Skip to content

Ebook เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน เล่ม 1

  • by

17 ม.ค. 2566

เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน

Chapter 1

คลอดลูก

ณ จวนตระกูลเฉิน เสนาบดีเฉินจงกุ้ย(陈宗贵) เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวลใจ ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพราะฮูหยินของเขากำลังจะให้กำเนิดบุตร เขาแต่งงานมาหลายปีแล้ว เพิ่งจะมีบุตรคนแรกคนนี้นี่แหละ เนื่องจากฮูหยินของเขา เฉินม่านอิ๋ง(陈蔓莹) มีร่างกายอ่อนแอ ตอนตั้งครรภ์ก็เสี่ยงที่จะแท้งอยู่หลายหน

ท่านหมอติงเฟิ่งเหล่ย(丁凤蕾)หมออันดับสองของเมืองหลวงต้องคอยประคับประคองครรภ์นี้อย่างสุดความสามารถเลยทีเดียวจึงได้รอดพ้นมาจนถึงตอนนี้ได้

ติงเฟิ่งเหล่ยเป็นหมออันดับสอง ส่วนหมออันดับหนึ่งนั้นคือหมอหลวงซึ่งย่อมต้องถวายการรับใช้ฮ่องเต้อยู่ในวังหลวง หมอหลวงไม่อาจมารักษาประชาชนได้หากไม่ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้

ดังนั้นการที่เสนาบดีเฉินสามารถเชิญหมออันดับสองของเมืองหลวงมารักษาฮูหยินของเขาก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว การเชิญท่านหมอติงเฟิ่งหล่ยมารักษาก็ต้องจ่ายเงินทองไปไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ด้วยฐานะของเสนาบดีเฉินซึ่งเป็นเสนาบดีที่ฮ่องเต้โปรดปรานย่อมจ่ายได้อยู่แล้ว

ภายในห้อง เฉินม่านอิ๋งนอนร้องโอดโอย เจ็บปวดมากจนแทบสลบไปหลายหน แต่นางก็อดทนฝืนร่างกายเอาไว้ หากนางสลบไปลูกในครรภ์คงไม่รอดแน่ นางยอมตายเพื่อให้ลูกปลอดภัย! หมอหญิงฝานซี(凡曦) ก็ทำคลอดอย่างยากเย็นมากเพราะฮูหยินร่างกายอ่อนแอ นางแทบไม่มีแรงเบ่งเลยด้วยซ้ำ

“ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ” หมอหญิงฝานซีสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด เฉินม่านอิ๋งรวบรวมกำลังเบ่งสุดแรง “ฮึ๊บบบบบบ—”

“เบ่งอีกเจ้าค่ะ” หมอหญิงฝานซีสั่ง เฉินม่านอิ๋งเบ่งอีก “ฮึ๊บบบบบบ—”

“เบ่งอีก! หัวออกมาแล้ว!” หมอหญิงฝานซีบอกอย่างตื่นเต้น เฉินม่านอิ๋งเบ่งสุดชีวิต “ฮึ๊บบบบบบ—”

จนกระทั่งทารกน้อยหลุดจากครรภ์ออกมา เฉินม่านอิ๋งก็หมดแรงพอดี นางสลบไปทันที สาวใช้ตกใจ “อ้า! ฮูหยินเป็นลมไปแล้ว!”

หมอหญิงฝานซีรีบทำคลอดต่อ นางดึงสายรกออกมา จนรกหลุดออกจากครรภ์ จากนั้นนางก็ตัดสายสะดือ ทารกน้อยร้องไห้จ้า “แว๊!”

“คลอดแล้ว!” เฉินจงกุ้ยได้ยินเสียงเด็กร้องก็รีบเปิดประตูเข้าไปทันที บ่าวคนสนิทได้แต่ยืนอยู่หน้าห้องไม่กล้าตามเข้าไปด้วย เฉินจงกุ้ยเดินไปถึงเตียง สาวใช้ตกใจ “อ้า! นายท่าน!”

“อุ้ย!” หมอหญิงฝานซีก็ตกใจเช่นกัน นางเคยทำคลอดให้เศรษฐีทั้งหลายมาหลายครั้งแล้ว เจอเหตุการณ์ที่ผู้เป็นสามีเข้ามาในห้องในระหว่างทำคลอดบ่อยครั้งทำให้นางรีบตั้งสติทำคลอดมือไม้คล่องแคล่วมาก นางล้างตัวทารกแล้วจับห่อผ้าทำให้ทารกน้อยค่อยๆ เงียบเสียงไป นางกำลังจะส่งทารกให้สาวใช้ เฉินจงกุ้ยก็รีบยื่นมือไปอุ้มทันที “ส่งมานี่ๆ ท่านรีบดูฮูหยินข้าเร็ว”

หมอหญิงฝานซีส่งทารกให้เฉินจงกุ้ยแล้วขยับไปดูฮูหยินซึ่งสลบไม่ได้สติ นางยื่นมือไปจับชีพจรตรวจดู ตรวจอยู่ครู่หนึ่งก็บอกว่า “ฮูหยินเพียงแค่สลบไปเท่านั้น นางไม่ได้เป็นอะไรมาก”

“โอ ดีๆ” เฉินจงกุ้ยโล่งใจ เขาก้มมองดูลูกในอ้อมอก หมอหญิงฝานซีมองแล้วพูดว่า “คุณ…”

“คุณชายน้อย” เฉินจงกุ้ยพูดแทรก “ข้าตั้งชื่อไว้ให้เขาแล้ว เขาชื่อเฉินมู่อิ๋ง(陈穆莹) พวกเจ้าทุกคนจำไว้ว่าคุณชายน้อยชื่อเฉินมู่อิ๋ง”

ประโยคหลังนั้นเขาสั่งบ่าวไพร่ สาวใช้ก็พากันรับคำ “เจ้าค่ะ”

หมอหญิงฝานซีไม่พูดอะไร นางหันไปจัดการงานของนางต่อ จัดแจงทำความสะอาดฮูหยินเก็บข้าวของ ส่งผ้าเปื้อนเลือดให้สาวใช้นำไปทิ้ง

เฉินจงกุ้ยก็ยืนมองฮูหยินอย่างเป็นห่วงเป็นใย เขาแต่งนางเป็นฮูหยินเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่คิดมีฮูหยินรอง ถึงแม้ว่าคนอื่นจะยุยงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมตกแต่งฮูหยินรองเข้ามา นอกจากนางแล้วเขาก็ไม่รักใครอีก เขายอมมีฮูหยินเพียงคนเดียวไปจนตาย จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่พ่อแม่ของเขาด่วนจากไปหลังจากที่เขาแต่งงานได้ไม่กี่เดือน ทำให้ไม่มีใครกล้าบังคับให้เขาแต่งฮูหยินรองเข้ามาหลังจากที่แต่งงานมาหลายปีแล้วแต่ฮูหยินเอกยังไม่ตั้งครรภ์เสียที

บ่าวไพร่ในห้องก็ช่วยหมอหญิงฝานซีไปเงียบๆ พวกนางล้วนรู้ดีว่านายท่านรักฮูหยินมากเพียงใด รักจนหากว่าฮูหยินตายไปนายท่านคงตรอมใจตายตามไปกระมัง บัดนี้มีคุณชายน้อยมาสืบสกุลแล้วพวกนางก็โล่งใจมาก คราวนี้พวกน้องๆ ของนายท่านจะได้เลิกยุแยงให้นายท่านแต่งฮูหยินรองเสียที

จนกระทั่งหมอหญิงจัดการงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงหันไปพูดกับเสนาบดีเฉินว่า “นายท่าน ข้าทำงานเสร็จแล้ว ต่อจากนี้ท่านก็เชิญท่านหมอติงมาตรวจฮูหยินเถอะเจ้าค่ะ”

“อ่อๆ” เฉินจงกุ้ยพยักหน้าหันไปสั่งสาวใช้ว่า “เจ้าไปเชิญท่านหมอติงมาที”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบเดินออกไป หมอหญิงฝานซีก็ถอยไปนั่งที่โต๊ะรอจนกว่าติงเฟิ่งเหล่ยจะมา รอจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีแล้วนางถึงจะวางใจกลับบ้านไปได้ ร่างกายของฮูหยินอ่อนแอ รับเทียบยาจากหมอติงเฟิ่งเหล่ยมาตลอดดังนั้นนางจึงไม่อาจทำตัวอวดรู้เสนอหน้าไปรักษาฮูหยินหรอก หากฮูหยินเป็นอะไรขึ้นมา นางย่อมถูกท่านเสนาบดีเฉินผู้นี้จัดการแน่นอน

เฉินจงกุ้ยเดินไปนั่งข้างๆ เตียง อุ้มลูกชายไว้ไม่ยอมวาง ตาก็มองดูฮูหยินอย่างเป็นห่วงเป็นใย

สาวใช้ก้มหน้าทำงานของตัวเองไป พวกนางเห็นท่าทางของนายท่านจนชินแล้ว นายท่านรักฮูหยินมากเพียงไหนพวกนางย่อมรู้ดี ทำนายท่านโกรธอาจจะถูกลงโทษเฆี่ยนตีบ้าง แต่ถ้าทำอะไรล่วงเกินฮูหยินแม้แต่นิดเดียวอาจถูกฝังไว้ก็ได้ ไม่ใช่ฮูหยินร้ายกาจหรอกนะ ฮูหยินใจดีมาก ขนาดเคยมีสาวใช้แอบขโมยเครื่องประดับของฮูหยินไป ฮูหยินก็เพียงแค่ตักเตือนเท่านั้น แต่พอนายท่านรู้เรื่องเท่านั้นแหละ สาวใช้คนนั้นก็ถูกเฆี่ยนเกือบตาย หลังจากนั้นก็ป่วยตายไปโดยไม่ได้รับการเหลียวแล ถูกนำไปฝังไว้ท้ายจวนอย่างเงียบๆ

จนกระทั่งมีเสียงร้องบอก “ท่านหมอมาแล้วขอรับ”

“รีบให้เข้ามา” เฉินจงกุ้ยร้องสั่ง บ่าวด้านนอกก็เปิดประตูให้ท่านหมอ “เชิญท่านหมอขอรับ”

ติงเฟิ่งเหล่ยเดินเข้าไปในห้อง เขามาที่นี่หลายครั้งแล้วจึงคุ้นเคยมาก เขาเดินตรงไปที่เตียงทันที เห็นเสนาบดีเฉินนั่งอยู่ข้างเตียงก็กุมมือ “ท่านเสนาบดีเฉิน”

“รีบมาดูฮูหยินเถอะ” เฉินจงกุ้ยบอกพลางลุกขึ้นถอยออกไป เฉินมู่อิ๋งก็หลับพริ้มอยู่ในอ้อมอกพ่อ

ติงเฟิ่งเหล่ยก้าวไปถึงข้างเตียง ยื่นมือไปตรวจฮูหยินทันที เขาตรวจอยู่ครู่หนึ่งก็ดึงมือออก หันไปพูดกับเสนาบดีเฉินว่า “ฮูหยินไม่เป็นอะไร เพียงแค่อ่อนเพลียมากเท่านั้น ให้นางได้นอนหลับดีๆ สักหน่อยเดี๋ยวนางก็พื้นขึ้นมาแล้ว”

“อ่อ ขอบคุณท่านหมอมาก” เฉินจงกุ้ยยิ้มให้ ติงเฟิ่งเหล่ยมองทารกน้อย “ให้ข้าตรวจลูกท่านสักหน่อยเถอะ”

“ได้ซิ” เฉินจงกุ้ยเดินไปที่โต๊ะ วางลูกลงบนโต๊ะ

“ท่านหมอ” หมอหญิงฝานซีกุมมือคารวะท่านหมอติง จากนั้นนางก็รีบถอยไปยืนอีกด้านของโต๊ะทันที

ติงเฟิ่งเหล่ยมองหมอหญิงฝานซีทีหนึ่งแล้วก้าวไปดูทารกน้อย เขายื่นนิ้วไปตรวจชีพจรที่ต้นคอทารกน้อย พบว่าชีพจรเต้นเป็นปกติดีจึงวางใจดึงมือกลับ “ลูกท่านแข็งแรงดี”

เฉินจงกุ้ยพยักหน้าทีหนึ่ง ติงเฟิ่งเหล่ยจึงบอกว่า “ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ท่านให้บ่าวตามข้าไปโรงหมอรับเทียบยากลับมาต้มให้ฮูหยินกินสัก 5 เทียบเดี๋ยวฮูหยินก็แข็งแรงขึ้นแล้วล่ะ”

“อืม ขอบคุณท่านมาก” เฉินจงกุ้ยพยักหน้า ยื่นมือไปอุ้มลูกขึ้นมาอย่างคนเห่อลูก

ติงเฟิ่งเหล่ยมองท่าทางเสนาบดีเฉินแล้วยิ้มๆ ก็ท่านเสนาบดีเพิ่งจะมีลูกคนแรกนี่นา ย่อมเห่อลูกมากเป็นธรรมดา เหมือนฮูหยินของเขาที่มีลูกคนแรกก็เห่อแบบนี้แหละ อุ้มไม่ยอมวางเลยทีเดียว จนนางมีลูกหลายคน ก็เลิกเห่อลูกไปเอง เขาหมุนตัวเดินออกจากห้องไป “หึๆๆๆ”

หมอหญิงฝานซีก็กุมมือคารวะท่านหมอติงทีหนึ่ง ติงเฟิ่งเหล่ยมองหมอหญิงฝานซีแล้วเดินจากไป หมอหญิงผู้นี้ก็เป็นเขาแนะนำให้ท่านเสนาบดีเฉินเชิญมาทำคลอดให้ฮูหยินเพราะนางมีฝีมือด้านนี้เก่งกาจมาก

เมื่อติงเฟิ่งเหล่ยออกไปแล้ว เฉินจงกุ้ยก็สั่งสาวใช้ว่า “ให้พ่อบ้านเหลียงส่งคนตามท่านหมอไปรับเทียบยาด้วย”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วเดินออกไป หมอหญิงฝานซีก็หันไปพูดกับเสนาบดีเฉินว่า “ท่านเสนาบดีเฉิน ข้าขอลาเจ้าค่ะ”

“เชิญท่านหมอเถอะ ขอบคุณท่านมาก ข้าจะให้คนไปส่ง” เฉินจงกุ้ยบอกพลางหันไปสั่งสาวใช้ว่า “ให้พ่อบ้านเหลียงส่งคนไปส่งท่านหมอด้วย”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้อีกคนรับคำสั่งแล้วเดินออกไป หมอหญิงฝานซีก็เดินตามสาวใช้ออกไป นางรู้ดีว่าที่ต้องให้บ่าวตามไปส่ง ความหมายก็คือให้บ่าวขนเงินไปส่งให้นางอย่างไรล่ะ เสนาบดีเฉินไม่ใช่คนขี้เหนียวดังนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องบอกราคาให้มากความ ท่านเสนาบดีเฉินย่อมให้ค่ารักษาคุ้มค่าแน่นอน

เมื่อหมอหญิงออกไปแล้ว เฉินจงกุ้ยก็หันไปสั่งสาวใช้ในห้องว่า “พวกเจ้าดูแลฮูหยินให้ดี”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่ง

“โอ ลูกข้าช่างหลับง่ายเสียจริง” เฉินจงกุ้ยก็อุ้มลูกไปนั่งข้างเตียง ตามองฮูหยินกับลูกสลับไปสลับมา เวลามองฮูหยินก็ห่วงแสนห่วง เวลามองลูกในอ้อมอกก็รักใคร่ยิ่งนัก นี่คือลูกของเขากับฮูหยิน เขาย่อมรักลูกมากยิ่งนัก

ณ วังหลวง ขันทีเวย เวยกุ่ยฉี(威桂齐)เดินไปรายงานฮ่องเต้ “ฮูหยินของเสนาบดีเฉินคลอดลูกแล้วพะย่ะค่ะ”

“เป็นหญิงหรือชาย?” ฮ่องเต้ถาม ขันทีเวยตอบว่า “ยังไม่ทราบแน่ชัดพะย่ะค่ะ แต่ได้ยินว่าเป็นลูกชายพะย่ะค่ะ”

“เป็นชายงั้นหรือ เช่นนั้นที่ข้าจะให้หมั้นกับองค์ชายเก้าก็คงทำไม่ได้ซินะ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ขันทีเวยยืนเงียบอย่างไร้ปาก

ณ จวนของเฉินไฮ่ผิง (陈海平) น้องชายคนรองของเฉินจงกุ้ย ซึ่งเป็นขุนนางขั้นสอง ทันทีที่รู้ว่าพี่สะใภ้คลอดลูกชายก็ไม่พอใจมาก “ฮึ่ม!”

