17 ม.ค. 2566
เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน
Chapter 1
คลอดลูก
ณ จวนตระกูลเฉิน เสนาบดีเฉินจงกุ้ย(陈宗贵) เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวลใจ ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพราะฮูหยินของเขากำลังจะให้กำเนิดบุตร เขาแต่งงานมาหลายปีแล้ว เพิ่งจะมีบุตรคนแรกคนนี้นี่แหละ เนื่องจากฮูหยินของเขา เฉินม่านอิ๋ง(陈蔓莹) มีร่างกายอ่อนแอ ตอนตั้งครรภ์ก็เสี่ยงที่จะแท้งอยู่หลายหน
ท่านหมอติงเฟิ่งเหล่ย(丁凤蕾)หมออันดับสองของเมืองหลวงต้องคอยประคับประคองครรภ์นี้อย่างสุดความสามารถเลยทีเดียวจึงได้รอดพ้นมาจนถึงตอนนี้ได้
ติงเฟิ่งเหล่ยเป็นหมออันดับสอง ส่วนหมออันดับหนึ่งนั้นคือหมอหลวงซึ่งย่อมต้องถวายการรับใช้ฮ่องเต้อยู่ในวังหลวง หมอหลวงไม่อาจมารักษาประชาชนได้หากไม่ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้
ดังนั้นการที่เสนาบดีเฉินสามารถเชิญหมออันดับสองของเมืองหลวงมารักษาฮูหยินของเขาก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว การเชิญท่านหมอติงเฟิ่งหล่ยมารักษาก็ต้องจ่ายเงินทองไปไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ด้วยฐานะของเสนาบดีเฉินซึ่งเป็นเสนาบดีที่ฮ่องเต้โปรดปรานย่อมจ่ายได้อยู่แล้ว
ภายในห้อง เฉินม่านอิ๋งนอนร้องโอดโอย เจ็บปวดมากจนแทบสลบไปหลายหน แต่นางก็อดทนฝืนร่างกายเอาไว้ หากนางสลบไปลูกในครรภ์คงไม่รอดแน่ นางยอมตายเพื่อให้ลูกปลอดภัย! หมอหญิงฝานซี(凡曦) ก็ทำคลอดอย่างยากเย็นมากเพราะฮูหยินร่างกายอ่อนแอ นางแทบไม่มีแรงเบ่งเลยด้วยซ้ำ
“ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ” หมอหญิงฝานซีสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด เฉินม่านอิ๋งรวบรวมกำลังเบ่งสุดแรง “ฮึ๊บบบบบบ—”
“เบ่งอีกเจ้าค่ะ” หมอหญิงฝานซีสั่ง เฉินม่านอิ๋งเบ่งอีก “ฮึ๊บบบบบบ—”
“เบ่งอีก! หัวออกมาแล้ว!” หมอหญิงฝานซีบอกอย่างตื่นเต้น เฉินม่านอิ๋งเบ่งสุดชีวิต “ฮึ๊บบบบบบ—”
จนกระทั่งทารกน้อยหลุดจากครรภ์ออกมา เฉินม่านอิ๋งก็หมดแรงพอดี นางสลบไปทันที สาวใช้ตกใจ “อ้า! ฮูหยินเป็นลมไปแล้ว!”
หมอหญิงฝานซีรีบทำคลอดต่อ นางดึงสายรกออกมา จนรกหลุดออกจากครรภ์ จากนั้นนางก็ตัดสายสะดือ ทารกน้อยร้องไห้จ้า “แว๊!”
“คลอดแล้ว!” เฉินจงกุ้ยได้ยินเสียงเด็กร้องก็รีบเปิดประตูเข้าไปทันที บ่าวคนสนิทได้แต่ยืนอยู่หน้าห้องไม่กล้าตามเข้าไปด้วย เฉินจงกุ้ยเดินไปถึงเตียง สาวใช้ตกใจ “อ้า! นายท่าน!”
