหรือ?

ได้ยินว่ามีคนที่สอบไม่ผ่านถึงตายด้วยนะ!

เฉินมู่อิ๋งสงสัยจึงถามว่า “ท่านแม่การทดสอบเจ้าตระกูลคืออะไรขอรับ?”

“การทดสอบเจ้าตระกูลก็คือการทดสอบเป็นเจ้าตระกูลหวงอย่างไรล่ะ หากเจ้าผ่านการทดสอบก็จะกลายเป็นเจ้าตระกูลหวงทันที มีอำนาจเหนือคนตระกูลหวงทุกคน คล้ายๆ กับเป็นฮ่องเต้ของตระกูลหวงนั่นแหละ” เฉินม่านอิ๋งอธิบาย เฉินมู่อิ๋งถามต่อ “แล้วการทดสอบนี้มีอะไรบ้างขอรับ? ทดสอบวรยุทธ์? ทดสอบความรู้? หรือว่าทดสอบไหวพริบปฏิภาณขอรับ?”

“แม่ก็ไม่รู้เช่นกัน แม่เคยเข้าไปในห้องทดสอบแล้วจำอะไรไม่ได้ คล้ายหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา หินทดสอบก็ไม่เปลี่ยนสี ตระกูลหวงจึงไม่มีเจ้าตระกูลมาหลายรุ่นแล้ว บางคนเข้าไปทดสอบแล้วตายอยู่ในนั้นก็มี” เฉินม่านอิ๋งอธิบาย เฉินมู่อิ๋งยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับตระกูลฝั่งท่านแม่มากขึ้น ก่อนหน้านี้ท่านแม่ก็ไม่ค่อยพูดถึงตระกูลเดิมสักเท่าไหร่ รู้แต่ว่าตระกูลเดิมแซ่หวง อยู่ที่เมืองเว่ยหง (卫洪) เมืองเล็กๆ ห่างไกลจากเมืองหลวงมากนักติดกับชายแดนแคว้นซีเอ่อ

ยิ่งฟัง เฉินมู่อิ๋งก็ยิ่งสงสัย หวงห้าวหยางก็พูดว่า “ต้องพาเขากลับไปทดสอบ ไม่เช่นนั้นก็ต้องตัดหูเขาเอาต่างหูออก หากมีใครอยากสวมไพลินฟ้าครามเข้าทดสอบเป็นเจ้าตระกูลหากไม่มอบไพลินให้คงเกิดศึกในตระกูลแน่”

“ท่านแม่ข้าอยากไปทดสอบขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก เขารู้สึกว่าตระกูลฝั่งท่านแม่มีความลับอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ อีกทั้งเขาก็อยากหาข้ออ้างไปจากเมืองหลวงสักพักจะได้ไม่ต้องเข้าเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายใหญ่นั่นอีก องค์ชายใหญ่ไม่ชอบเขา ดังนั้นเขาก็ควรจะอยู่ให้ห่างๆ องค์ชายใหญ่ไว้หน่อยดีกว่า

“เจ้าอยากไปจริงๆ หรือ?” หวงห้าวหยางถามอย่างตื่นเต้นดีใจ เขาอยากพาหลานไปอวดคนในตระกูลยิ่งนัก ว่าเขาก็มีหลานเหมือนกันนะ ทั้งหลานเขายังหน้าตาดีอีกด้วย เขาอิจฉาคนอื่นทุกครั้งที่มีลูกหลานอยู่เคียงข้าง ใครใช้ให้เขามีลูกสาวคนเดียวอีกทั้งยังแต่งงานกับบุรุษจากเมืองหลวงเล่า ก่อนแต่งงานเขาห้ามปรามอย่างไรลูกสาวก็ไม่ฟัง อยากจะแต่งกับเจ้าหนุ่มจากเมืองหลวงจนถึงขนาดขู่ว่าถ้าไม่ให้แต่งจะหนีตามไป ทำเขาโมโหแทบตายไปครั้งหนึ่งแล้ว