เขาเป็นน้องต่างมารดาของเฉินจงกุ้ย มารดาของเขาเป็นฮูหยินรอง ส่วนมารดาของเฉินจงกุ้ยเป็นฮูหยินเอก เฉินจงกุ้ยจึงได้สืบทอดบ้านของตระกูลเฉิน ส่วนเขากับน้องชายอีกคนต้องออกจากบ้านไปอยู่ในบ้านที่ท่านพ่อสร้างไว้ให้ต่างหาก แม้บ้านของเขาจะใหญ่โตแต่ก็เทียบไม่ได้กับบ้านตระกูลเฉินที่พี่ชายของเขาได้ครอบครอง เขานั้นอิจฉาพี่ชายยิ่งนัก

“พี่รอง ท่านรู้เรื่องที่พี่ใหญ่ได้ลูกชายหรือยัง?” เฉินเหวินเคอ(陈文珂) น้องชายคนรองของเฉินไฮ่ผิงพุ่งเข้ามาในห้อง เขาเป็นน้องพ่อแม่เดียวกันกับเฉินไฮ่ผิง เป็นลูกคนที่สามของตระกูลเฉิน

เฉินไฮ่ผิงพยักหน้า “รู้แล้ว”

“พี่ใหญ่ได้ลูกชาย เช่นนี้จวนตระกูลเฉินย่อมตกแก่เจ้าเด็กนั่นน่ะซิ” เฉินเหวินเคอพูดอย่างเจ็บใจ เฉินไฮ่ผิงยิ่งโกรธจนหน้าแดง “หึ! ข้าไม่ยอมให้จวนนั่นตกเป็นของเจ้าเด็กนั่นได้หรอก”

“เช่นนั้นพี่รองจะทำอย่างไร?” เฉินเหวินเคอถาม เฉินไฮ่ผิงไม่พูดจา ยกนิ้วทำท่าปาดคอแทน เฉินเหวินเคอตาโตอย่างชอบใจ ถามต่อว่า “เช่นนั้นพี่รองจะจัดการอย่างไร?”

“เด็กนั่นเพิ่งจะเกิด ง่ายมากที่จะทำให้มันป่วยตาย” เฉินไฮ่ผิงพูดอย่างมีแผนการในใจ เฉินเหวินเคอรีบพูด “ถ้าพี่รองต้องการให้ข้าทำอะไรพี่รองก็สั่งมาได้เลย”

“เจ้าได้ช่วยข้าแน่” เฉินไฮ่ผิงยิ้มอย่างเหี้ยมโหด เฉินเหวินเคอยิ้มตาม ถ้าพี่รองได้ครองจวนตระกูลเฉิน พี่รองย่อมไม่ทิ้งเขาซึ่งเป็นน้องแท้ๆ แน่นอน

ไม่เหมือนพี่ใหญ่ที่ไม่เคยดูแลน้องๆ ซึ่งเกิดจากฮูหยินรอง ขนาดตอนที่เขาขอให้พี่ใหญ่ช่วยเหลือให้เขาได้ตำแหน่งเจ้าเมืองเถียน พี่ใหญ่ยังไม่ออกหน้าช่วยเหลือเลย สุดท้ายตำแหน่งเจ้าเมืองเถียนก็ตกไปเป็นของขุนนางเสียน ซึ่งตอนนี้ต้องเรียกว่าเจ้าเมืองเถียนแล้ว เขาเจ็บใจมากที่พี่ใหญ่ไม่ช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นป่านนี้เขากับพี่รองจะเป็นขุนนางขั้นสามกับขั้นสองอยู่หรือ หากพี่ใหญ่ช่วยป่านนี้เขาสองคนย่อมได้เป็นเสนาบดีหรือไม่ก็ขุนนางขั้นเก้าไปแล้ว

(ขั้นของขุนนาง เริ่มจากขั้น 1 เป็นระดับต่ำสุด ขั้น 9 สูงสุด ใหญ่กว่าขั้น 9 คือเสนาบดี)

ณ จวนเสนาบดีเฉิน เฉินม่านอิ๋งฟื้นขึ้นมา นางส่งเสียง “อือ”

เฉินจงกุ้ยดีใจมาก “ฮูหยินๆ”

เฉินม่านอิ๋งลืมตาขึ้น เห็นสามีอยู่ข้างๆ ก็ดีใจ เห็นเขาอุ้มเด็กก็รู้เลยว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตัวเอง “ลูก”

นางยันตัวลุกขึ้นนั่ง เฉินจงกุ้ยรีบวางลูกแล้วยื่นมือไปพยุงนางขึ้นมา “ค่อยๆ ลุกนะ”

“ลูก ข้าอยากอุ้มลูก” เฉินม่านอิ๋งบอก เฉินจงกุ้ยอุ้มลูกส่งให้นาง เฉินม่านอิ๋งอุ้มลูกมาแนบอก ตามองลูกอย่างรักใคร่สุดหัวใจ “ลูกของข้ากับท่านพี่”

“ใช่ๆ ลูกของข้ากับเจ้า” เฉินจงกุ้ยพยักหน้า เขาหันไปสั่งสาวใช้ว่า “พวกเจ้าออกไปให้หมด”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วพากันเดินออกไป พลางปิดประตูตามหลัง เฉินจงกุ้ยมองประตูที่ปิดสนิทดีแล้วจึงหันไปมองฮูหยิน พูดเสียงเบาราวกระซิบว่า “ลูกเรา…”

“ข้ารู้ เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านพี่ต้องการเถอะเจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งพูด เฉินจงกุ้ยจึงเอากล่องไม้เล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ เขาเปิดกล่องออก ภายในกล่องมีต่างหูไพลินน้ำงามแวววาวอยู่ข้างหนึ่ง “ต้องใช้ต่างหูนี่ซินะ”

เขาหยิบต่างหูข้างนั้นออกมาจากกล่อง มองฮูหยิน เฉินม่านอิ๋งวางลูกลงบนตักตัวเอง เฉินจงกุ้ยจับต่างหูข้างนั้น แล้วจับใบหูลูกเอาไว้ เขาจดๆ ปลายต่างหูกับติ่งหูเล็กๆ อยู่นาน ไม่กล้ากดปลายต่างหูกับติ่งหูลูก “ลูกคงเจ็บมากแน่ๆ”

เฉินม่านอิ๋งเห็นสามีไม่กล้าทำ นางจึงยื่นมือไปจับต่างหูมาถือไว้แล้วจับใบหูลูก จากนั้นก็กลั้นใจกดปลายต่างหูเข้าไปตรงกลางติ่งหูเล็กๆ เฉินมู่อิ๋งร้องลั่นทันที “แง๊!”

เฉินม่านอิ๋งเจ็บปวดใจมาก นางรีบใส่ต่างหูให้ลูก พลัน! มีแสงจ้าพุ่งออกมาจากต่างหูข้างนั้น พริบตาเดียวแสงก็หายไป เฉินจงกุ้ยกับเฉินม่านอิ๋งตาพร่าไปครู่หนึ่ง เฉินมู่อิ๋งยังคงร้องแง๊ๆ เฉินม่านอิ๋งอุ้มลูกขึ้นมาปลอบ “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะๆ”

เฉินจงกุ้ยมองลูกอย่างเจ็บปวดแทน ต่างหูข้างนั้นเป็นของฮูหยิน ต่างหูนั้นนางก็ได้มาจากมารดาของนางอีกทอดหนึ่ง เป็นมรดกสืบทอดต่อๆ กันมาในตระกูลของฮูหยิน สิ่งนี้เป็นเหมือนเครื่องยืนยันการสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลของฝั่งฮูหยิน บัดนี้ลูกของเขาถือได้ว่าเป็นผู้สืบทอดตระกูลหวง (黄) ไปแล้ว ชื่อเดิมของฮูหยินของเขาก็คือ หวงม่านอิ๋ง (黄蔓莹)

สักพักเฉินมู่อิ๋งก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง เฉินม่านอิ๋งเช็ดน้ำตาให้ลูก “โอ๋ๆ ลูกแม่ โอ๋ๆ”

เฉินจงกุ้ยมองลูกแล้วมองฮูหยิน ถามนางอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “เจ้าหิวหรือไม่?”

“หิวมากเจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งตอบ เฉินจงกุ้ยจึงลุกไปเปิดประตูสั่งสาวใช้ว่า “ยกอาหารมาให้ฮูหยินเร็ว”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วรีบเดินไปที่ห้องครัวทันที เฉินจงกุ้ยปิดประตูเดินกลับไปดูฮูหยิน เฉินมู่อิ๋งพลันร้องขึ้นมา “แง๊!”

เฉินม่านอิ๋งมองลูก “โอ้ สงสัยจะหิวแล้ว”

นางเคยเห็นท่านแม่เลี้ยงน้องๆ มาก่อน ตัวนางก็เคยช่วยท่านแม่เลี้ยงน้องๆ ด้วย น้องคนเล็กสุดนั้นท่านแม่คลอดตอนที่นางอายุได้ 15 ปี นางจึงโตพอที่จะจดจำได้ ดังนั้นวิธีการเลี้ยงลูกต่อให้ไม่มีใครสอนนาง นางก็สามารถเลี้ยงลูกได้ นางเปิดเสื้อออก อุ้มลูกกินนม เฉินมู่อิ๋งก็หันหน้าเข้าหาเต้านมตามสัญชาตญาณทันที ปากเล็กๆ ดูดจ๊วบๆ เฉินจงกุ้ยเห็นฮูหยินให้นมลูกแล้วก็รู้สึกแข็งขึงขึ้นมา “ฮูหยิน”

เขามองนางตาละห้อย เฉินม่านอิ๋งมองสามีแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ “ท่านหมอติงบอกว่าต้องงดเรื่องนั้นอย่างน้อย 2 เดือนหลังคลอด ช่วงนี้ท่านพี่ก็ช่วยเหลือตัวเองไปก่อนนะเจ้าคะ”

เฉินจงกุ้ยแทบอยากเอาหัวโขกเสาให้ตาย ตั้ง 2 เดือน! อ๊ากกกกกก—

“หากท่านพี่ทนไม่ไหวจะไปหอคณิกาข้าก็ไม่ว่าเจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งบอกอย่างใจกว้าง เฉินจงกุ้ยส่ายหน้า พูดเสียงขึงขังว่า “ไม่ไป! ข้าจะเก็บไว้ให้เจ้าคนเดียว”

“เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น ข้าคงตายคาเตียงกระมัง” เฉินม่านอิ๋งหยอกเย้าสามียิ้มๆ เฉินจงกุ้ยแก้มแดงๆ อย่างที่เห็นได้ยาก เขาดุฮูหยิน “เจ้าอย่าพูดมาก”

เฉินม่านอิ๋งยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น เฉินจงกุ้ยมองลูกดูดนมแล้วเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาตะหงิดๆ เขาได้แต่ข่มอารมณ์เอาไว้ พูดในใจว่า ‘พ่อให้ยืมก่อน’

เฉินม่านอิ๋งมองดูลูกที่กำลังดูดนมอย่างรักใคร่ จนกระทั่งเสียงสาวใช้หน้าห้องร้องบอกว่า “นายท่านเจ้าคะ อาหารเจ้าค่ะ”

“ยกเข้ามา” เฉินจงกุ้ยสั่ง สาวใช้จึงเปิดประตูเดินเข้ามาแล้วเดินเรียงแถวยกอาหารไปวางบนโต๊ะ จากนั้นก็ชักแถวเดินออกไปพลางปิดประตูตามหลัง

“ไหนๆ ดูซิ วันนี้มีอะไรบ้าง?” เฉินจงกุ้ยเดินไปดูกับข้าวแล้วตักไก่ตุ๋นใส่ถ้วยยกไปป้อนฮูหยินถึงเตียง เขาจำได้ว่าท่านหมอติงบอกว่าไก๋ตุ๋นเป็นอาหารบำรุงที่ดีมากตำรับหนึ่ง ดังนั้นทุกวันห้องครัวจะต้องทำไก่ตุ๋นเอาไว้ รสชาติก็จะคอยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ฮูหยินเบื่อ วันนี้เป็นไก่ตุ๋นกับแตงกวา กลิ่นหอมฉุยน่ากิน เขาถือไปนั่งข้างเตียงแล้วตักป้อนถึงปาก “มาๆ กินก่อนนะ”

“เจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งอ้าปากกินน้ำไก่ตุ๋นเข้าไป เฉินจงกุ้ยก็ตักป้อนอีก เฉินม่านอิ๋งกินอย่างมีความสุขมาก สามีทั้งรักทั้งเอาใจขนาดนี้นางนับว่าโชคดีที่ได้สามีแสนดี อีกทั้งเขาไม่เคยคิดจะแต่งฮูหยินรอง นางยิ่งนับว่าโชคดีมากขึ้นไปอีก นางไม่เคยขอให้เขาทำเช่นนี้เพื่อนาง เขาทำสิ่งเหล่านี้ด้วยใจของเขาล้วนๆ เช่นนี้นางจึงรักเขายิ่งนัก รักจนหมดใจเลยทีเดียว หากเขาตายนางก็จะตรอมใจตายตามเขาไปด้วย

เฉินจงกุ้ยป้อนจนหมดถ้วยแล้วเขาจึงเอาถ้วยไปวางบนโต๊ะแล้วมองดูกับข้าวอย่างอื่น กำลังจะตักไปป้อนฮูหยิน พลัน! บ่าวก็ร้องบอกว่า “นายท่านขอรับ ท่านเฉินไฮ่ผิงกับท่านเฉินเหวินเคอมาขอรับ”

Chapter 2

เฉินมู่อิ๋งป่วย

“อ่อ บอกพวกเขาให้รอก่อน ข้ากำลังกินข้าวกับฮูหยินอยู่” เฉินจงกุ้ยบอก บ่าวจึงรับคำ “ขอรับ”

แล้วบ่าวก็ถอยออกไป เฉินจงกุ้ยจึงตักโจ๊กไปป้อนให้ฮูหยิน “เจ้ากินโจ๊กสักหน่อยนะ”

“เจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า อ้าปากกินโจ๊ก นางไม่ค่อยชอบน้องสามีทั้งสองคนของสามี ดังนั้นนางจึงไม่ได้บอกให้สามีรีบไปพบน้องก่อนก็ได้ เฉินจงกุ้ยก็ไม่รีบไปพบน้องทั้งสอง เขาเห็นฮูหยินสำคัญกว่าน้องทั้งสองคน

เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอนั่งรออยู่ในห้องโถงนานมาก รอจนเฉินไฮ่ผิงเริ่มหมดความอดทน “ข้าจะกลับแล้ว”

“พี่รอง รออีกหน่อยเถอะ” เฉินเหวินเคอประเหลาะพี่รอง ต้องให้พี่รองออกหน้าจัดการเจ้าเด็กนั่นก่อนซิ ถ้าหากถูกพี่ใหญ่จับได้ความผิดก็จะตกแก่พี่รอง เขาก็ทำไม่รู้เรื่องราวถอยออกไปชมดูอย่างไร้ความผิดใด หึๆๆๆ

“หึ! พี่ใหญ่เคยเห็นหัวข้าด้วยรึตั้งแต่แต่งนางแพศยานั่นเข้ามา” เฉินไฮ่ผิงสบถอย่างแค้นใจ เฉินเหวินเคอรีบประเหลาะ “พี่รองใจเย็นก่อนเถอะ เพื่อการนั้นพี่ก็อดทนอีกนิดเถอะนะ”

ประโยคหลังเขากระซิบเสียงเบาอย่างยิ่ง เฉินไฮ่ผิงนึกถึงแผนการแล้วก็ข่มใจให้อดทน เขานั่งลงยกเหล้าขึ้นจิบอย่างไม่พอใจ “หึ!”

บ่าวก็ลอบสังเกตท่าทีของทั้งสองอย่างละเอียดลออยิ่ง พวกเขาไม่ค่อยชอบน้องของนายท่านทั้งสองเลย คนทั้งสองล้วนไม่เห็นบ่าวเป็นคน พวกเขาเห็นบ่าวเป็นเพียงบ่าวไพร่ไร้ค่าที่จะฆ่าจะแกงอย่างไรก็ได้ ไม่เหมือนนายท่านที่เห็นบ่าวเป็นคน ให้ความยุติธรรมเท่าเทียมกัน หากไม่ทำผิดอะไรก็ไม่ต้องกลัวนายท่านจะดุด่าลงโทษ อีกทั้งอาหารการกินหรือก็สมบูรณ์ยิ่งกว่าจวนอื่นๆ บ้านอื่นๆ มากนัก พวกบ่าวจึงรักนายท่านราวกับชีวิตของพวกเขาเอง

จนกระทั่งบ่าวเห็นนายท่านเดินมา บ่าวคนหนึ่งก็รีบแอบไปกระซิบบอก “นายท่านขอรับ……..”