“อุ้ย!” หมอหญิงฝานซีก็ตกใจเช่นกัน นางเคยทำคลอดให้เศรษฐีทั้งหลายมาหลายครั้งแล้ว เจอเหตุการณ์ที่ผู้เป็นสามีเข้ามาในห้องในระหว่างทำคลอดบ่อยครั้งทำให้นางรีบตั้งสติทำคลอดมือไม้คล่องแคล่วมาก นางล้างตัวทารกแล้วจับห่อผ้าทำให้ทารกน้อยค่อยๆ เงียบเสียงไป นางกำลังจะส่งทารกให้สาวใช้ เฉินจงกุ้ยก็รีบยื่นมือไปอุ้มทันที “ส่งมานี่ๆ ท่านรีบดูฮูหยินข้าเร็ว”
หมอหญิงฝานซีส่งทารกให้เฉินจงกุ้ยแล้วขยับไปดูฮูหยินซึ่งสลบไม่ได้สติ นางยื่นมือไปจับชีพจรตรวจดู ตรวจอยู่ครู่หนึ่งก็บอกว่า “ฮูหยินเพียงแค่สลบไปเท่านั้น นางไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“โอ ดีๆ” เฉินจงกุ้ยโล่งใจ เขาก้มมองดูลูกในอ้อมอก หมอหญิงฝานซีมองแล้วพูดว่า “คุณ…”
“คุณชายน้อย” เฉินจงกุ้ยพูดแทรก “ข้าตั้งชื่อไว้ให้เขาแล้ว เขาชื่อเฉินมู่อิ๋ง(陈穆莹) พวกเจ้าทุกคนจำไว้ว่าคุณชายน้อยชื่อเฉินมู่อิ๋ง”
ประโยคหลังนั้นเขาสั่งบ่าวไพร่ สาวใช้ก็พากันรับคำ “เจ้าค่ะ”
หมอหญิงฝานซีไม่พูดอะไร นางหันไปจัดการงานของนางต่อ จัดแจงทำความสะอาดฮูหยินเก็บข้าวของ ส่งผ้าเปื้อนเลือดให้สาวใช้นำไปทิ้ง
เฉินจงกุ้ยก็ยืนมองฮูหยินอย่างเป็นห่วงเป็นใย เขาแต่งนางเป็นฮูหยินเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่คิดมีฮูหยินรอง ถึงแม้ว่าคนอื่นจะยุยงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมตกแต่งฮูหยินรองเข้ามา นอกจากนางแล้วเขาก็ไม่รักใครอีก เขายอมมีฮูหยินเพียงคนเดียวไปจนตาย จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่พ่อแม่ของเขาด่วนจากไปหลังจากที่เขาแต่งงานได้ไม่กี่เดือน ทำให้ไม่มีใครกล้าบังคับให้เขาแต่งฮูหยินรองเข้ามาหลังจากที่แต่งงานมาหลายปีแล้วแต่ฮูหยินเอกยังไม่ตั้งครรภ์เสียที
บ่าวไพร่ในห้องก็ช่วยหมอหญิงฝานซีไปเงียบๆ พวกนางล้วนรู้ดีว่านายท่านรักฮูหยินมากเพียงใด รักจนหากว่าฮูหยินตายไปนายท่านคงตรอมใจตายตามไปกระมัง บัดนี้มีคุณชายน้อยมาสืบสกุลแล้วพวกนางก็โล่งใจมาก คราวนี้พวกน้องๆ ของนายท่านจะได้เลิกยุแยงให้นายท่านแต่งฮูหยินรองเสียที
จนกระทั่งหมอหญิงจัดการงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงหันไปพูดกับเสนาบดีเฉินว่า “นายท่าน ข้าทำงานเสร็จแล้ว ต่อจากนี้ท่านก็เชิญท่านหมอติงมาตรวจฮูหยินเถอะเจ้าค่ะ”
“อ่อๆ” เฉินจงกุ้ยพยักหน้าหันไปสั่งสาวใช้ว่า “เจ้าไปเชิญท่านหมอติงมาที”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบเดินออกไป หมอหญิงฝานซีก็ถอยไปนั่งที่โต๊ะรอจนกว่าติงเฟิ่งเหล่ยจะมา รอจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีแล้วนางถึงจะวางใจกลับบ้านไปได้ ร่างกายของฮูหยินอ่อนแอ รับเทียบยาจากหมอติงเฟิ่งเหล่ยมาตลอดดังนั้นนางจึงไม่อาจทำตัวอวดรู้เสนอหน้าไปรักษาฮูหยินหรอก หากฮูหยินเป็นอะไรขึ้นมา นางย่อมถูกท่านเสนาบดีเฉินผู้นี้จัดการแน่นอน
เฉินจงกุ้ยเดินไปนั่งข้างๆ เตียง อุ้มลูกชายไว้ไม่ยอมวาง ตาก็มองดูฮูหยินอย่างเป็นห่วงเป็นใย
สาวใช้ก้มหน้าทำงานของตัวเองไป พวกนางเห็นท่าทางของนายท่านจนชินแล้ว นายท่านรักฮูหยินมากเพียงไหนพวกนางย่อมรู้ดี ทำนายท่านโกรธอาจจะถูกลงโทษเฆี่ยนตีบ้าง แต่ถ้าทำอะไรล่วงเกินฮูหยินแม้แต่นิดเดียวอาจถูกฝังไว้ก็ได้ ไม่ใช่ฮูหยินร้ายกาจหรอกนะ ฮูหยินใจดีมาก ขนาดเคยมีสาวใช้แอบขโมยเครื่องประดับของฮูหยินไป ฮูหยินก็เพียงแค่ตักเตือนเท่านั้น แต่พอนายท่านรู้เรื่องเท่านั้นแหละ สาวใช้คนนั้นก็ถูกเฆี่ยนเกือบตาย หลังจากนั้นก็ป่วยตายไปโดยไม่ได้รับการเหลียวแล ถูกนำไปฝังไว้ท้ายจวนอย่างเงียบๆ
จนกระทั่งมีเสียงร้องบอก “ท่านหมอมาแล้วขอรับ”
“รีบให้เข้ามา” เฉินจงกุ้ยร้องสั่ง บ่าวด้านนอกก็เปิดประตูให้ท่านหมอ “เชิญท่านหมอขอรับ”
ติงเฟิ่งเหล่ยเดินเข้าไปในห้อง เขามาที่นี่หลายครั้งแล้วจึงคุ้นเคยมาก เขาเดินตรงไปที่เตียงทันที เห็นเสนาบดีเฉินนั่งอยู่ข้างเตียงก็กุมมือ “ท่านเสนาบดีเฉิน”
“รีบมาดูฮูหยินเถอะ” เฉินจงกุ้ยบอกพลางลุกขึ้นถอยออกไป เฉินมู่อิ๋งก็หลับพริ้มอยู่ในอ้อมอกพ่อ
ติงเฟิ่งเหล่ยก้าวไปถึงข้างเตียง ยื่นมือไปตรวจฮูหยินทันที เขาตรวจอยู่ครู่หนึ่งก็ดึงมือออก หันไปพูดกับเสนาบดีเฉินว่า “ฮูหยินไม่เป็นอะไร เพียงแค่อ่อนเพลียมากเท่านั้น ให้นางได้นอนหลับดีๆ สักหน่อยเดี๋ยวนางก็พื้นขึ้นมาแล้ว”