ตอนนี้หลานอยากกลับไปทดสอบเป็นเจ้าตระกูลเขาจึงดีใจยิ่งนัก จะได้พาหลานไปอวดคนอื่นให้ทั่วเมืองเลยทีเดียว หึๆๆๆๆ

“ข้าไม่ให้ไป” เฉินจงกุ้ยพูดขึ้นมาสีหน้าขึงขังจริงจัง หวงห้าวหยางโมโหขึ้นมาทันที “ข้าจะพาหลานไปแล้วก็จะพาอิ๋งเอ๋อร์กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดด้วย”

“ท่านพ่อ ร่างกายข้าไม่อาจเดินทางไกลได้” เฉินม่านอิ๋งพูดน้ำเสียงเย็นๆ หวงห้าวหยางรู้สึกขนคอลุกชันขึ้นมา “เอาๆ เจ้าไม่อาจเดินทางไกลก็ไม่ต้องไป ข้าพาหลานไปคนเดียวก็ได้”

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ให้ข้าไปเถอะนะขอรับ ข้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับต่างหูข้างนี้ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งอ้อน เขาเคยสงสัยว่าต่างหูนี้มีข้างเดียวหรือ? แล้วอีกข้างล่ะ? ไพลินวิญญาณมีเม็ดเดียวหรือมี 2 เม็ด? เขาสงสัยเรื่องนี้มานานมากแล้ว แต่ผู้เฝ้ามองก็ไม่อยู่ให้ถามเสียแล้ว จะไปถามคนอื่นก็ไม่รู้จะถามใครได้ ท่านแม่ก็บอกว่าต่างหูข้างนี้มีข้างเดียว สืบทอดต่อกันมาในตระกูลนานแล้ว แต่เขารู้สึกว่าถ้าเป็นต่างหูก็ควรมี 2 ข้างซิ อีกทั้งเขาก็อยากรู้เรื่องตระกูลหวงด้วย ทั้งยังอยากหลบเลี่ยงการเข้าใกล้องค์ชายใหญ่ไปด้วย มีเหตุผลถึง 3 ข้อเชียวนะ

“เรื่องนี้เอาไว้ตัดสินใจวันอื่นเถอะนะ” เฉินจงกุ้ยเลี่ยงไป หวงห้าวหยางหน้าดำทมึนขึ้นมาอย่างโมโหลูกเขย เจ้าลูกเขยคนนี้ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็ยังฝีปากดียิ่งนัก หึ!

“ก็ได้” เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า นางมองอาภรณ์ลูกกับสามีแล้วถามว่า “ว่าแต่เหตุใดจึงเปลี่ยนอาภรณ์? ข้าจำได้ว่าเมื่อเช้าไม่ใช่ชุดนี้นี่นา”

“พอดีข้าตามเสด็จฝ่าบาทไปลานล่าสัตว์นะ อาภรณ์เปรอะเปื้อนจึงต้องอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์” เฉินจงกุ้ยตอบ หวงห้าวหยางรีบพูดว่า “เจ้าไปยุ่งเกี่ยวกับสตรีอื่นจนกลิ่นติดตัวมากระมังจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์”

“ท่านตา ท่านพ่อถูกข้าทำผงพริกหกใส่ต่างหาก ข้ากับท่านพ่อจึงต้องอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่” เฉินมู่อิ๋งช่วยพูดให้ท่านพ่อ หวงห้าวหยางหน้างอฉับ! เขาพยายามหาทางให้อิ๋งเอ๋อร์หย่ากับเจ้าลูกเขย นางจะได้กลับบ้านไปอยู่กับเขา เขาจะได้ไม่ต้องเหงาหงอยอีกต่อไป

“ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว” เฉินมู่อิ๋งอ้อนท่านแม่ เฉินม่านอิ๋งจึงให้สาวใช้ไปยกอาหารมา แล้วนางก็บอกท่านพ่อว่า “ท่านพ่อข้ามีเหล้าดี”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version