เฉินจงกุ้ยฟังบ่าวจนจบแล้วส่งสายตาให้บ่าว บ่าวก็ถอยไปอย่างนกรู้ เฉินจงกุ้ยเดินเข้าไปอย่างเฉยชา ทักทายว่า “น้องรอง น้องสาม มาหาข้าถึงจวนมีอะไรรึ?”

“ข้าได้ข่าวว่าพี่สะใภ้คลอดหลานแล้วจึงได้มาเยี่ยมขอรับ” เฉินเหวินเคอรีบพูดพลางส่งสายตาให้บ่าวคนสนิท บ่าวก็รีบยกของขวัญไปให้ เฉินจงกุ้ยมองหีบไม้ใบนั้น “นี่คืออะไรรึ?”

“นี่เป็นโสมพันปี บำรุงร่างกายดีนักขอรับ ข้าเอามาให้พี่สะใภ้ขอรับ” เฉินเหวินเคอรีบพูดพลางลุกไปเปิดกล่อง เฉินจงกุ้ยมองโสมพันปีต้นนั้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “น้องสามไม่ต้องเอาของมาให้ข้าก็ได้ แค่มีใจมาเยี่ยมเยือนข้าก็ดีใจแล้ว”

“พี่ใหญ่รับไว้เถอะ หากท่านไม่รับไว้ข้าคงเสียใจ” เฉินเหวินเคอคะยั้นคะยอ เฉินจงกุ้ยจึงรับเอาไว้ “ขอบใจเจ้ามาก”

บ่าวก็ส่งกล่องโสมให้บ่าวของจวน บ่าวรับกล่องมาแล้วยกไปเก็บ เฉินไฮ่ผิงส่งสายตาให้บ่าว บ่าวก็รีบเดินขึ้นหน้าไปพลางเปิดกล่องไม้ เฉินไฮ่ผิงรีบบอก “พี่ใหญ่นี่เป็นยาบำรุงสตรีหลังคลอดของหมอหลวงเชียวนะขอรับ ข้านำมามอบให้พี่สะใภ้ขอรับ”

เฉินจงกุ้ยพยักหน้า “อ่อ ขอบใจเจ้ามาก”

บ่าวส่งกล่องไม้ให้บ่าวของจวน บ่าวก็รับกล่องไปเก็บ เฉินไฮ่ผิงรีบพูดต่อ “พี่ใหญ่ พวกเรามาเยี่ยมพี่สะใภ้ พวกเราอยากเห็นหลาน ขอพวกเราดูหลานสักหน่อยเถอะขอรับ หน้าตาคงน่ารักน่าเอ็นดู”

“ใช่ๆ พวกเราอยากเห็นหลานมากขอรับ ว่าแต่เป็นชายหรือหญิงขอรับ? ข้าว่าคงเป็นหลานชายแน่นอน” เฉินเหวินเคอรีบพูดอีกแรง

“เป็นชาย ข้าตั้งชื่อให้เขาว่า เฉินมู่อิ๋ง เอาล่ะพวกเจ้าอยากเห็นหลานก็ตามข้าไปเถอะ แต่อย่าได้อยู่นานนัก พี่สะใภ้เจ้ายังไม่แข็งแรงดี”

เฉินจงกุ้ยบอกแล้วเดินนำไป เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอรีบเดินตามไป ทั้งสองมองกันไปมองกันมา เดินตามพี่ใหญ่เข้าไปด้านใน

เมื่อไปถึงเรือนนอน เฉินจงกุ้ยก็เดินนำเข้าไป เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอรีบกุมมือให้พี่สะใภ้ “พี่สะใภ้ ข้ามาเยี่ยม”

“พี่สะใภ้ ขอข้าดูหลานหน่อยเถอะขอรับ คงจะน่ารักน่าเอ็นดูมากทีเดียว” เฉินไฮ่ผิงพูดอย่างประจบเอาใจ แต่ในใจนั้นอยากอาเจียนเพราะคำพูดของตัวเองยิ่งนัก หึ! น่ารักกับผีซิ

“พวกเจ้าอยากดูก็เข้ามาดูซิ เขาหลับอยู่” เฉินม่านอิ๋งบอกน้ำเสียงราบเรียบ เฉินไฮ่ผิงเดินเข้าไปดูหน้าตาหลานทันที เฉินเหวินเคอก็รีบตามไป พวกเขามองดูหลานชายตัวน้อยที่เป็นดั่งหอกข้างแคร่ ซ่อนแววตาจงเกลียดจงชังเอาไว้มิดชิด ยิ้มแย้มหน้าบานชมว่า “โอ ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง”

“โอ น่ารักมาก โตขึ้นมาต้องหล่อเหมือนพี่ใหญ่แน่นอน” เฉินเหวินเคอพูดเยินยอ ยื่นมือไป “พี่สะใภ้ขอข้าอุ้มเขาหน่อยได้ไหมขอรับ?”

เขามองพี่สะใภ้อย่างอ้อนวอนราวกับคนเห่อหลาน เฉินไฮ่ผิงรีบเสริม “ใช่ๆ ขออุ้มนิดเดียวก็ยังดี หลานข้าน่าเอ็นดูเหลือเกิน น่าเอ็นดูยิ่งกว่าเจ้าใหญ่อีก”

เฉินม่านอิ๋งไม่อยากให้อุ้มแต่เห็นท่าทางพวกเขาเห่อหลานจริงๆ นางจึงพยักหน้า “ก็ได้ แต่ต้องระวังอย่าให้เขาตื่นล่ะ”

“อื้มๆ รับรองไม่ตื่นๆ ข้าเคยอุ้มเจ้าใหญ่เป็นประจำ รับรองว่ามือเบายิ่งกว่าแม่นมเสียอีก” เฉินไฮ่ผิงรีบพูด พลางยื่นมือไปอุ้มหลานมา ปากก็ชมว่า “โอ น่ารักเหลือเกิน โตขึ้นมาต้องหล่อกว่าเจ้าใหญ่แน่นอน แต่ดูเหมือนจะผอมกว่าเจ้าใหญ่ของข้าอยู่นา”

“ไหนๆ ขอข้าอุ้มหน่อย” เฉินเหวินเคอขยับไปหา เฉินไฮ่ผิงดุเสียงเบา “อย่าๆ เจ้าไม่เคยมีลูก ไม่เคยอุ้มเด็ก เจ้าไม่ต้องอุ้มหรอก ดูอย่างเดียวน่ะดีแล้ว”

“พี่รองน่ะ” เฉินเหวินเคอทำหน้างอน “ข้าไม่อุ้มก็ได้ ไหนๆ ดูซิ พี่รอง หลานคนนี้ข้าว่าน่ารักกว่าเจ้าใหญ่ของพี่อีกนา”

“อืม” เฉินไฮ่ผิงพยักหน้าเห็นด้วย เฉินเหวินเคอก็อาศัยจังหวะปลอดแอบป้อนยาพิษใส่ปากหลานทันที เมื่อป้อนยาเสร็จเขาก็ชมกลบเกลื่อน “ช่างน่ารักจนข้าอยากมีลูกเลย”

“เจ้าอยากมีลูกก็ต้องขยันทุกวันซิ” เฉินไฮ่ผิงพูดราวกับเป็นผู้ชำนาญการอย่างไรอย่างนั้น เฉินเหวินเคอบ่นกระปอดกระแปด “จะไปมีเวลาทุกวันได้อย่างไรเล่าพี่รอง งานข้าบางวันก็เยอะจนข้าต้องอยู่ค้างที่กองด้วยซ้ำ”

เฉินมู่อิ๋งค่อยๆ ตื่นขึ้นพร้อมกับเบะปากร้องไห้ “แว๊!—”

“โอ้ ตื่นแล้วๆ สงสัยจะหิวนมแล้วกระมัง” เฉินไฮ่ผิงรีบส่งหลานคืนให้พี่สะใภ้ทันที เฉินม่านอิ๋งรับลูกมา เฉินไฮ่ผิงรีบพูด “เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่อยู่รบกวนพี่สะใภ้แล้ว วันหน้าพวกข้าจะมาเยี่ยมใหม่นะขอรับ”

“อืม” เฉินม่านอิ๋งพยักหน้ารับทีหนึ่ง เฉินไฮ่ผิงก็จับมือน้องชายเดินออกไป เฉินจงกุ้ยเดินตามไปส่ง เมื่อน้องสามีไปแล้วเฉินม่านอิ๋งจึงป้อนนมให้ลูกกินทันที เฉินมู่อิ๋งดูดนมกินอย่างไร้เดียงสา ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกอาทั้งสองวางยาพิษเสียแล้ว เฉินม่านอิ๋งก้มมองลูกอย่างรักใคร่ จนกระทั่งลูกกินอิ่มแล้วนางจึงอุ้มลูกพาดบ่า เฉินมู่อิ๋งเรอทีหนึ่ง “เอิ้ก”

แล้วก็หลับคาบ่าท่านแม่ เฉินม่านอิ๋งรอจนแน่ใจว่าลูกหลับไปแล้วจึงอุ้มลูกลงนอน สาวใช้ก็จัดแจงเอาผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดเต้านมฮูหยิน “ฮูหยินเจ้าคะ เช็ดก่อนเจ้าค่ะ”

“อืม” เฉินม่านอิ๋งมองดูสาวใช้ทำความสะอาดเสร็จแล้วนางปิดเสื้อแล้วก็นอนลงข้างๆ ลูก สาวใช้ถอยไปนั่งรอรับใช้ เฉินม่านอิ๋งก็หลับไปอย่างเพลียๆ สาวใช้คอยดูแลอยู่ข้างๆ

เฉินจงกุ้ยกลับเข้ามาในห้องอีกทีจึงเห็นว่าฮูหยินหลับไปแล้ว เขาจึงเดินไปนอนที่เตียงอีกหลังซึ่งเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนฮูหยินจะคลอดแล้ว เตียงหลังเดิมนั้นใหญ่พอสำหรับคน 4 คน แต่เขากลัวว่าตัวเองจะนอนดิ้นจนเผลอไปทับลูก เขาจึงได้ให้บ่าวยกเตียงอีกหลังมาตั้งในห้อง

เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอกลับไปอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง พิษนั้นออกฤทธิ์ช้าๆ ทั้งไร้สีไร้กลิ่น ยากที่หมอคนไหนจะตรวจพบ รออีกสักเดือนเจ้าเด็กหอกข้างแคร่นั่นก็จะตายไป หึๆๆๆ หากพี่สะใภ้ได้รับพิษตกตายไปด้วยก็ยิ่งดี ย่อมเท่ากับยิงธนูได้นกสองตัว แต่หากตายเฉพาะเด็กก็ไม่เป็นไร ไว้ค่อยหาโอกาสฆ่าพี่สะใภ้วันหน้าก็ได้

วันรุ่งขึ้น เฉินจงกุ้ยก็ไปทำงานตามปกติ เหล่าขุนนางที่รู้ข่าวก็พากันแสดงความยินดีด้วย “โอ ยินดีด้วยๆ ที่ท่านเสนาบดีเฉินได้ลูกชาย”

“โอ จัดฉลองเดือนเมื่อไหร่ ท่านอย่าลืมเชิญข้านะขอรับ”

“อา ท่านเสนาบดีเฉิน ข้าได้ข่าวว่าฮูหยินเฉินคลอดลูกแล้ว ยินดีด้วยๆ ขอให้สุขภาพแข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูกขอรับ”

ฯลฯ ผู้คนพากันแสดงความยินดีกับเสนาบดีเฉินกันถ้วนหน้า แม้แต่ฝ่ายตรงข้ามก็แสดงความยินดีด้วย “ท่านเสนาบดีเฉิน ได้ข่าวว่าฮูหยินท่านคลอดลูกแล้ว ข้าหวังว่าลูกท่านจะแข็งแรงนะ แต่เด็กเล็กๆ ต้องระวังให้มากเชียว เจ็บไข้ได้ป่วยนิดหน่อยก็จะตายเสียก่อน”

เฉินจงกุ้ยหน้าตึง เขาฟังคำกระทบกระเทียบนั้นออก เขาข่มใจเอาไว้ตอบอย่างนิ่มๆ ว่า “ขอบคุณท่านเสนาไฉ (财) ที่เป็นห่วง ลูกข้าย่อมแข็งแรงเติบโตสืบสกุลเฉินต่อไปอีกนานแสนนานแน่นอน”

ไฉฟู่ (财富) เสนาบดีฝ่ายขวาหน้ากระตุกสองที เขายังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงทหารตะโกนว่า “ฮ่องเต้เสด็จ—”

ฮ่องเต้เสด็จมาถึงก็นั่งบนบัลลังก์มังกร เหล่าขุนนางก็คุกเข่าคารวะ “ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

“ลุกขึ้น” ฮ่องเต้สั่ง เหล่าขุนนางก็ลุกขึ้นยืน ฮ่องเต้มองเสนาบดีเฉินแล้วพูดว่า “ได้ข่าวว่าฮูหยินเฉินคลอดลูกแล้ว เป็นชายหรือหญิง?”

คำถามนี้ทำให้เหล่าขุนนางตื่นตัวทันที เพราะพวกเขาจำได้ว่าฮ่องเต้เคยพูดว่า ถ้าเสนาบดีเฉินมีลูกสาวจะให้แต่งกับองค์ชายเก้า พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าข่าวที่เสนาบดีเฉินได้ลูกชายเป็นความจริงกี่ส่วน ดังนั้นพวกเขาจึงหูผึ่งรอฟังกันเลยทีเดียว ชายหรือว่าหญิง?

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งที่ฝ่าบาททรงสนใจบุตรของกระหม่อม เป็นชายพะย่ะค่ะ บุตรของกระหม่อมเป็นชายพะย่ะค่ะ” เฉินจงกุ้ยตอบอย่างฉะฉาน ฮ่องเต้มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย พริบตาเดียวก็กลับคืนสู่ปกติ “เป็นชายก็ดี ข้าหวังว่าเขาจะเติบโตแข็งแรงและเฉลียวฉลาดเป็นกำลังให้บ้านเมืองอีกแรงหนึ่งในอนาคต”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตาบุตรกระหม่อม” เฉินจงกุ้ยคุกเข่าลงคารวะ 3 ครั้ง ฮ่องเต้โบกมือ เฉินจงกุ้ยจึงลุกขึ้นมายืน ฮ่องเต้เบนสายตาไปมองขุนนางคนอื่นๆ ถามว่า “ว่าแต่วันนี้มีอะไรที่ต้องรีบทำก็ว่ามา”

“มีเรื่อง………” รองแม่ทัพพูดขึ้นมา เหล่าขุนนางจึงตั้งใจทำงาน ฮ่องเต้ก็ฟังขุนนางรายงานเรื่องราวต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดฎีกาของวันนี้ฮ่องเต้จึงเสด็จกลับไป เหล่าขุนนางก็แยกย้ายกันไป บรรดาขุนนางฝ่ายเดียวกับเสนาบดีเฉินก็พากันล้อมหน้าล้อมหลังเสนาบดีเฉินพูดคุยแสดงความยินดีหน้าตายิ้มแย้มชื่นบาน

ไฉฟู่เดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ก็นับว่าดีที่เด็กนั่นเป็นชาย หากมันเป็นหญิงคงได้หมั้นหมายกับองค์ชายเก้าไปแล้ว องค์ชายเก้าเป็นน้องชายแม่เดียวกันกับองค์ชายใหญ่ ซึ่งก็คือฮองเฮาคนปัจจุบัน หากเสนาบดีเฉินได้เกี่ยวดองกับราชวงศ์ อำนาจของเสนาบดีเฉินย่อมมากขึ้นอีก หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมไม่ส่งผลดีอะไรกับเขาเลย เด็กนั่นเป็นชายก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นหน่อย หึๆๆๆ

วันคืนผ่านไปอย่างสงบ เหล่าผู้คนที่มีสัมพันธ์อันดีกับเสนาบดีเฉินก็พากันส่งของขวัญไปแสดงความยินดีกับท่านเสนาบดีเฉิน จนล่วงเลยไปถึง 10 วัน จึงไม่ค่อยมีใครมาส่งของขวัญแล้ว หากมีมาย่อมมาจากต่างเมืองซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญ

พ่อบ้านเหลียงอี้ฟาน (梁懿帆) พ่อบ้านของจวนตระกูลเฉิน ก็จัดแจงคัดแยกและจดบันทึกของขวัญต่างๆ ที่ได้รับมาในช่วงนี้เอาไปเก็บรักษาไว้อย่างดี ส่วนของที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นั้นถูกนำไปเก็บไว้ในห้องเก็บสมบัติที่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ก็ของที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ต้องเก็บรักษาอย่างดี ไม่อาจสูญหายได้ หากทำหายไปอาจจะถูกคนยุแยงว่าหมิ่นพระเกียรติของฮ่องเต้เอาได้ หากฮ่องเต้เอาเรื่องเอาความผิดขึ้นมาผู้คนในจวนคงหัวหลุดจากบ่ากันหมดแน่