“อ่อ ขอบคุณท่านหมอมาก” เฉินจงกุ้ยยิ้มให้ ติงเฟิ่งเหล่ยมองทารกน้อย “ให้ข้าตรวจลูกท่านสักหน่อยเถอะ”
“ได้ซิ” เฉินจงกุ้ยเดินไปที่โต๊ะ วางลูกลงบนโต๊ะ
“ท่านหมอ” หมอหญิงฝานซีกุมมือคารวะท่านหมอติง จากนั้นนางก็รีบถอยไปยืนอีกด้านของโต๊ะทันที
ติงเฟิ่งเหล่ยมองหมอหญิงฝานซีทีหนึ่งแล้วก้าวไปดูทารกน้อย เขายื่นนิ้วไปตรวจชีพจรที่ต้นคอทารกน้อย พบว่าชีพจรเต้นเป็นปกติดีจึงวางใจดึงมือกลับ “ลูกท่านแข็งแรงดี”
เฉินจงกุ้ยพยักหน้าทีหนึ่ง ติงเฟิ่งเหล่ยจึงบอกว่า “ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ท่านให้บ่าวตามข้าไปโรงหมอรับเทียบยากลับมาต้มให้ฮูหยินกินสัก 5 เทียบเดี๋ยวฮูหยินก็แข็งแรงขึ้นแล้วล่ะ”
“อืม ขอบคุณท่านมาก” เฉินจงกุ้ยพยักหน้า ยื่นมือไปอุ้มลูกขึ้นมาอย่างคนเห่อลูก
ติงเฟิ่งเหล่ยมองท่าทางเสนาบดีเฉินแล้วยิ้มๆ ก็ท่านเสนาบดีเพิ่งจะมีลูกคนแรกนี่นา ย่อมเห่อลูกมากเป็นธรรมดา เหมือนฮูหยินของเขาที่มีลูกคนแรกก็เห่อแบบนี้แหละ อุ้มไม่ยอมวางเลยทีเดียว จนนางมีลูกหลายคน ก็เลิกเห่อลูกไปเอง เขาหมุนตัวเดินออกจากห้องไป “หึๆๆๆ”
หมอหญิงฝานซีก็กุมมือคารวะท่านหมอติงทีหนึ่ง ติงเฟิ่งเหล่ยมองหมอหญิงฝานซีแล้วเดินจากไป หมอหญิงผู้นี้ก็เป็นเขาแนะนำให้ท่านเสนาบดีเฉินเชิญมาทำคลอดให้ฮูหยินเพราะนางมีฝีมือด้านนี้เก่งกาจมาก
เมื่อติงเฟิ่งเหล่ยออกไปแล้ว เฉินจงกุ้ยก็สั่งสาวใช้ว่า “ให้พ่อบ้านเหลียงส่งคนตามท่านหมอไปรับเทียบยาด้วย”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วเดินออกไป หมอหญิงฝานซีก็หันไปพูดกับเสนาบดีเฉินว่า “ท่านเสนาบดีเฉิน ข้าขอลาเจ้าค่ะ”
“เชิญท่านหมอเถอะ ขอบคุณท่านมาก ข้าจะให้คนไปส่ง” เฉินจงกุ้ยบอกพลางหันไปสั่งสาวใช้ว่า “ให้พ่อบ้านเหลียงส่งคนไปส่งท่านหมอด้วย”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้อีกคนรับคำสั่งแล้วเดินออกไป หมอหญิงฝานซีก็เดินตามสาวใช้ออกไป นางรู้ดีว่าที่ต้องให้บ่าวตามไปส่ง ความหมายก็คือให้บ่าวขนเงินไปส่งให้นางอย่างไรล่ะ เสนาบดีเฉินไม่ใช่คนขี้เหนียวดังนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องบอกราคาให้มากความ ท่านเสนาบดีเฉินย่อมให้ค่ารักษาคุ้มค่าแน่นอน