พ่อบ้านเหลียงคนนี้เฉินจงกุ้ยไว้ใจมากราวกับเป็นแขนขาของตัวเอง เขาเคยช่วยเหลือพ่อบ้านเหลียงไว้มาก พ่อบ้านเหลียงจึงจงรักภักดีต่อนายท่านยิ่งชีวิตเลยทีเดียว

วันคืนผ่านไปอีก 15 วัน เฉินมู่อิ๋งก็ร้องไห้โยเย ไม่ยอมกินนม เฉินม่านอิ๋งร้อนใจมาก นางให้บ่าวรีบไปตามท่านหมอติงมาทันที ติงเฟิ่งเหล่ยก็รีบไปดูอาการ เขาตรวจอยู่พักใหญ่แล้วบอกฮูหยินว่า “ตัวร้อนนิดหน่อย เลยทำให้งอแงขอรับ ข้าจะให้ยาลดไข้ ยาขมจนคุณชายน้อยอาจจะไม่ยอมกิน แต่ก็ต้องบังคับป้อนนะขอรับ”

“อ่อ ขอบคุณท่านมาก” เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า ติงเฟิ่งเหล่ยก็รีบให้บ่าวเอายาไปต้ม “เจ้ารีบไปต้มยามาเร็ว ใช้น้ำ 1 ถ้วย ต้มไฟอ่อนๆ จนเหลือครึ่งถ้วย”

“ขอรับ” บ่าวของติงเฟิ่งเหล่ยรับเทียบยาไปแล้วเดินไปที่ห้องครัวทันที เขามาที่นี่กับนายท่านบ่อยๆ จนคุ้นเคยลู่ทางในจวนเป็นอย่างดี

“เชิญท่านหมอนั่งก่อนเถิด” เฉินม่านอิ๋งเชิญอย่างมีน้ำใจ ติงเฟิ่งเหล่ยพยักหน้า “ขอบคุณฮูหยินขอรับ”

“ข้าต้องขอบคุณท่านมากกว่าที่ท่านรีบมา” เฉินม่านอิ๋งพูดพลางรินน้ำชาให้ติงเฟิ่งเหล่ยด้วยตัวเอง ติงเฟิ่งเหล่ยซาบซึ้งใจมาก “ขอบคุณฮูหยินขอรับ”

เขาชื่นชมฮูหยินเฉินตรงที่นางเป็นคนมีน้ำใจอีกทั้งจิตใจดีงาม ถึงนางจะไม่ค่อยแข็งแรงแต่เป็นฮูหยินจวนเสนาบดีเฉินก็ไม่จำเป็นต้องสู้งานหนักนี่นา แค่นางคอยชี้นิ้วสั่งบ่าวไพร่ก็ได้แล้ว อีกทั้งนางยังมีความงามล่มเมือง ต่อให้นางจะใกล้ตายก็คงมีบุรุษนับร้อยพร้อมยอมรับใช้นางแน่นอน เขาชื่นชมจริงๆ ไม่ได้ชมชอบฉันชู้สาวแม้แต่น้อยนิด เขายกชาขึ้นจิบรอให้บ่าวต้มยามาให้

เฉินม่านอิ๋งก็ดูลูกอย่างร้อนใจ ลูกร้องไห้โยเยไม่ยอมกินนมกินน้ำ สามีก็ไปทำงานยังไม่กลับ นางจึงร้อนใจอยู่คนเดียว หากสามีอยู่ด้วยนางคงไม่ร้อนใจถึงเพียงนี้หรอก ติงเฟิ่งเหล่ยก็ปลอบใจว่า “ฮูหยินเฉิน เดี๋ยวยาก็มาแล้วขอรับ”

เฉินม่านอิ๋งมองติงเฟิ่งเหล่ยทีหนึ่งแล้วหันไปมองลูกอย่างร้อนใจ เฉินมู่อิ๋งร้องไห้โยเยตลอดเวลา ร้องมาได้สัก 2 ชั่วโมงแล้วร้องจนเสียงแหบแห้งก็ยังร้องไม่หยุด สะอึกสะอื้นจนผู้คนร้อนใจจะตายแล้ว

“ยามาแล้วขอรับ” บ่าวรีบถือยาไปให้เจ้านาย ติงเฟิ่งเหล่ยรับถ้วยยาไปตรวจดู เขาตักยาชิมก่อน ไม่พบอะไรผิดปกติจึงถือถ้วยยาไปหาคุณชายน้อย “ฮูหยินเฉินท่านช่วยจับคุณชายน้อยดีๆ นะขอรับ ข้าจะป้อนยาให้เขาเอง”

“ได้” เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า จับลูกบีบปาก ติงเฟิ่งเหล่ยก็รีบป้อนยาไป 1 ช้อน เฉินมู่อิ๋งรู้สึกขมจึงบ้วนยาทิ้งทันที เฉินม่านอิ๋งดุลูก “บ้วนยาไม่ได้นะ เจ้าต้องกินจะได้หายไข้”

ติงเฟิ่งเหล่ยก็ป้อนยาอีก เฉินมู่อิ๋งก็บ้วนยาออกมา ยิ่งร้องไห้โยเยยิ่งกว่าเดิม เฉินม่านอิ๋งร้อนใจจะตายแล้ว “ท่านหมอ จะทำอย่างไรดี?”

“ต้องป้อนไปเรื่อยๆ ขอรับ บ้วนทิ้งก็ช่างขอรับ อย่างน้อยกินเข้าไปบ้างก็ยังดีขอรับ คุณชายน้อยยังเด็กจึงไม่อาจบอกกล่าวหรือบังคับกรอกได้ ไม่เช่นนั้นจะสำลักจนอาการอาจจะแย่กว่านี้” ติงเฟิ่งเหล่ยบอกแล้วป้อนยาอีก เฉินมู่อิ๋งก็บ้วนทิ้งอีก มียาส่วนน้อยนิดที่ไหลลงคอไป สาวใช้เห็นว่าอาภรณ์ฮูหยินเปรอะเปื้อนจึงอาสาทำแทน “ฮูหยินเจ้าคะ ให้ข้าน้อยอุ้มคุณชายน้อยเถอะเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไป ข้าทำเอง” เฉินม่านอิ๋งบอกไม่ยอมให้สาวใช้ทำแทน เพราะกลัวว่าสาวใช้จะบีบปากลูกแรงเกินไปจนลูกเจ็บ แค่อาภรณ์เปื้อนก็ถอดเปลี่ยนใหม่ได้ แต่ถ้าลูกเจ็บจนแก้มช้ำนางคงปวดใจยิ่งกว่า สาวใช้จึงหดมือกลับไป นางก็เป็นห่วงคุณชายน้อยเช่นกัน

ติงเฟิ่งเหล่ยก็ป้อนยาไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าคุณชายน้อยบ้วนทิ้ง 3 ส่วนกินไป 1 ส่วน อย่างน้อยยังกินลงไปบ้างก็ยังดี เมื่อป้อนยาเสร็จแล้ว เขาก็บอกว่า “เช่นนั้นข้าน้อยออกไปก่อน ฮูหยินจะได้เปลี่ยนอาภรณ์ อ่อ ท่านให้คนจัดห้องให้ข้าด้วยขอรับ ข้าจะอยู่จนกว่าคุณชายน้อยจะอาการดีขึ้นขอรับ”

“โอ ขอบคุณท่านมาก” เฉินม่านอิ๋งดีใจมาก นางหันไปสั่งสาวใช้ทันที “เจ้าไปจัดห้องที่เรือนข้างๆ ให้ท่านหมอนะ”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วเดินออกไป ติงเฟิ่งเหล่ยจึงบอกว่า “เดี๋ยวข้าไปต้มยาไว้อีกดีกว่า คุณชายน้อยคงต้องกินยาอีกหลายครั้งขอรับ”

“เชิญท่านหมอเถอะ” เฉินม่านอิ๋งบอก ติงเฟิ่งเหล่ยเดินออกไป บ่าวของเขาก็ตามออกไปด้วย เฉินม่านอิ๋งก็จัดแจงเปลี่ยนอาภรณ์ให้ลูกแล้วก็เปลี่ยนอาภรณ์ตัวเอง สาวใช้ก็เก็บอาภรณ์ออกไปซัก

เฉินจงกุ้ยกลับมารู้ว่าลูกไม่สบายก็รีบไปดูทันที เขาเห็นลูกร้องไห้โยเยก็ร้อนใจมาก “หมอๆ ตามหมอมาเร็ว”

“ข้าตามแล้ว ท่านหมอติงไปต้มยาอยู่เจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งบอก เฉินจงกุ้ยจึงคลายความร้อนใจลงไปนิดหนึ่ง แต่เห็นลูกป่วยเช่นนี้ทำเขาปวดใจมาก หากสามารถเป็นแทนลูกได้เขาคงเป็นแทนไปแล้ว

ติงเฟิ่งเหล่ยก็อยู่รักษาคุณชายน้อย เขาแปลกใจมากที่อาการคุณชายน้อยไม่ดีขึ้นเลย ทั้งๆ ที่ป้อนยาไปแล้วไข้ก็ควรจะลดลงซิ แต่นี่คุณชายน้อยยังเป็นไข้อยู่เลย อีกทั้งเอาแต่ร้องไห้โยเยตลอดเวลา เขาจึงตรวจอีกครั้ง แต่ตรวจอย่างไรก็ไม่พบอาการผิดปกติอะไรเลย เขาลองตรวจพิษก็ไม่พบว่าถูกพิษ เขาตรวจท้องคุณชายน้อยก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ร่างกายคุณชายน้อยปกติดีทุกอย่าง เหตุใดจึงยังไม่ดีขึ้นล่ะ?

เขาตรวจอาการพลางคิดจนหัวโตแล้วแต่ก็ยังไม่อาจรักษาคุณชายน้อยให้ดีขึ้นได้เลย เฉินจงกุ้ยก็คอยถามตลอด “ท่านหมอ เหตุใดลูกข้าจึงยังร้องไห้อยู่ล่ะ?”

วะ! ข้าจะไปรู้รึ! ติงเฟิ่งเหล่ยสบถในใจ ปากก็ตอบว่า “ข้ากำลังรักษาอยู่”

เฉินม่านอิ๋งฟังน้ำเสียงกัดฟันพูดของท่านหมอออกจึงยื่นมือไปสะกิดแขนสามี “ท่านพี่ ท่านหมอกำลังพยายามอยู่เจ้าค่ะ”

“แต่ลูกเรา…” เฉินจงกุ้ยหยุดพูดไปเมื่อเห็นฮูหยินส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้พูดอะไรอีก เขาจึงไม่พูดอะไร ได้แต่มองดูลูกที่ร้องไห้โยเยจนหัวใจเจ็บปวดไปหมดแล้ว “ลูกข้า”

ติงเฟิ่งเหล่ยก็ตรวจคุณชายน้อยตรวจแล้วตรวจอีก ตรวจจนแทบอยากจะผ่าท้องควักไส้ออกมาดูแล้ว! โว๊ย!

เฉินมู่อิ๋งก็ร้องจนไม่มีเสียงแล้ว สีหน้าทุกข์ทรมานจนผู้คนเห็นแล้วเจ็บปวดหัวใจกันไปหมด

ติงเฟิ่งเหล่ยพยายามรักษาคุณชายน้อยสุดความสามารถยิ่งนัก แต่คุณชายน้อยไข้ก็ไม่ลดลงเลย กลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม จนรู้สึกเลยว่าตัวร้อนมากกว่าเมื่อตอนสายเสียอีกเขาพยายามป้อนยาให้คุณชายน้อยเรื่อยๆ เฉินม่านอิ๋งก็อุ้มลูกบีบปากให้กินยาอย่างเจ็บปวดหัวใจมาก นางน้ำตาไหลเป็นสายแล้ว ติงเฟิ่งเหล่ยเจ็บปวดหัวใจจนแทบอยากร้องไห้ตาม เขากัดปลายลิ้นข่มความรู้สึกตัวเองให้เข้มแข็ง พูดปลอบใจว่า “คุณชายน้อยจะต้องหายขอรับ”

ณ จวนเฉินเหวินเคอ บ่าวจวนเสนาบดีเฉินที่เขาซื้อตัวไว้ก็มารายงานว่า “ตอนนี้คุณชายน้อยกำลังป่วยขอรับ ฮูหยินร้อนใจมากขอรับ”

“ดีๆ” เฉินเหวินเคอหยิบเงินให้บ่าวคนนั้นไป บ่าวก็รีบจากไปเพราะหากหายไปนานพ่อบ้านเหลียงย่อมสงสัยแน่ เขาเก็บเงินซ่อนเอาไว้มิดชิดแล้วก็รีบกลับจวนไปสืบความเคลื่อนไหวต่อ เฉินเหวินเคอนั่งยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่อง “หึๆๆๆ อีกไม่นานเจ้าเด็กนั่นก็จะตายแล้ว”

“ใครจะตายหรือเจ้าคะ?” ฮูหยินห้าถาม นางได้ยินสามีพูดแว่วๆ เฉินเหวินเคอลุกพรวดไปตบโคร้ม!

“ว๊าย!” ฮูหยินห้าล้มลงไป นางตกใจจนร้องไห้ออกมา “ฮือๆ ท่านพี่ตบข้าทำไมเจ้าคะ?”

Chapter 3

ไพลินวิญญาณ!

“ถ้าเจ้าสอดรู้อีกข้าไม่เพียงแค่ตบแต่จะฆ่าเจ้าด้วย!” เฉินเหวินเคอขู่เสียงเหี้ยมโหด ฮูหยินห้าตะลึงงัน นางนั่งกุมแก้มอย่างหวาดกลัว “อึกๆ ท่านพี่”

เฉินเหวินเคอมองฮูหยินห้าแล้วก็ดึงนางขึ้นมา จับศีรษะนางกดกับกลางหว่างขา สั่งว่า “อม”

ฮูหยินห้าไม่กล้าปากมาก นางรีบแหวกชายเสื้อแก้กางเกงสามีแล้วอมองคชาติของเขา บ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้นล้วนรีบออกไปจากห้องโถงราวกับถูกแส้ไล่หวดทันที พวกเขาย่อมไม่อยากถูกเฆี่ยนจริงๆ หรอกนะ นายท่านจะเสพสุขกับฮูหยิน พวกเขาจะอยู่ชมดูให้ถูกควักลูกตาหรือล่ะ? ไม่กล้า! พวกเขายังรักตัวกลัวตาย ไหนเลยจะกล้าชมดู หลังจากนั้นบ่าวไพร่ก็ได้ยินเสียงครางของนายท่านดังแว่วออกมา

ณ จวนเฉินไฮ่ผิง เฉินไฮ่ผิงก็ได้รับรายงานว่าเฉินมู่อิ๋งป่วยเช่นกัน เขาหัวเราะสุขใจยิ่ง “ฮ่าๆๆๆ อีกไม่นานมันก็จะตายแล้ว”

บ่าวไพร่ล้วนเก็บปากสงบคำ ได้แต่มองดูนายท่านหัวเราะอย่างมีความสุข พวกเขารู้ว่านายท่านไม่ชอบครอบครัวของพี่ชายทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีเฉิน ฮูหยินเฉิน หรือแม้กระทั่งหลานชายที่เพิ่งจะคลอดได้ไม่นาน แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่านายท่านจะดีอกดีใจถึงขนาดนี้

ณ จวนเสนาบดีเฉิน เฉินจงกุ้ยทุกข์ใจอย่างยิ่ง ลูกเพิ่งจะเกิดมาได้ยังไม่ทันถึงเดือนเลย กลับป่วยหนักจนแม้แต่แรงจะร้องไห้ยังไม่มีเสียแล้ว นี่เป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสของคนเป็นพ่อเป็นแม่โดยแท้ หากเจ็บป่วยแทนได้พวกเขาก็คงยอมเจ็บป่วยแทนลูกไปแล้ว

“ฮูหยินเฉิน ข้าต้มยามาใหม่แล้วขอรับ” ติงเฟิ่งเหล่ยถือถ้วยยาซึ่งไม่ร้อนแล้วเดินเข้าไป เฉินม่านอิ๋งรีบประคองลูกพิงตัก จับเขาอ้าปาก ติงเฟิ่งเหล่ยก็ป้อนยาให้คุณชายน้อยซึ่งหมดแรงไปแล้ว อาการของคุณชายน้อยนับว่าอาการหนักแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดคุณชายน้อยจึงอาการหนักถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะป้อนยาตำรับไหนเข้าไปก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย แม้แต่นมมารดายังไม่ดูดเลย ยังไม่ถึง 1 วันอาการก็หนักหนาถึงเพียงนี้เสียแล้ว!

“คุณชายน้อยต้องหายนะขอรับ” เขาพูดออกไปอย่างทุกข์ใจ ไม่รู้ว่าพยายามปลอบใจตัวเองหรือว่าปลอบใจฮูหยินกับท่านเสนาบดีกันแน่ เฉินจงกุ้ยกำมือแน่น เขากำจนเล็บจิกเนื้อเลือดไหลซึมเลยทีเดียว ยามนี้เขากลัวเหลือเกินว่าลูกจะตาย เขากลัวจริงๆ กลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมา แต่เขาก็อดทนเอาไว้เพราะถ้าเขาไม่เข้มแข็งฮูหยินก็จะยิ่งใจเสียมากขึ้น

ไป๋อู่ฉาง นั่งอยู่ข้างเตียง เขาเป็นยมทูตที่คอยนำวิญญาณไปยังยมโลก ไม่มีใครมองเห็นเขาสักคน เขามีหน้าที่มานำวิญญาณของเฉินมู่อิ๋งไปยังยมโลกเพราะทารกน้อยคนนี้กำลังจะสิ้นอายุขัยในอีกไม่นานแล้ว พิษแพร่ไปทั่วร่างแล้ว แต่พิษชนิดนี้หมอทั่วไปย่อมตรวจไม่พบ ดังนั้นทารกน้อยมีแต่หนทางตายรออยู่เท่านั้น

เฉินมู่อิ๋งเห็นคนชุดขาวนั่งอยู่บนเตียงจึงมองดูแต่คนชุดขาวที่มีใบหน้างามกว่าท่านแม่เสียอีก เขาเป็นเด็กทารกจึงไม่รู้หรอกว่าความงามชนิดนี้คืองามราวเทพเซียน เขารู้แต่ว่าคนชุดขาวๆ คนนั้นน่ามองยิ่งนัก เขาอยากไปจับคนๆ นั้นอย่างไร้เดียงสา แต่มือของเขาก็ไม่มีแรงแล้ว เขามองแต่คนชุดขาวตาไม่กะพริบ

ไป๋อู่ฉางเห็นทารกน้อยมองมาที่ตัวเอง เขาจึงรู้ว่าทารกน้อยมองเห็นเขา เด็กส่วนใหญ่จะมีสัมผัสพิเศษสามารถมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าภูตผีวิญญาณได้ ตัวเขาก็จัดอยู่ในประเภทภูตผี ดังนั้นเด็กทารกหรือเด็กเล็กๆ ก็มักจะมองเห็นเขาได้ เขาบอกทารกน้อย “ทนอีกนิดเถอะ อีกไม่นานเจ้าก็จะไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว”

เฉินมู่อิ๋งพยายามขยับปาก แต่เขาไม่มีแรงเลย เขาเจ็บไปหมดทั้งตัว เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกเจ็บนี้จะบรรยายอย่างไรดี เขายังเป็นแค่ทารกไร้เดียงสา ไม่มีความรู้ใดๆ มีแต่สัญชาตญาณในการดื่ม กิน ขับถ่าย นอนหลับ เท่านั้น

ติงเฟิ่งเหล่ยก็พยายามรักษาคุณชายน้อยสุดฝีมือ แต่อาการคุณชายน้อยก็ทรุดเร็วมาก ตัวร้อนจัดราวกับจะลวกมือได้ เฉินม่านอิ๋งร้องไห้สงสารลูกแทบขาดใจแล้ว เฉินจงกุ้ยเดินวนไปวนมา เขานั่งไม่ติดเลยทีเดียว คิดๆ หาหนทางรักษาลูกน้อยอย่างสุดความสามารถ

เขาเคยได้ยินว่าที่แคว้นเสิ่นหยางมีหมอเทวดา แต่แคว้นเสิ่นหยางก็ห่างไกลจากที่นี่มากนัก ต่อให้ขี่ม้าเร็วไปยังต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับถึง 1 ปี ส่วนหมอหลวงก็มีความรู้ความสามารถพอๆ กับติงเฟิ่งเหล่ย ยิ่งถ้าจะพูดกันตรงๆ ความรู้ความสามารถของหมอหลวงด้อยกว่าติงเฟิ่งเหล่ยไปแล้วเพราะว่าติงเฟิ่งเหล่ยรักษาคนมามาก เจอคนเจ็บคนป่วยมากกว่าจึงทำให้ฝีมือพัฒนาขึ้นไปมาก

เขารู้เรื่องนี้แต่ก็หุบปากเงียบเอาไว้ หากพูดออกไปก็จะกลายเป็นการสร้างศัตรูโดยใช่เหตุ ยามที่มิตรสหายเจ็บป่วยเขาก็จะแนะนำให้เชิญติงเฟิ่งเหล่ยไปรักษา หากว่าเกินความสามารถของติงเฟิ่งเหล่ยจริงๆ ก็ถือว่าคนๆ นั้นชะตาถึงฆาตแล้ว แต่เมื่อถึงคราวลูกตัวเองป่วยขึ้นมาเขากลับหวังให้มีปาฏิหาริย์ เขาแอบบนบานศาลกล่าวในใจ ขอให้ลูกหายป่วยด้วยเถิด!

เฉินมู่อิ๋งค่อยๆ หมดแรงหลับตาลงไป ร่างกระตุกสองสามทีแล้วก็แน่นิ่งไป ติงเฟิ่งเหล่ยตกตะลึงไปแล้ว เขายื่นนิ้วไปจับชีพจร พบว่าชีพจรไม่เต้นแล้ว เขายืนตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าบอกฮูหยินเฉินว่าคุณชายน้อยสิ้นใจแล้ว เขาตั้งสติดึงมือกลับ กลั้นใจโกหกว่า “คุณชายน้อยหลับ”

เฉินม่านอิ๋งเบาใจ นางอุ้มลูกนอนลง ติงเฟิ่งเหล่ยถอยออกไปจากห้อง เขารีบเดินเร็วๆ ไปทางห้องครัวเข้าไปร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่ บ่าวของเขาเดินตามไป แต่พอเห็นนายท่านร้องไห้ก็ตกตะลึงไป เขาพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงนั่งลงตรงหน้าประตูอย่างเศร้าๆ

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” ไป๋อู่ฉางบอกแล้วใช้เชือกมัดวิญญาณจับวิญญาณทารกน้อยออกจากร่าง แต่วิญญาณกลับไม่ออกมา เขามองอย่างงงๆ “หือ?”

เขาพยายามหลายหน แต่ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม นี่นับเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา เขาพยายามอยู่นานแต่ก็ไม่อาจดึงวิญญาณทารกน้อยออกจากร่างได้ เขาคิดหาหนทาง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกจึงเรียกเฮยอู่ฉาง “เฮยอู่ฉาง—”

เฮยอู่ฉางนั้นเป็นสหายของเขา เป็นยมทูตเช่นกัน แต่วิญญาณที่เฮยอู่ฉางไปรับคือวิญญาณคนชั่ว ส่วนเขาทำหน้าที่รับวิญญาณคนดีมีคุณธรรมกับเด็ก เพราะเด็กส่วนใหญ่มักจะยังไม่มีจิตชั่วร้ายจึงถือว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม

“มีอะไรรึ?” เฮยอู่ฉางปรากฏตัวขึ้น ไป๋อู่ฉางก็รีบบอกทันที “ข้าพยายามจะจับวิญญาณทารกคนนี้แต่กลับจับออกมาไม่ได้”

“เชือกมัดวิญญาณของเจ้ามีปัญหาหรือ?” เฮยอู่ฉางถาม ไป๋อู่ฉางส่ายหน้า “ไม่มีปัญหานะ ก่อนมารับวิญญาณทารกคนนี้ข้าก็เพิ่งจะส่งพระรูปหนึ่งไปยมโลก ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา”

“เช่นนั้นข้าลองใช้เชือกของข้าดูล่ะกัน” เฮยอู่ฉางบอกแล้วก็ใช้เชือกมัดวิญญาณของตัวเองจับวิญญาณทารกน้อย แต่ปรากฏว่าเขาไม่อาจจับวิญญาณทารกน้อยออกมาได้ ทำเขางุนงง “หือ?”

“เชือกเจ้าก็มีปัญหากระมัง?” ไป๋อู่ฉางพูดขึ้นพลางมองเชือกของเฮยอู่ฉาง เฮยอู่ฉางส่ายหน้า “เชือกข้าใช้งานได้ปกติดี หากเจ้าคิดว่าเชือกข้าผิดปกติเช่นนั้นเจ้าก็ตามข้าไปจับวิญญาณสักคนก่อนก็ได้”

“อืม” ไป๋อู่ฉางพยักหน้า จากนั้นสองยมทูตหนึ่งขาวหนึ่งดำก็หายตัวไป ทั้งสองปรากฏตัวอีกครั้ง ณ บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งควรจะเรียกว่ากระท่อมซอมซ่อจะเหมาะกว่า ภายในบ้านมีบุรุษคนหนึ่งถูกดาบเสียบท้อง เลือดสาดเป็นทางตั้งแต่ประตูเข้าไปถึงข้างใน คาดว่าบุรุษผู้นั้นคงกระเสือกกระสน มาจนถึงกระท่อมหลังนี้กระมัง ไม่ทันถึงสองอึดใจบุรุษคนนั้นก็ขาดใจตาย “อ๊อกๆ”

เฮยอู่ฉางก็จับวิญญาณบุรุษชั่วช้าผู้นี้ออกมา บุรุษผู้นี้ยามมีชีวิตอยู่เป็นโจรปล้นฆ่า ไม่ทำอาชีพสุจริต นิสัยเหี้ยมโหดฆ่าไม่เว้นแม้แต่ลูกเล็กเด็กแดง วันนี้ต้องจบชีวิตลงเพราะไปปล้นฆ่ารถม้าของจอมยุทธ์เข้าจึงถูกจอมยุทธ์ผู้นั้นแทงจนอาการสาหัส โจรผู้นี้จึงหนีมาจนถึงกระท่อมซอมซ่อแห่งนี้

“เชือกข้าก็ยังใช้งานได้ดีนี่นา” เฮยอู่ฉางพูดพลางมองเชือกมัดวิญญาณที่ยังคงทำงานได้ดี ไป๋อู่ฉางขมวดคิ้ว “เช่นนั้นข้าคงต้องลองหาคนอื่นทดสอบเชือกของข้าก่อน”

“ไปซิๆ ข้าไปกับเจ้าด้วย” เฮยอู่ฉางบอก ไป๋อู่ฉางจึงหายตัวไป เฮยอู่ฉางหายตัวตามไป ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง

บ้านหลังนี้เป็นบ้านของเศรษฐีใจบุญผู้หนึ่ง เจ้าของบ้านกำลังจะสิ้นอายุขัย ไป๋อู่ฉางต้องมารับวิญญาณไปส่งยมโลก แต่เพราะเขาเสียเวลาไปกับทารกน้อยจึงทำให้เกือบมาไม่ทัน ทันทีที่เขามาถึงเศรษฐีใจบุญก็สิ้นใจพอดี เขาจึงใช้เชือกมัดวิญญาณจับวิญญาณเศรษฐีใจบุญออกมาจากร่าง เขามองเชือกของตัวเองที่ยังทำงานได้ดีไม่มีอะไรผิดปกติ “เอ เชือกข้าก็ยังใช้ได้นี่นา”

“หรือว่าเด็กคนนั้นผิดปกติ?” เฮยอู่ฉางคาดเดา ไป๋อู่ฉางครุ่นคิด “นั่นซิ”

“เช่นนั้นพวกเราพาวิญญาณสองคนนี้กลับยมโลกไปก่อนเถอะแล้วรายงานให้ท่านเหยียนหลัวหวาง* ทราบเถอะ” เฮยอู่ฉางบอก ไป๋อู่ฉางพยักหน้า “อืม”

(*เหยียนหลัวหวาง คือพยายมราช)

ทั้งสองพลันหายไปพร้อมกับวิญญาณของคนทั้งสอง หลังจากพวกเขาส่งวิญญาณเสร็จแล้วก็รีบไปเข้าเฝ้าเหยียนหลัวหวาง “นายท่าน”

“พวกเจ้ามีอะไรรึ?” เหยียนหลัวหวางเงยหน้าขึ้นมองไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉาง ไป๋อู่ฉางกุมมือรายงาน “นายท่านขอรับ ข้าไม่อาจนำวิญญาณทารกคนหนึ่งกลับมาได้ขอรับ เฮยอู่ฉางลองใช้เชือกมัดวิญญาณของเขาก็ไม่อาจจับวิญญาณทารกออกมาจากร่างได้เหมือนกันขอรับ”

“หือ?” เหยียนหลัวหวางแปลกใจ เขาลุกขึ้นยืน สั่งว่า “พาข้าไปดูซิ”

“ขอรับ” ไป๋อู่ฉางรับคำสั่งแล้วนำทางไป เฮยอู่ฉางรีบตามไป เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นได้ เหยียนหลัวหวางตามไปทันที ทั้งสามปรากฏตัวขึ้น ณ จวนเสนาบดีเฉิน พวกเขายืนอยู่ข้างเตียงที่ทารกน้อยนอนอยู่ ทารกน้อยนอนอยู่ในอ้อมอกมารดา ผู้เป็นมารดานั้นกำลังหลับ ส่วนผู้เป็นบิดาก็นอนอยู่ใกล้ๆ บ่าวไพร่นั่งสัปหงกอยู่ข้างเตียง

“ที่นี่…” เหยียนหลัวหวางมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “โลกสามพัน ลำดับที่ 2,900!”

“ขอรับ” ไป๋อู่ฉางพยักหน้าหงึกๆ เหยียนหลัวหวางมองอย่างหวาดผวานิดๆ ก็ที่โลกแห่งนี้มีท่านผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นอาศัยอยู่น่ะซิ เกิดต้องไปเจอนางเข้าเขาแทบไม่อยากจะคิดเลย แต่นางอยู่ถึงเสิ่นหยางคงไม่โผล่มาแถวนี้ง่ายๆ กระมัง หรือไม่บางทีนางก็อาจจะอยู่แดนเทพ หรือแดนมารกระมัง คงไม่เจอกันง่ายๆ หรอกน่า

เขาปลอบใจตัวเองในใจ ทำสีหน้าเรียบเฉยข่มความหวาดผวาเอาไว้ในใจ ไป๋อู่ฉางชี้ไป “ทารกคนนั้นขอรับที่ข้าไม่อาจจับวิญญาณออกมาได้”

“อ่อ” เหยียนหลัวหวางพยักหน้า เขายื่นมือไปจับวิญญาณทารกน้อยออกมา แต่ก็จับออกมาไม่ได้ ทำเขางุนงง “หือ?”

ไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉางขมวดคิ้วมองเขม็ง แม้แต่นายท่านก็ยังจับไม่ได้หรือ? นี่!

เหยียนหลัวหวางก้าวไปถึงตัวทารกน้อย เขาอุ้มทารกน้อยขึ้นมาตรวจดู หากมีคนเห็นตอนนี้คงเห็นคุณชายน้อยลอยอยู่กลางอากาศจนต้องเป็นลมไปเลยกระมัง แต่โชคดีที่ทุกคนหลับกันหมด เหยียนหลัวหวางตรวจร่างกายทารกน้อย เขาแกะห่อผ้าออก จับเสื้อผ้าถอดออกจนทารกน้อยตัวเปลือยๆ เขามองดูจนทั่วร่างทารกน้อยแล้วก็เห็นต่างหูไพลินน้ำงามข้างหนึ่งอยู่ที่ติ่งหูทารกน้อย เขามองต่างหูข้างนั้นแล้วเบิกตาโต “ไพลินวิญญาณ!”