เมื่อหมอหญิงออกไปแล้ว เฉินจงกุ้ยก็หันไปสั่งสาวใช้ในห้องว่า “พวกเจ้าดูแลฮูหยินให้ดี”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่ง
“โอ ลูกข้าช่างหลับง่ายเสียจริง” เฉินจงกุ้ยก็อุ้มลูกไปนั่งข้างเตียง ตามองฮูหยินกับลูกสลับไปสลับมา เวลามองฮูหยินก็ห่วงแสนห่วง เวลามองลูกในอ้อมอกก็รักใคร่ยิ่งนัก นี่คือลูกของเขากับฮูหยิน เขาย่อมรักลูกมากยิ่งนัก
ณ วังหลวง ขันทีเวย เวยกุ่ยฉี(威桂齐)เดินไปรายงานฮ่องเต้ “ฮูหยินของเสนาบดีเฉินคลอดลูกแล้วพะย่ะค่ะ”
“เป็นหญิงหรือชาย?” ฮ่องเต้ถาม ขันทีเวยตอบว่า “ยังไม่ทราบแน่ชัดพะย่ะค่ะ แต่ได้ยินว่าเป็นลูกชายพะย่ะค่ะ”
“เป็นชายงั้นหรือ เช่นนั้นที่ข้าจะให้หมั้นกับองค์ชายเก้าก็คงทำไม่ได้ซินะ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ขันทีเวยยืนเงียบอย่างไร้ปาก
ณ จวนของเฉินไฮ่ผิง (陈海平) น้องชายคนรองของเฉินจงกุ้ย ซึ่งเป็นขุนนางขั้นสอง ทันทีที่รู้ว่าพี่สะใภ้คลอดลูกชายก็ไม่พอใจมาก “ฮึ่ม!”
เขาเป็นน้องต่างมารดาของเฉินจงกุ้ย มารดาของเขาเป็นฮูหยินรอง ส่วนมารดาของเฉินจงกุ้ยเป็นฮูหยินเอก เฉินจงกุ้ยจึงได้สืบทอดบ้านของตระกูลเฉิน ส่วนเขากับน้องชายอีกคนต้องออกจากบ้านไปอยู่ในบ้านที่ท่านพ่อสร้างไว้ให้ต่างหาก แม้บ้านของเขาจะใหญ่โตแต่ก็เทียบไม่ได้กับบ้านตระกูลเฉินที่พี่ชายของเขาได้ครอบครอง เขานั้นอิจฉาพี่ชายยิ่งนัก
“พี่รอง ท่านรู้เรื่องที่พี่ใหญ่ได้ลูกชายหรือยัง?” เฉินเหวินเคอ(陈文珂) น้องชายคนรองของเฉินไฮ่ผิงพุ่งเข้ามาในห้อง เขาเป็นน้องพ่อแม่เดียวกันกับเฉินไฮ่ผิง เป็นลูกคนที่สามของตระกูลเฉิน
เฉินไฮ่ผิงพยักหน้า “รู้แล้ว”
“พี่ใหญ่ได้ลูกชาย เช่นนี้จวนตระกูลเฉินย่อมตกแก่เจ้าเด็กนั่นน่ะซิ” เฉินเหวินเคอพูดอย่างเจ็บใจ เฉินไฮ่ผิงยิ่งโกรธจนหน้าแดง “หึ! ข้าไม่ยอมให้จวนนั่นตกเป็นของเจ้าเด็กนั่นได้หรอก”
“เช่นนั้นพี่รองจะทำอย่างไร?” เฉินเหวินเคอถาม เฉินไฮ่ผิงไม่พูดจา ยกนิ้วทำท่าปาดคอแทน เฉินเหวินเคอตาโตอย่างชอบใจ ถามต่อว่า “เช่นนั้นพี่รองจะจัดการอย่างไร?”