“หือ?” ไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉางส่งเสียงฉงนพร้อมกัน พวกเขาไม่รู้จัก ‘ไพลินวิญญาณ’

เหยียนหลัวหวางเห็นลูกน้องทั้งสองมองเขาเป็นตาเดียว จึงอธิบายว่า “ไพลินวิญญาณก็คือไพลินวิญญาณ เป็นของวิเศษของเผ่าวิญญาณ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้วิญญาณ ของวิเศษชนิดนี้จะเลือกเจ้านาย ไม่ใช่ว่าใครก็ครอบครองได้ เมื่อไพลินวิญญาณเลือกเจ้านายแล้วมันจะปกป้องวิญญาณเจ้านายไปจนกว่ามันจะแตกสลาย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราไม่อาจนำวิญญาณออกมาจากร่างได้”

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรขอรับ?” เฮยอู่ฉางถาม เหยียนหลัวหวางคิดหนักทันที ไป๋อู่ฉางถามว่า “หรือว่าพวกเราต้องปล่อยไปเช่นนี้ขอรับ”

“เด็กคนนี้สิ้นอายุขัยแล้ว แต่ไม่อาจนำวิญญาณไปได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจเกิดใหม่ได้น่ะซิ” เหยียนหลัวหวางคิดหนักจนหัวโตแล้ว

“เผ่าวิญญาณอาจช่วยได้นะขอรับ” เฮยอู่ฉางเสนอ เหยียนหลัวหวางส่ายหน้าทันที “เผ่าวิญญาณก็เป็นเหมือนศัตรูของพวกเรา หากพวกเราไปหาพวกมันก็จะถูกพวกมันกินวิญญาณน่ะซิ”

ไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉางปากอ้าตาค้าง พวกเขาไม่รู้เลยว่าเผ่าวิญญาณคือศัตรู ไปหาศัตรูก็คือไปหาที่ตายน่ะซิ! “…”

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีขอรับ?” ไป๋อู่ฉางถาม เหยียนหลัวหวางคิดหนักอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าเหตุใดไพลินวิญญาณจึงได้มาอยู่ที่เด็กคนนี้ได้ อีกทั้งไพลินวิญญาณก็เลือกเจ้านายแล้ว เผ่าวิญญาณนั้นใกล้ชิดกับเผ่ามารบางทีผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นอาจจะพอช่วยเหลือได้กระมัง เห็นทีคงต้องบากหน้าไปขอให้นางช่วยเหลือสักครั้งแล้ว เฮ้อ…

เขาคิดๆ แล้วก็บอกลูกน้องทั้งสองว่า “ข้าจะพาเด็กคนนี้ไปหาแม่นางเฟยเทียน** พวกเจ้าก็ทำให้คนที่นี่อย่าเพิ่งตื่นขึ้นมาก่อนที่ข้าจะกลับมา”

(**เฟยเทียน เป็นตัวละครจากเรื่องหงส์คืนแค้นค่ะ)

“ขอรับ” ไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉางรับคำสั่ง เหยียนหลัวหวางมองเฮยอู่ฉางแล้วสั่งว่า “เจ้าสนิทกับแม่นางเฟยเหยา*** นี่นา เช่นนั้นเจ้าไปกับข้าบางทีแม่นางเฟยเทียนอาจจะไม่ขูดรีดอะไรมากนักก็ได้”

(***เฟยเหยา เป็นตัวละครจากเรื่องหงส์คืนแค้นค่ะ อ่านความสัมพันธ์ของเฮยอู่ฉาง เหยียนหลัวหวาง แม่นางเฟยเทียน แม่นางเฟยเหยา หมอเทวดาได้ในเรื่องหงส์คืนแค้นค่ะ)

“หา!” เฮยอู่ฉางปากอ้าตาค้าง นายท่านจะให้เขาออกหน้างั้นรึ! “…”

“ไป” เหยียนหลัวหวางสั่งแล้วก็หายตัวไปพร้อมกับศพทารกน้อย เฮยอู่ฉางได้แต่ตามไปอย่างกุมขมับ แม่นางเฟยเทียนร้ายกาจขนาดไหนใครๆ ก็รู้ แม่นางเฟยเหยาผู้นั้นก็ร้ายกาจพอๆ กันนั่นแหละ เขายังถูกนางใช้ทำงานตั้งหลายอย่างโดยไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรเลย ฮือๆๆๆ

ณ หุบเขาร้อยพิษ เหยียนหลัวหวางปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับศพทารกน้อย เฮยอู่ฉางปรากฏตัวตามมา เขาเดินไปที่กระท่อมน้อยหลังนั้นซึ่งยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาตะโกนเรียก “แม่นางเฟยเทียน—”

“ท่านแม่ มีคนมาหาขอรับ” เสียงเด็กชายดังออกมาจากในกระท่อม ตามด้วยเสียงสตรี “ใครมารึ?”

“ข้าน้อยเฮยอู่ฉาง” เฮยอู่ฉางร้องบอก ครู่ต่อมาประตูก็เปิดออก ผู้ที่เปิดประตูคือเฟยเหยา “อ่อ เจ้านี่เอง มีอะไรรึ?”

นางมองเลยไปเห็นบุรุษคนหนึ่งกับทารกน้อยลอยอยู่กลางอากาศ เฮยอู่ฉางรีบพูด “แม่นางเฟยเหยา นายท่านข้าท่านเหยียนหลัวหวางมีเรื่องขอให้แม่นางเฟยเทียนช่วยเหลือ”

“ท่านแม่ไม่สะดวกรับแขก มีอะไรก็บอกมาเถอะ” เฟยเหยาบอก เฮยอู่ฉางไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี เขาหันไปมองนายท่าน เหยียนหลัวหวางจึงเดินไปหาแม่นางเฟยเหยา พูดว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าวิญญาณ คงต้องรบกวนแม่นางเฟยเทียนสักครั้ง”

“เผ่าวิญญาณ?” เฟยเหยางุนงง นางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าวิญญาณเลย เป็นเผ่าแบบไหนกัน? เหมือนเผ่ามารของพี่สาวหรือไม่?

“เผ่าวิญญาณ” เสียงเฟยเทียนดังออกมา จากนั้นก็มีเสียงก้าวเดินออกมา อึดใจต่อมาเฟยเทียนก็ยืนอยู่ข้างหลังเฟยเหยา เหยียนหลัวหวางเห็นแม่นางเฟยเทียนก็รีบนำศพทารกน้อยส่งให้แม่นางเฟยเทียนทันที “เขามีไพลินวิญญาณของเผ่าวิญญาณที่ติ่งหู อีกทั้งไพลินวิญญาณก็เลือกเจ้านายแล้ว ข้าไม่อาจนำวิญญาณของเขาออกมาได้ เขาสิ้นอายุขัยแล้วจำต้องนำวิญญาณเขาไปผ่านขั้นตอนการเกิดใหม่ แต่เพราะไพลินวิญญาณทำให้ข้าไม่สามารถนำวิญญาณของเขาออกมาได้ แม่นางเฟยเทียนโปรดช่วยเหลือสักครั้ง ข้ายินดีตอบแทนเจ้าอย่างงามทีเดียว”

“ไหนๆ ข้าดูก่อน” เฟยเทียนอุ้มทารกน้อยมาแล้วพิศดูที่ติ่งหูข้างซ้ายซึ่งมีต่างหูไพลินวิญญาณสวมเอาไว้ เฟยเหยาก็มองอย่างอยากรู้

เด็กชายเดินออกมาอยู่ข้างหลังท่านแม่ เขาจับชายเสื้อท่านแม่กำเอาไว้ ตาก็มองดูยมทูตทั้งสองอย่างอยากรู้อยากเห็น เฮยอู่ฉางนั้นเขาเจอบ่อยแล้ว แต่ยมทูตอีกคนนั้นเขาไม่เคยเห็น นับว่าคนที่มาใหม่หน้าตางดงามกว่าเฮยอู่ฉางเสียอีก เขาจึงจ้องมองยมทูตคนนั้นอย่างไม่ละสายตา เขากระตุกชายเสื้อท่านแม่พูดว่า “เมื่อข้าโตขึ้นข้าจะแต่งพี่สาวคนงามเป็นฮูหยินของข้า”

เฟยเหยาก้มมองหลานชายตัวน้อย มองตามสายตาของเขา พบว่าสายตาของหลานชายจ้องเหยียนหลัวหวางอยู่ นางจึงตะลึงไปสองอึดใจแล้วก้มลงกระซิบกับหลานชายตัวน้อยว่า “นั่นไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นผู้ชาย พี่ชายท่านนั้นไม่ใช่พี่สาว อีกทั้งท่านเหยียนหลัวหวางไม่อาจแต่งงานกับเจ้าได้หรอก”

“หา! พี่ชาย!” เด็กน้อยตกตะลึงปากอ้าตาค้าง เขารู้สึกเหมือนตัวเองปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อแล้ว “…”

เหยียนหลัวหวางหน้ากระตุกยึกๆ เจ้าเด็กนี่คิดจะแต่งเขาเป็นภรรยางั้นรึ! น่าเขกกะโหลกสักสามสี่ทีจริงๆ! ฮึ่ม!

เฟยเหยาอมยิ้มแล้วยืดตัวขึ้น นางลูบๆ ศีรษะหลานชายสองสามทีอย่างเอ็นดู หลานชายของนางยังแยกแยะชายหญิงไม่ออก เห็นคนรูปงามก็คิดว่าเป็นสตรีไว้ก่อน เฟยเทียนยิ้มขำลูกชาย นางรีบออกตัวแทนลูกว่า “เหยียนหลัวหวางคงไม่ถือสากับคำพูดไร้เดียงสาของลูกข้ากระมัง”

“ไม่ถือๆ” เหยียนหลัวหวางพูดอย่างไม่ใส่ใจ จะให้เขาถือสาอะไรกับคำพูดของเด็กเล็กๆ เช่นนั้นล่ะ เขาเป็นผู้ใหญ่พอหรอกนะ

เฟยเทียนเบนสายตากลับมามองดูไพลินวิญญาณ นางส่งพลังมารเข้าไปตรวจร่างกายทารกน้อยแล้วส่ายหน้า “เด็กนี่ถูกพิษหนึ่งจันทราของข้าเข้าไป ข้าสามารถช่วยแก้พิษได้แต่การจะนำวิญญาณออกจากร่างนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำได้ ไพลินวิญญาณเลือกเจ้านายแล้วมันไม่มีทางยอมให้เจ้านายของมันแยกจากร่างนี้ไปได้จนกว่ามันจะแตกสลายไป”

“หมายความว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจแยกวิญญาณจากศพได้หรือ?” เหยียนหลัวหวางถาม เฟยเทียนพยักหน้า “ไม่อาจแยกได้”

เหยียนหลัวหวางคิดหนักทันที หากวิญญาณไม่ไปเกิดใหม่ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้าง เฟยเทียนมองเหยียนหลัวหวางแล้วบอกว่า “เด็กคนนี้ยังไม่ตาย เขาแค่อยู่ในสภาวะเหมือนตายเท่านั้น”

“หา!” เหยียนหลัวหวางกับเฮยอู่ฉางตกใจ พวกเขาเป็นยมทูตจะตรวจสอบผิดได้อย่างไร เด็กคนนี้ตายแล้วแน่นอน!

“ยังไม่ตาย จริงๆ นะ” เฟยเทียนยืนยันแล้วอธิบายว่า “พิษหนึ่งจันทราของข้าจะทำให้คนที่ถูกพิษเสมือนตายไปจริงๆ จะตกอยู่ในสภาพนี้ไป 3 วัน หลังจากนั้นหากยังไม่แก้พิษก็จะตายจริงๆ แล้ว”

“แต่เด็กคนนี้สิ้นอายุขัยแล้วนะ” เหยียนหลัวหวางยืนยัน เฟยเทียนมองจ้อง “แน่ใจหรือว่าอายุขัยของเด็กคนนี้สิ้นไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่ว่าท่านจำผิดคนหรอกนะ หรือทำงานผิดพลาด?”

“ไม่ผิดๆ เด็กคนนี้ชื่อเฉินมู่อิ๋งเป็นบุตรของเสนาบดีเฉินจงกุ้ยกับฮูหยินเฉินม่านอิ๋ง ชะตาของเขามีอายุได้ไม่ถึง 1 เดือนก็ต้องตายเพราะถูกอาของเขาวางยาพิษ” เหยียนหลัวหวางอ่านชะตาชีวิตให้ฟัง เฟยเทียนมองๆ แล้วมองทารกน้อย พูดว่า “แต่ตอนนี้ชะตาของเขาเปลี่ยนไปแล้วเพราะว่าได้เจอกับข้า”

เหยียนหลัวหวางหน้ากระตุกทีหนึ่ง “เพ้ย! พูดมักง่ายเช่นนี้ก็ได้หรือ!”

“มักง่ายอะไร? ต่อให้เขาต้องตายไปจริงๆ เจ้าก็ไม่อาจนำวิญญาณของเขาไปได้ นี่ข้ากำลังช่วยเจ้าแก้ปัญหาอยู่นะ” เฟยเทียนเถียงหน้าตาขึงขัง เหยียนหลัวหวางหน้ากระตุกยึกๆ “ช่วยข้าอะไรเล่า เจ้าคิดจะช่วยเหลือเด็กคนนี้ต่างหาก”

“ข้าจะช่วยแล้วจะทำไม” เฟยเทียนพูดอย่างท้าทาย เหยียนหลัวหวางหน้ากระตุกอีก เขาจะทำอะไรได้ล่ะ นางเป็นถึงธิดาเจ้าแม่ฯ เขาจะไปร้องทุกข์เอาความกับใครได้!

“ข้าคิดผิดจริงๆ ที่มาขอให้เจ้าช่วยเหลือ” เหยียนหลัวหวางสบถอย่างโมโหโทโส

Chapter 4

ผู้เฝ้ามอง

เฟยเทียนยักไหล่ “เจ้าคิดถูกแล้วที่มาให้ข้าช่วยน่ะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? ปล่อยให้เขาตาย? ปล่อยให้วิญญาณติดกับศพไปจนกว่าไพลินวิญญาณจะแตกสลายหรือ? ข้ามีทางช่วยที่ดีกว่านั้นอีก คือช่วยให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างไรล่ะ”

“แต่หากทำเช่นนั้นชะตาชีวิตจะยุ่งเหยิง! กรรมจะพัวพันกันไปพัวพันกันมายากจะแก้ไขได้!” เหยียนหลัวหวางสบถอย่างโมโหยิ่ง เฟยเทียนยักไหล่ “กรรมพัวพันแล้วอย่างไร ข้าก็แค่ต้องแก้ไขกรรมของข้า และกรรมของข้าก็คือเขาถูกพิษของข้า ข้าก็แค่ต้องช่วยแก้พิษให้เขาก่อนจึงจะตัดกรรมที่ต้องเกี่ยวข้องกับเขาออกไป”

“วะ! เจ้าไม่เข้าใจหรือ!? เจ้ากำลังจะทำให้ชะตาชีวิตของเด็กคนนี้บิดเบือนไป” เหยียนหลัวหวางตวาดอย่างโมโห เฟยเทียนตอบแบบกำปั้นทุบดิน “บิดเบือนแล้วอย่างไร? ชะตาชีวิตของคนที่นี่ก็ล้วนอยู่นอกเหนืออำนาจของเทพดวงชะตากันทั้งหมด จะเพิ่มเจ้าเด็กคนนี้มาอีกคนก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลย”

“เจ้า!” เหยียนหลัวหวางโมโหจนแทบอยากจะชักกระบี่ออกมาสู้กับนางแล้ว เฟยเหยาเห็นเหยียนหลัวหวางโมโหมากจึงก้าวไปไกล่เกลี่ย “ท่านใจเย็นๆ ก่อน”

“จะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร! เจ้าดูนางซิ นางคิดแต่จะช่วยเจ้าเด็กคนนี้จนไม่สนใจเลยว่าการกระทำของนางจะทำให้คนอื่นได้รับผลกระทบอย่างไร!” เหยียนหลัวหวางบ่นจนแทบจะพ่นไฟออกมาได้แล้ว เฟยเหยาขยับไปกระซิบว่า “เช่นนั้นคงต้องให้ท่านไปรายงานเจ้าแม่ฯ ดีกว่าเจ้าค่ะ”

เหยียนหลัวหวางพยักหน้ารับหงึกๆ “อืม”

เขากำลังจะขยับตัวหมุนหันหลัง พลัน! ชะงักกึก! หากไปรายงานเจ้าแม่ฯ คาดว่าเจ้าแม่ฯ ย่อมออกหน้าแทนลูกสาวน่ะซิ วะ! เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์นี่!

เขาจ้องนางอย่างโมโห หากนางไม่ใช่ลูกสาวของเทพสงครามกับเทพกระบี่เขาคงฆ่านางไปแล้ว! นางก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ทำให้ชะตาชีวิตยุ่งเหยิง โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ หากเขาแตะต้องธิดาของเทพสงครามคาดว่าเทพสงครามคงตามไปหักขาเขาถึงยมโลกแน่! พวกนางทั้งสองคนก็เหมือนผีเล็กผีน้อยที่มีผู้ยิ่งใหญ่คุ้มหัวนั่นแหละ คนหนึ่งก็ธิดาเจ้าแม่ฯ อีกคนก็ธิดาเทพสงคราม ฮึ่ม!