“เด็กนั่นเพิ่งจะเกิด ง่ายมากที่จะทำให้มันป่วยตาย” เฉินไฮ่ผิงพูดอย่างมีแผนการในใจ เฉินเหวินเคอรีบพูด “ถ้าพี่รองต้องการให้ข้าทำอะไรพี่รองก็สั่งมาได้เลย”
“เจ้าได้ช่วยข้าแน่” เฉินไฮ่ผิงยิ้มอย่างเหี้ยมโหด เฉินเหวินเคอยิ้มตาม ถ้าพี่รองได้ครองจวนตระกูลเฉิน พี่รองย่อมไม่ทิ้งเขาซึ่งเป็นน้องแท้ๆ แน่นอน
ไม่เหมือนพี่ใหญ่ที่ไม่เคยดูแลน้องๆ ซึ่งเกิดจากฮูหยินรอง ขนาดตอนที่เขาขอให้พี่ใหญ่ช่วยเหลือให้เขาได้ตำแหน่งเจ้าเมืองเถียน พี่ใหญ่ยังไม่ออกหน้าช่วยเหลือเลย สุดท้ายตำแหน่งเจ้าเมืองเถียนก็ตกไปเป็นของขุนนางเสียน ซึ่งตอนนี้ต้องเรียกว่าเจ้าเมืองเถียนแล้ว เขาเจ็บใจมากที่พี่ใหญ่ไม่ช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นป่านนี้เขากับพี่รองจะเป็นขุนนางขั้นสามกับขั้นสองอยู่หรือ หากพี่ใหญ่ช่วยป่านนี้เขาสองคนย่อมได้เป็นเสนาบดีหรือไม่ก็ขุนนางขั้นเก้าไปแล้ว
(ขั้นของขุนนาง เริ่มจากขั้น 1 เป็นระดับต่ำสุด ขั้น 9 สูงสุด ใหญ่กว่าขั้น 9 คือเสนาบดี)
ณ จวนเสนาบดีเฉิน เฉินม่านอิ๋งฟื้นขึ้นมา นางส่งเสียง “อือ”
เฉินจงกุ้ยดีใจมาก “ฮูหยินๆ”
เฉินม่านอิ๋งลืมตาขึ้น เห็นสามีอยู่ข้างๆ ก็ดีใจ เห็นเขาอุ้มเด็กก็รู้เลยว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตัวเอง “ลูก”
นางยันตัวลุกขึ้นนั่ง เฉินจงกุ้ยรีบวางลูกแล้วยื่นมือไปพยุงนางขึ้นมา “ค่อยๆ ลุกนะ”
“ลูก ข้าอยากอุ้มลูก” เฉินม่านอิ๋งบอก เฉินจงกุ้ยอุ้มลูกส่งให้นาง เฉินม่านอิ๋งอุ้มลูกมาแนบอก ตามองลูกอย่างรักใคร่สุดหัวใจ “ลูกของข้ากับท่านพี่”
“ใช่ๆ ลูกของข้ากับเจ้า” เฉินจงกุ้ยพยักหน้า เขาหันไปสั่งสาวใช้ว่า “พวกเจ้าออกไปให้หมด”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วพากันเดินออกไป พลางปิดประตูตามหลัง เฉินจงกุ้ยมองประตูที่ปิดสนิทดีแล้วจึงหันไปมองฮูหยิน พูดเสียงเบาราวกระซิบว่า “ลูกเรา…”
“ข้ารู้ เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านพี่ต้องการเถอะเจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งพูด เฉินจงกุ้ยจึงเอากล่องไม้เล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ เขาเปิดกล่องออก ภายในกล่องมีต่างหูไพลินน้ำงามแวววาวอยู่ข้างหนึ่ง “ต้องใช้ต่างหูนี่ซินะ”
เขาหยิบต่างหูข้างนั้นออกมาจากกล่อง มองฮูหยิน เฉินม่านอิ๋งวางลูกลงบนตักตัวเอง เฉินจงกุ้ยจับต่างหูข้างนั้น แล้วจับใบหูลูกเอาไว้ เขาจดๆ ปลายต่างหูกับติ่งหูเล็กๆ อยู่นาน ไม่กล้ากดปลายต่างหูกับติ่งหูลูก “ลูกคงเจ็บมากแน่ๆ”
เฉินม่านอิ๋งเห็นสามีไม่กล้าทำ นางจึงยื่นมือไปจับต่างหูมาถือไว้แล้วจับใบหูลูก จากนั้นก็กลั้นใจกดปลายต่างหูเข้าไปตรงกลางติ่งหูเล็กๆ เฉินมู่อิ๋งร้องลั่นทันที “แง๊!”
เฉินม่านอิ๋งเจ็บปวดใจมาก นางรีบใส่ต่างหูให้ลูก พลัน! มีแสงจ้าพุ่งออกมาจากต่างหูข้างนั้น พริบตาเดียวแสงก็หายไป เฉินจงกุ้ยกับเฉินม่านอิ๋งตาพร่าไปครู่หนึ่ง เฉินมู่อิ๋งยังคงร้องแง๊ๆ เฉินม่านอิ๋งอุ้มลูกขึ้นมาปลอบ “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะๆ”
เฉินจงกุ้ยมองลูกอย่างเจ็บปวดแทน ต่างหูข้างนั้นเป็นของฮูหยิน ต่างหูนั้นนางก็ได้มาจากมารดาของนางอีกทอดหนึ่ง เป็นมรดกสืบทอดต่อๆ กันมาในตระกูลของฮูหยิน สิ่งนี้เป็นเหมือนเครื่องยืนยันการสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลของฝั่งฮูหยิน บัดนี้ลูกของเขาถือได้ว่าเป็นผู้สืบทอดตระกูลหวง (黄) ไปแล้ว ชื่อเดิมของฮูหยินของเขาก็คือ หวงม่านอิ๋ง (黄蔓莹)
สักพักเฉินมู่อิ๋งก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง เฉินม่านอิ๋งเช็ดน้ำตาให้ลูก “โอ๋ๆ ลูกแม่ โอ๋ๆ”
เฉินจงกุ้ยมองลูกแล้วมองฮูหยิน ถามนางอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “เจ้าหิวหรือไม่?”
“หิวมากเจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งตอบ เฉินจงกุ้ยจึงลุกไปเปิดประตูสั่งสาวใช้ว่า “ยกอาหารมาให้ฮูหยินเร็ว”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วรีบเดินไปที่ห้องครัวทันที เฉินจงกุ้ยปิดประตูเดินกลับไปดูฮูหยิน เฉินมู่อิ๋งพลันร้องขึ้นมา “แง๊!”
เฉินม่านอิ๋งมองลูก “โอ้ สงสัยจะหิวแล้ว”
นางเคยเห็นท่านแม่เลี้ยงน้องๆ มาก่อน ตัวนางก็เคยช่วยท่านแม่เลี้ยงน้องๆ ด้วย น้องคนเล็กสุดนั้นท่านแม่คลอดตอนที่นางอายุได้ 15 ปี นางจึงโตพอที่จะจดจำได้ ดังนั้นวิธีการเลี้ยงลูกต่อให้ไม่มีใครสอนนาง นางก็สามารถเลี้ยงลูกได้ นางเปิดเสื้อออก อุ้มลูกกินนม เฉินมู่อิ๋งก็หันหน้าเข้าหาเต้านมตามสัญชาตญาณทันที ปากเล็กๆ ดูดจ๊วบๆ เฉินจงกุ้ยเห็นฮูหยินให้นมลูกแล้วก็รู้สึกแข็งขึงขึ้นมา “ฮูหยิน”
เขามองนางตาละห้อย เฉินม่านอิ๋งมองสามีแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ “ท่านหมอติงบอกว่าต้องงดเรื่องนั้นอย่างน้อย 2 เดือนหลังคลอด ช่วงนี้ท่านพี่ก็ช่วยเหลือตัวเองไปก่อนนะเจ้าคะ”
เฉินจงกุ้ยแทบอยากเอาหัวโขกเสาให้ตาย ตั้ง 2 เดือน! อ๊ากกกกกก—