เฟยเหยาทำหน้าเฉย นางจะปล่อยให้เด็กตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร? หากเด็กคนนี้เป็นลูกของนาง นางย่อมหาทางช่วยสุดกำลังแน่นอน นางก็มีลูกดังนั้นจึงเห็นอกเห็นใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ หากต้องสูญเสียลูกไปพ่อแม่ของเด็กคนนี้คงเสียใจมากแน่นอน

“เอาเลยๆ เจ้าสองคนจะทำอย่างไรข้าก็ไม่รับรู้ด้วยแล้ว!” เหยียนหลัวหวางพูดอย่างโมโหยิ่งนัก เฟยเทียนรอโอกาสอยู่แล้วจึงรีบพูดว่า “เจ้าอนุญาตแล้วนะ”

“วะ! ใครอนุญาต!?” เหยียนหลัวหวางกระทืบพื้นทีหนึ่ง จนพื้นใต้เท้ายุบเป็นหลุม เฟยเทียนลอยหน้าลอยตาพูด “ก็เมื่อกี้เจ้าอนุญาตแล้ว เหยาเอ๋อร์ก็ได้ยินใช่ไหม?”

“เจ้าค่ะ” เฟยเหยาพยักหน้าหงึกๆ เหยียนหลัวหวางยิ่งโมโหจนหน้าแดงหน้าเขียว เขาตกหลุมพรางของสตรีทั้งสองเสียแล้ว! โว๊ย!

เฮยอู่ฉางชมดูเงียบๆ เขาไม่อาจสอดปากอะไรได้ทั้งนั้น ปล่อยให้ท่านผู้ยิ่งใหญ่เถียงกันเองเถอะ เหอๆๆๆ

เฟยเทียนไม่รอช้าเอาโอสถเม็ดหนึ่งใส่ปากทารกน้อยทันที เหยียนหลัวหวางห้ามไม่ทัน “เจ้า!”

“เด็กคนนี้จะฟื้นอีก 20 วัน เพียงเท่านี้กรรมของข้ากับเขาก็สิ้นสุดแล้ว ต่อจากนี้ข้าไม่มีกรรมต่อเขาแล้ว” เฟยเทียนพูดอย่างไม่สนใจท่าทางโมโหของเหยียนหลัวหวาง ต่อให้เขาโมโหจนตายนางก็ไม่สนใจ

นางมองเขาแล้วพูดว่า “ขอบคุณเจ้ามากที่พาเด็กคนนี้มาหาข้า ทำให้ข้าตัดกรรมกับเขาได้เสียแต่เนิ่นๆ”

เหยียนหลัวหวางยิ่งหน้าตาอึมครึม หากกระทืบเท้าชักดิ้นชักงอได้ดั่งเด็กน้อยเขาคงทำไปแล้วกระมัง แง่ง!

เฟยเทียนส่งทารกน้อยคือให้เหยียนหลัวหวาง “พาเด็กกลับไปได้แล้ว ข้าไม่ส่งล่ะ”

นางพูดแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน ลูกชายเดินตามไป เหยียนหลัวหวางมองอย่างโมโหฮึดฮัด เฟยเหยาเดินเข้ากระท่อมไปแล้วปิดประตู เหยียนหลัวหวางยิ่งโมโหมากขึ้นอีก แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ เขาจึงข่มใจเอาไว้ ส่งเด็กให้เฮยอู่ฉาง สั่งว่า “พากลับไป”

เฮยอู่ฉางรับทารกน้อยไปอย่างงงๆ เหยียนหลัวหวางก็หายตัวไป เฮยอู่ฉางมองทารกน้อยแล้วพากลับไปที่จวนเสนาบดีเฉิน เขาปรากฎตัวขึ้นข้างเตียงวางทารกน้อยไว้ข้างมารดา ไป๋อู่ฉางมองเฮยอู่ฉางถามว่า “เป็นอย่างไร? แม่นางเฟยเทียนยอมช่วยเหลือหรือไม่?”

“ช่วย” เฮยอู่ฉางตอบสีหน้าเรียบเฉย ไป๋อู่ฉางมองเฮยอู่ฉางรอฟังเขาเล่า เฮยอู่ฉางพูดต่อว่า “แม่นางเฟยเทียนช่วยให้เด็กคนนี้รอดตายน่ะซิ”

“หา!” ไป๋อู่ฉางปากอ้าตาค้างไปครู่หนึ่ง “เช่นนั้นเด็กคนนี้ก็ไม่ตายแล้ว!?”

“อืม” เฮยอู่ฉางพยักหน้า ไป๋อู่ฉางถามต่อ “เช่นนั้นข้าจะพาวิญญาณของเขาไปได้อย่างไร?”

“ก็ไม่ต้องพาไปแล้วน่ะซิ” เฮยอู่ฉางบอก ไป๋อู่ฉางมึนงงไปครู่หนึ่ง “ไม่พาไป? หากไม่พาไปชะตาชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปน่ะซิ”

“ก็เปลี่ยนน่ะซิ เจ้าก็อย่าคิดมากเลย คนเปลี่ยนชะตาชีวิตเด็กคนนี้ไม่ใช่พวกเราแต่เป็นแม่นางเฟยเทียน ถ้าหากใครจะเอาผิดขึ้นมาก็ต้องไปเอาผิดกับแม่นางเฟยเทียนซิ พวกเราไม่เกี่ยวนา” เฮยอู่ฉางบอก ไป๋อู่ฉางคล้อยตามอย่างจำใจ เฮยอู่ฉางตบไหล่ “พวกเราก็ไปกันเถอะ”

“อืม” ไป๋อู่ฉางพยักหน้า เฮยอู่ฉางหายตัวไป ไป๋อู่ฉางก็หายตัวไปอีกคน หลังจากทั้งสองหายไปแล้ว ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็มีคนๆ หนึ่งปรากฏตัวขึ้น คนๆ นี้สวมชุดสีดำทั้งตัว คลุมศีรษะด้วยผ้าสีดำยากต่อการมองเห็นใบหน้าใต้ผ้าคลุมสีดำ จากรูปร่างผอมสูงน่าจะเป็นบุรุษ เขาก้มมองทารกน้อย มองต่างหูไพลินสีน้ำเงินแวววาว มือกำแน่น

“เสียดายนักที่ข้ามาไม่ทัน ไพลินเลือกเจ้านายเสียแล้ว เฮ้อ…” เสียงทุ้มต่ำพูดอย่างเสียดายยิ่งนัก กว่าเขาจะสืบหาเจอว่าไพลินวิญญาณมาอยู่ที่โลกแห่งนี้ก็สายไปเสียแล้ว เขาตามหาไพลินวิญญาณกับชิงชิงฉวน(星星船 เรือสตาร์) มานานแล้ว ชิงชิงฉวนสามารถทะลวงกฎของโลกพันเล็ก(จักรวาลขนาดเล็ก) ได้ เขาตามหาชิงชิงฉวนเพื่อเข้าไปในโลกพันเล็กหวังตามหาคนๆ หนึ่ง เขาตามกลิ่นอายชิงชิงฉวนมาจนถึงที่นี่แต่กลิ่นอายของชิงชิงฉวนก็หายไปเสียก่อน เขาจึงตามหาไพลินวิญญาณ แต่เมื่อพบไพลินวิญญาณกลับพบว่ามันเลือกเจ้านายไปแล้ว แต่จะให้เขาตัดใจทิ้งไพลินวิญญาณเขาก็ทำไม่ได้ เขามองทารกน้อยแล้วยื่นมือไปอุ้มทารกน้อยขึ้นมา จากนั้นก็หายวับไป

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เฉินม่านอิ๋งลืมตาตื่น นางมองลูกในอ้อมกอดทันที แต่ก็ไม่เห็นลูก นางจึงลุกขึ้นมองหาเพราะคิดว่าสามีอาจจะอุ้มไปก็ได้ แต่เมื่อมองไปก็เห็นสามีนอนอยู่ที่ข้างเตียง นางจึงยื่นมือไปปลุกเขา “ท่านพี่ๆ”

“อืม” เฉินจงกุ้ยงึมงำลืมตาตื่น เฉินม่านอิ๋งถาม “ท่านพี่ ลูกล่ะเจ้าคะ?”

“ลูก?” เฉินจงกุ้ยงุนงง เขามองๆ ไปก็ไม่เห็นลูกอยู่กับฮูหยิน เขามองไปรอบๆ ห้องทันที แต่ก็ไม่เห็นสาวใช้คนไหนอุ้มลูกของเขาสักคน พวกนางนั่งสัปหงกหลับกันหมด “หรือว่าท่านหมอติงจะอุ้มลูกไป?”

เขาเดาพลางลุกไปดูทันที เขาเจอติงเฟิ่งเหล่ยนั่งหลับอยู่ใกล้ๆ กับห้องครัว เขาจึงเขย่าปลุก “ท่านหมอๆ”

“อืม” ติงเฟิ่งเหล่ยลืมตาขึ้นมา บ่าวได้ยินเสียงแว่วๆ ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เฉินจงกุ้ยถามทันที “ท่านหมอ ลูกชายข้าล่ะ?”

“ลูกท่าน?” ติงเฟิ่งเหล่ยงุนงง “ลูกท่านก็อยู่กับฮูหยินไม่ใช่หรือ?”

“ไม่อยู่” เฉินจงกุ้ยบอก ติงเฟิ่งเหล่ยส่ายหน้า “ลูกท่านไม่ได้อยู่กับข้านะ หรือว่าสาวใช้จะอุ้มไป?”

เฉินจงกุ้ยร้องตะโกนสั่งคนทั้งจวนทันที “ตามหาคุณชายน้อยเร็ว! คุณชายน้อยหายไป”

“ขอรับ” / “เจ้าค่ะ” บ่าวไพร่ขานรับแล้วรีบหาคุณชายน้อยทันที เฉินม่านอิ๋งเดินตามมา นางเม้มปากแน่น สีหน้าคล้ายจะร้องไห้เต็มที

ติงเฟิ่งเหล่ยก็ช่วยตามหาอีกแรง เขาสงสัยว่าคนที่พาคุณชายน้อยไปจะเอาศพคุณชายน้อยไปทำอะไร?

เฉินม่านอิ๋งเดินหาลูกไปทั่ว นางกับสาวใช้เร่งค้นหาลูกอย่างร้อนใจ เฉินจงกุ้ยก็แยกไปตามหาอีกทาง คนทั้งจวนล้วนช่วยกันตามหาคุณชายน้อยกันจ้าละหวั่นแล้ว ทุกคนล้วนตามหาคุณชายน้อยทุกซอกทุกมุมของจวนอย่างละเอียดยิบ

หลังจากนั้นก็มีข่าวว่าเฉินมู่อิ๋งหายไป ทำให้เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอดีใจยิ่งนัก หายไปตลอดกาลได้ยิ่งดี ฮ่าๆๆๆๆ

เฉินมู่อิ๋งถูกพาตัวไป เขามองเห็นสิ่งต่างๆ ผ่านจิตวิญญาณ ถึงแม้ร่างเขาจะหลับอยู่มีสภาพเหมือนตายแต่ยังไม่ตาย แต่จิตวิญญาณของเขาสามารถรับรู้ได้ เขาเห็นคนตัวสูงๆ ใส่อาภรณ์สีคล้ำๆ เขามองคนๆ นั้นอย่างอยากรู้อยากเห็น คนชุดดำมองทารกน้อย เขาเห็นจิตวิญญาณของทารกน้อยกำลังมองเขาอยู่เขาจึงคุยกับจิตวิญญาณของทารกน้อยว่า “เจ้าเป็นเจ้านายของไพลินวิญญาณแล้ว เจ้าก็คือเจ้านายของไพลินวิญญาณเม็ดนี้ ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดไพลินวิญญาณจึงเลือกเจ้าเป็นเจ้านาย? เจ้ามีดีอะไรรึเจ้าหนู?”

คำถามของเขาไร้คำตอบเพราะเฉินมู่อิ๋งยังไร้เดียงสาเกินไป คนชุดดำส่งเสียงอย่างขัดอกขัดใจ “ฮึ่ม!”

เขามองทารกน้อยแล้วบอกว่า “ข้าคือผู้เฝ้ามอง ข้าเฝ้ามองพิภพ ทำหน้าที่บันทึกความเป็นไปของพิภพ”

เฉินมู่อิ๋งมองอย่างไร้เดียงสา ผู้เฝ้ามองไม่ชอบใจเลยที่ทารกน้อยไม่อาจตอบโต้กับเขาได้ เขาจึงพาทารกน้อยไปดูวิถีชีวิตของคนๆ หนึ่ง คนๆ นี้เป็นราชครูในราชสำนักของแคว้นซีเอ่อ(锡儿) ซึ่งเป็นแคว้นเพื่อนบ้านกับแคว้นซินหยาง แคว้นซินหยางก็คือแคว้นบ้านเกิดเมืองนอนของเฉินมู่อิ๋ง ผู้เฝ้ามองพาทารกน้อยไปดูราชครูผู้นั้น ราชครูกำลังสอนองค์ชายน้อยอ่านตำรา เขาท่องเป็นบทกลอนพันอักษร ซึ่งมีท่วงทำนองจำง่าย เขาท่องทีละบท องค์ชายน้อยก็ท่องตาม เฉินมู่อิ๋งฟังเสียงสูงๆ ต่ำๆ นั้นซ้ำไปซ้ำมา

ผู้เฝ้ามองมองดูชีวิตของราชครูผู้นั้นไปเรื่อยๆ เฉินมู่อิ๋งก็มองดูราชครูผู้นั้นด้วยเช่นกัน ทั้งสองมองดูจนราชครูสิ้นอายุขัย เฉินมู่อิ๋งก็เห็นทิวทัศน์เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่ “เอ๋?”

“หึๆๆๆ พูดได้แล้วซินะเจ้าหนู” ผู้เฝ้ามองหัวเราะเบาๆ เฉินมู่อิ๋งมองอย่างงุนงง เขารู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขาไม่ใช่ทารกน้อยอีกต่อไปแล้ว เขามองผู้เฝ้ามองเขม็ง ถามว่า “ท่านทำอะไร?”

“ข้าให้เจ้าดูวิถีชีวิตของคนอย่างไรล่ะ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากการเฝ้ามองได้ คนๆ นั้นเคยมีชีวิตอยู่จนถึง 10 ปีที่แล้ว องค์ชายน้อยที่คนๆ นั้นสั่งสอนปัจจุบันนี้ก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นซีเอ่อ” ผู้เฝ้ามองอธิบาย “หากข้าให้เจ้าเฝ้ามองคนที่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมไม่อาจมองดูคนๆ นั้นเสร็จสิ้นได้ใน 1 วันหรอกนะ หากทำเช่นนั้นเจ้าคงแก่ไปแล้ว”

เฉินมู่อิ๋งขมวดคิ้วงุนงง เขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่จับใจความได้ว่าผู้เฝ้ามองใช้วิธีการบางอย่างให้เขาดูคนที่ตายไปแล้ว ผู้เฝ้ามองมองทารกน้อยถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”

“เฉินมู่อิ๋ง” เฉินมู่อิ๋งตอบ ผู้เฝ้ามองถามอีก “เจ้าได้ไพลินวิญญาณมาได้อย่างไร?”

“ไพลินวิญญาณคืออะไร?” เฉินมู่อิ๋งถาม ผู้เฝ้ามองชี้ไปที่ใบหู “ต่างหูที่หูเจ้าอย่างไรล่ะ อัญมณีที่อยู่บนต่างหูคือไพลินวิญญาณ”

“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งเข้าใจแล้ว “ต่างหูนี้ท่านพ่อมอบให้ข้า”

“แล้วพ่อเจ้าได้มาได้อย่างไร?” ผู้เฝ้ามองถามต่อ เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”

ผู้เฝ้ามองถอนหายใจ เขาก็ไม่ได้สนใจนักว่าพ่อของเฉินมู่อิ๋งได้มาอย่างไร ที่เขาสนใจก็คือเหตุใดไพลินวิญญาณจึงเลือกเจ้าเด็กคนนี้เป็นนายต่างหาก

“ผู้เฝ้ามอง ท่านให้ข้าดูชีวิตของคนอื่นอีกได้หรือไม่?” เฉินมู่อิ๋งถาม ผู้เฝ้ามองพยักหน้า “ได้ แต่เจ้าอยากดูชีวิตของใครรึ?”

“ข้าอยากดูชีวิตของขุนนางที่เก่งๆ เหมือนพ่อข้า” เฉินมู่อิ๋งบอก มองด้วยสายตาขอร้อง ผู้เฝ้ามองซึ่งยังไม่มีอะไรจะทำจึงพาเฉินมู่อิ๋งไปดูชีวิตคน เขาเลือกชีวิตของขุนนางผู้หนึ่งซึ่งเก่งทางด้านบุ๋น เพราะเฉินจงกุ้ยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ทิวทัศน์เปลี่ยนไป เฉินมู่อิ๋งเห็นขุนนางหลายคนยืนอยู่ในท้องพระโรง เขาไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือแคว้นไหน เขามองดูผู้คนเหล่านั้นไปเรื่อยๆ

ผู้เฝ้ามองก็อยู่กับเฉินมู่อิ๋ง เขาไม่ได้ดูผู้คนเหล่านั้น เขามองเฉินมู่อิ๋งต่างหาก เพราะอยากรู้ว่าเหตุใดไพลินวิญญาณจึงเลือกเด็กคนนี้เป็นเจ้านาย เขาเฝ้ามองเฉินมู่อิ๋งไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งทิวทัศน์เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม เฉินมู่อิ๋งจึงรู้ว่าตัวเองหลุดจากการเฝ้ามองแล้ว การเฝ้ามองดูขุนนางทำให้เขาได้รับความรู้มากมายทีเดียว เขามองผู้เฝ้ามอง ถามว่า “ท่านให้ข้าดูชีวิตของจอมยุทธ์ที่เก่งกาจได้หรือไม่?”