“หากท่านพี่ทนไม่ไหวจะไปหอคณิกาข้าก็ไม่ว่าเจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งบอกอย่างใจกว้าง เฉินจงกุ้ยส่ายหน้า พูดเสียงขึงขังว่า “ไม่ไป! ข้าจะเก็บไว้ให้เจ้าคนเดียว”
“เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น ข้าคงตายคาเตียงกระมัง” เฉินม่านอิ๋งหยอกเย้าสามียิ้มๆ เฉินจงกุ้ยแก้มแดงๆ อย่างที่เห็นได้ยาก เขาดุฮูหยิน “เจ้าอย่าพูดมาก”
เฉินม่านอิ๋งยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น เฉินจงกุ้ยมองลูกดูดนมแล้วเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาตะหงิดๆ เขาได้แต่ข่มอารมณ์เอาไว้ พูดในใจว่า ‘พ่อให้ยืมก่อน’
เฉินม่านอิ๋งมองดูลูกที่กำลังดูดนมอย่างรักใคร่ จนกระทั่งเสียงสาวใช้หน้าห้องร้องบอกว่า “นายท่านเจ้าคะ อาหารเจ้าค่ะ”
“ยกเข้ามา” เฉินจงกุ้ยสั่ง สาวใช้จึงเปิดประตูเดินเข้ามาแล้วเดินเรียงแถวยกอาหารไปวางบนโต๊ะ จากนั้นก็ชักแถวเดินออกไปพลางปิดประตูตามหลัง
“ไหนๆ ดูซิ วันนี้มีอะไรบ้าง?” เฉินจงกุ้ยเดินไปดูกับข้าวแล้วตักไก่ตุ๋นใส่ถ้วยยกไปป้อนฮูหยินถึงเตียง เขาจำได้ว่าท่านหมอติงบอกว่าไก๋ตุ๋นเป็นอาหารบำรุงที่ดีมากตำรับหนึ่ง ดังนั้นทุกวันห้องครัวจะต้องทำไก่ตุ๋นเอาไว้ รสชาติก็จะคอยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ฮูหยินเบื่อ วันนี้เป็นไก่ตุ๋นกับแตงกวา กลิ่นหอมฉุยน่ากิน เขาถือไปนั่งข้างเตียงแล้วตักป้อนถึงปาก “มาๆ กินก่อนนะ”
“เจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งอ้าปากกินน้ำไก่ตุ๋นเข้าไป เฉินจงกุ้ยก็ตักป้อนอีก เฉินม่านอิ๋งกินอย่างมีความสุขมาก สามีทั้งรักทั้งเอาใจขนาดนี้นางนับว่าโชคดีที่ได้สามีแสนดี อีกทั้งเขาไม่เคยคิดจะแต่งฮูหยินรอง นางยิ่งนับว่าโชคดีมากขึ้นไปอีก นางไม่เคยขอให้เขาทำเช่นนี้เพื่อนาง เขาทำสิ่งเหล่านี้ด้วยใจของเขาล้วนๆ เช่นนี้นางจึงรักเขายิ่งนัก รักจนหมดใจเลยทีเดียว หากเขาตายนางก็จะตรอมใจตายตามเขาไปด้วย
เฉินจงกุ้ยป้อนจนหมดถ้วยแล้วเขาจึงเอาถ้วยไปวางบนโต๊ะแล้วมองดูกับข้าวอย่างอื่น กำลังจะตักไปป้อนฮูหยิน พลัน! บ่าวก็ร้องบอกว่า “นายท่านขอรับ ท่านเฉินไฮ่ผิงกับท่านเฉินเหวินเคอมาขอรับ”