“ได้” ผู้เฝ้ามองพูดจบ ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป เฉินมู่อิ๋งเห็นคนๆ หนึ่งกำลังฝึกซ้อมกระบี่ เขาก็มองดูจอมยุทธ์คนนั้นฝึกซ้อมกระบี่ไปเรื่อยๆ ทั้งยังออกท่าออกทางตามไปด้วย ผู้เฝ้ามองเบิกตาโต เจ้าเด็กนี่ฉลาดนัก!

การดูชีวิตของผู้อื่นย่อมทำให้ผู้เฝ้ามองเรียนรู้ปัญหาและปัญญาของคนที่ถูกเฝ้ามอง การที่เฉินมู่อิ๋งเฝ้ามองชีวิตของราชครูก็ทำให้จิตวิญญาณของเขาเติบโตขึ้นจนสามารถพูดคุยตอบโต้ได้ การที่เขาขอดูชีวิตของขุนนางก็ทำให้เขาเรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมของขุนนางมา บัดนี้เขาดูจอมยุทธ์ก็ทำให้เขาเรียนรู้วิชายุทธ์จากจอมยุทธ์คนนั้นด้วย ผู้เฝ้ามองจึงมองดูเฉินมู่อิ๋งอย่างสนอกสนใจ เขาอยากรู้ว่าเด็กคนนี้จะสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้าง?

จอมยุทธ์ที่เฉินมู่อิ๋งเฝ้ามองอยู่นั้นคือหลิวห้าวเหลียง(刘浩良) นับว่าเป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง เฉินมู่อิ๋งขยับตัวตามท่าทางของหลิวห้าวเหลียง ร่างกายของเขายังคงหลับอยู่แต่จิตวิญญาณกำลังเคลื่อนไหวไปมา ผู้เฝ้ามองก็มองดูจิตวิญญาณของเฉินมู่อิ๋งไปเรื่อยๆ

ชีวิตของหลิวห้าวเหลียงนับว่าโลดโผนนัก จากพลทหารก็ไต่เต้าไปจนกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ แล้วก็ตกตายเพราะฮ่องเต้เกิดความระแวง ตระกูลหลิวจึงตกตายทั้งตระกูล ศีรษะของแม่ทัพหลิวตกลงพื้น ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่เช่นเดิม

เฉินมู่อิ๋งตัวสั่นๆ อย่างหวาดกลัว เขาเห็นคนตายมากมายในช่วงชีวิตของหลิวห้าวเหลียง ทั้งตายในสนามรบ ทั้งการลอบฆ่าลอบสังหารนับไม่ถ้วน จนกระทั่งถูกโทษประหารจนศีรษะตกลงพื้นเลือดสาดกระจาย ช่างน่ากลัวเกินไปหน่อยจริงๆ

“เป็นอย่างไร? ชีวิตจอมยุทธ์ที่เจ้าอยากดู” ผู้เฝ้ามองถาม เฉินมู่อิ๋งหน้าซีดตัวสั่นๆ “น่ากลัวมาก”

“สงครามก็เป็นเช่นนี้แหละ สงครามของมนุษย์ยังนับว่าไม่เท่าไหร่ หากเจ้าเคยเห็นสงครามของเทพของมารเจ้าคงกลัวจนหวาดผวาเลยกระมัง” ผู้เฝ้ามองพูดน้ำเสียงราบเรียบ เฉินมู่อิ๋งทำหน้าสยดสยอง ผู้เฝ้ามองถามยิ้มๆ “ยังอยากดูชีวิตคนอีกหรือไม่?”

“ดู” เฉินมู่อิ๋งตอบ ผู้เฝ้ามองถาม “คราวนี้เจ้าอยากดูชีวิตของใคร?”

“เอ่อ ขอเป็นบัณฑิตเถอะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ ผู้เฝ้ามองยิ้ม ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งเห็นผู้คนมากมาย มีคนๆ หนึ่งดูโดดเด่นกว่าคนอื่นมาก เขาจึงมองคนๆ นั้น ผู้เฝ้ามองก็มองเฉินมู่อิ๋งไปเรื่อยๆ

วันคืนผ่านไปหลายวันแล้ว เฉินจงกุ้ยยังหาลูกไม่พบเลย เขาโศกเศร้าเสียใจยิ่งนัก เฉินม่านอิ๋งก็โศกเศร้าเสียใจจนล้มป่วย ติงเฟิ่งเหล่ยก็คอยรักษาฮูหยินเฉิน เฉินจงกุ้ยโศกเศร้าจนไม่อาจไปทำงานได้ ฮ่องเต้จึงมีเมตตาให้เสนาบดีเฉินหยุดงานจนกว่าจะหายโศกเศร้า

เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวิ่นเคอดีใจมาก พวกเขาล้วนอยากให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้โศกเศร้าจนตรอมใจตายไปได้ยิ่งดี!

ทุกวันพวกเขาจะไปเยี่ยมพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ พูดจาปลอบใจ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้เสียใจมากนัก บางทีหลานอาจจะถูกคนร้ายฆ่าตายแล้วก็ได้ ท่านต้องเผื่อใจไว้หน่อยนะขอรับ”

“ใช่ๆ พี่ใหญ่ ตั้งหลายวันแล้วหลานอาจจะตายไปแล้วก็ได้อย่างที่พี่รองพูด ท่านก็ทำใจเถอะ” เฉินเหวินเคอพูดพลางทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ เฉินม่านอิ๋งได้ยินคำพูดของน้องสามีทั้งสองแล้วก็อยากตบปากพวกเขานัก นางจึงตะโกนสั่งสาวใช้ว่า “พวกเจ้าไปไล่สุนัขสองตัวนั้นออกไป๊!”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วรีบเรียกบ่าวเข้ามา “พวกเจ้ารีบมาไล่พวกเขาออกไป ฮูหยินสั่ง”

สาวใช้เน้นคำว่า ‘ไล่’ เสียงดังฟังชัดมาก พวกบ่าวก็ไม่ชอบใจน้องของนายท่านอยู่แล้ว นายท่านกำลังโศกเศร้าคนพวกนี้ยังมาพูดจาให้นายท่านยิ่งเศร้ามากขึ้นอีก เมื่อฮูหยินสั่งมาเช่นนี้พวกเขาจึงไม่รอช้า พากันกรูเข้าไป “เชิญท่านเฉินไฮ่ผิงและท่านเฉินเหวินเคอกลับไปก่อนขอรับ”

“พวกเจ้ากล้า!” เฉินไฮ่ผิงและเฉินเหวินเคอโมโหจนหน้าแดงหน้าเขียว “พี่ใหญ่ ท่านดูบ่าวบ้านท่านซิ พวกมันกล้าพูดจาเช่นนี้กับพวกเราเชียวรึ!”

“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ” เฉินจงกุ้ยโบกมือ เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปด้านในอย่างไร้กะจิตกะใจ พวกบ่าวก็ล้อมหน้าล้อมหลัง ‘สุนัข’ ทั้งสอง พูดน้ำเสียงขึงขังว่า “เชิญพวกท่านกลับไปก่อนเถอะ นายท่านต้องการพักผ่อนแล้ว ไม่สะดวกรับแขก”

“พวกเจ้า!” เฉินไฮ่ผิงชี้หน้าอย่างโมโหยิ่งนัก เฉินเหวินเค่อสะกิดพี่รองกระซิบว่า “วันนี้พวกเรากลับกันก่อนเถอะ วันหน้าค่อยมาใหม่”

“หึ!” เฉินไฮ่ผิงแค่นเสียงอย่างโมโห พูดว่า “พี่ใหญ่ วันหน้าข้าจะมาเยี่ยมอีก”

“พวกเจ้าไม่ต้องมาแล้ว! จวนนี้ไม่ต้อนรับพวกเจ้าแล้ว!” เฉินม่านอิ๋งตะโกนออกมาแล้วไอแค่กๆ สาวใช้รีบส่งชาขิงอุ่นๆ ให้ฮูหยินทันที “ฮูหยินเจ้าคะ ดื่มชาก่อนเจ้าค่ะ”

เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอโมโหยิ่งนัก แต่พี่ใหญ่ก็ไม่พูดอะไรสักคำ นี่ยิ่งทำให้พวกเขาโมโหมากขึ้นอีก หึ! พี่ใหญ่เห็นเมียดีกว่าน้องเช่นนี้ได้อย่างไร!

เฉินมู่อิ๋งดูชีวิตของบัณฑิตจนกระทั่งเขาสิ้นอายุขัย นับว่าเขาเป็นบัณฑิตผู้มีความรู้กว้างขวางจริงๆ ทิวทัศน์เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่เช่นเดิม เฉินมู่อิ๋งหันไปมองผู้เฝ้ามอง พูดว่า “ข้าอยากดูชีวิตของหมอ”

“ได้” ผู้เฝ้ามองพูดแล้วทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป เฉินมู่อิ๋งเห็นผู้คน มีคนเจ็บนอนอยู่บนเตียง หมอกำลังลงมือรักษาคนเจ็บคนนั้น

“ท่านหมอกู่ ท่านต้องช่วยลูกชายข้าให้ได้นะเจ้าคะ ข้ามีเขาเป็นลูกชายคนเดียว หากเขาตายไปข้าคงอยู่ไม่ได้แน่เจ้าค่ะ” มารดาคนเจ็บคร่ำครวญน้ำตานองหน้า

“ข้าย่อมรักษาเขาสุดฝีมือ” กู่เสียนฟางบอกพลางลงมือเย็บแผลอย่างคล่องแคล่วว่องไว เฉินมู่อิ๋งก็มองดูการรักษาไปเรื่อยๆ ผู้เฝ้ามองก็มองดูจิตวิญญาณของเฉินมู่อิ๋งอย่างอยากรู้อยากเห็น เฉินมู่อิ๋งเฝ้ามองวิธีการรักษาของท่านหมอท่านนี้ไปเรื่อยๆ พลางพูดว่า “บาดแผลเช่นนี้รักษาได้ด้วยการเย็บเหมือนเย็บผ้าหรือ?”

“วิธีการรักษามีมากมายนัก หมอแต่ละคนก็มีวิธีการแตกต่างกัน” ผู้เฝ้ามองพูดขึ้นมา เฉินมู่อิ๋งมองผู้เฝ้ามองแล้วพูดว่า “เช่นนั้นหลังจากที่ข้าดูชีวิตของท่านหมอท่านนี้แล้ว ขอข้าดูชีวิตของท่านหมอท่านอื่นด้วยได้หรือไม่ขอรับ?”

“ได้” ผู้เฝ้ามองพยักหน้า “เจ้าอยากดูมากเท่าไหร่ก็ดูได้จนกว่าเจ้าจะเบื่อเลยล่ะ หึๆๆๆ”

“ขอบคุณท่านมาก” เฉินมู่อิ๋งพูดแล้วเบนสายตาไปมองการรักษาต่อ ผู้เฝ้ามองไม่ได้มองกู่เสียนฟาง เขามองสตรีชราที่อยู่ข้างๆ มากกว่า

Chapter 5

พบเบาะแสชิงชิงฉวน

ผู้เฝ้ามองรู้สึกว่าสตรีชรานางนี้หน้าตาคุ้นๆ เขาเพ่งมองสตรีชรานางนั้นไม่สะสายตา พลัน! เขาเห็นผิวของนางค่อยๆ เรียบตึงขึ้น นางเห็นหลังมือตัวเองเรียบตึงก็มีสีหน้าตกใจ นางรีบเดินออกจากห้องไป ผู้เฝ้ามองตามไปดู เขาเห็นนางเดินเข้าไปในห้องข้างๆ เห็นนางใช้เข็มจิ้มๆ ตามเนื้อตัว ผิวหนังก็กลับมายับย่นดังเดิม นางเก็บเข็มแล้วเดินออกมา เขาจึงรู้ว่าที่แท้แล้วสตรีชรานางนี้จริงๆ แล้วนางไม่ได้ชราอย่างที่เห็น

“ท่านแม่เฒ่า ท่านหายไปไหนมา?” กู่เสียนฟางถาม สตรีชราตอบว่า “ข้าไปถ่ายเบา”

“อ่อ” กู่เสียนฟางพยักหน้ารับรู้ แล้วพูดอีกว่า “เช่นนั้นท่านช่วยข้าจับแผลหน่อย ข้าจะเย็บแผลที่ท้อง ฮูหยินท่านนั้นไม่อาจช่วยข้าได้ นางเอาแต่ร้องไห้เช่นนั้นข้าจึงต้องรบกวนท่านแม่เฒ่าสักหน่อยขอรับ”

“ได้” สตรีชราพยักหน้า ฮูหยินผู้เป็นมารดาคนเจ็บรีบกุมมือพูดทั้งน้ำตา “แม่เฒ่าร้อยพิษโปรดช่วยเหลือลูกข้าด้วยเจ้าค่ะ”

“อืม” เฒ่าร้อยพิษพยักหน้าแล้วเดินไปจับแผลคนเจ็บ กู่เสียนฟางก็จัดแจงเย็บแผลให้คนเจ็บทันที ผู้เฝ้ามองมองดู ‘เฒ่าร้อยพิษ’ เขาสงสัยว่านางเป็นใคร จึงเฝ้ามองอย่างอยากรู้อยากเห็น เฉินมู่อิ๋งก็มองดูท่านหมอกู่เสียนฟางไปเรื่อยๆ เขามองดูจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของท่านหมอเทวดากู่เสียนฟางซึ่งป่วยตายไปโดยมีแม่เฒ่าร้อยพิษคอยดูแลอยู่ข้างๆ เมื่อกู่เสียนฟางสิ้นใจ ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งชมว่า “ท่านหมอท่านนี้เก่งสมกับที่ได้รับชื่อหมอเทวดาจริงๆ”

“อืม” ผู้เฝ้ามองพยักหน้า “ถ้าไม่เก่งข้าจะมองดูรึ”

จากนั้นทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้เฉินมู่อิ๋งเห็นแม่เฒ่าร้อยพิษกำลังร้องไห้เสียใจ เขามองอย่างงุนงงที่กลับมาดูท่านแม่เฒ่าทำไม? เฒ่าร้อยพิษก็ถือว่าเป็นหมอ แต่นางเก่งเรื่องพิษ เขาเห็นนางทำแต่ยาพิษขาย เขาคิดว่ารอให้ดูหมอคนอื่นๆ แล้วค่อยขอผู้เฝ้ามองมาดูชีวิตของแม่เฒ่าร้อยพิษทีหลัง หรือว่าผู้เฝ้ามองจะรู้ความคิดของข้า?

เขาหันไปมองผู้เฝ้ามอง เห็นผู้เฝ้ามองมองแม่เฒ่าร้อยพิษอย่างสนอกสนใจมาก ทั้งสองเห็นเฒ่าร้อยพิษหยุดร้องไห้แล้วลุกออกไป พวกเขาตามนางไป เห็นนางขุดหลุมปักๆ เดาว่าหลุมนี้นางคงขุดเพื่อฝังศพหมอเทวดากู่เสียนฟางแน่นอน

เฒ่าร้อยพิษขุดหลุมไปเรื่อยๆ จนได้หลุมใหญ่พอแล้วก็จัดการแบกศพกู่เสียนฟางออกมา ฝังศพลงไป นางกลบหลุมศพ แล้วขุดต้นไม้พิษมาปลูกบนหลุมศพ จากนั้นนางก็ไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วก็กรีดอากาศเปิดออกเดินเข้าไปในรอยแยกดำมืด

“โอ!” ผู้เฝ้ามองอุทานตาโต เฉินมู่อิ๋งมองอย่างงงๆ ยังไม่ทันคิดอะไร ก็ถูกผู้เฝ้ามองคว้าตัววิ่งตามเฒ่าร้อยพิษเข้าไปในรอยแยกดำมืดนั่นแล้ว พวกเขาเห็นเฒ่าร้อยพิษพูดกับมังกรสีดำตัวหนึ่งว่า “พาข้าไปยมโลกที”

“เจ้าจะไปยมโลกทำไม?” มังกรถาม

“ข้าจะไปตามผู้ชายของข้าน่ะซิ” เฒ่าร้อยพิษตอบ มังกรตกตะลึง! “ผู้ชายของเจ้า!?”

เฒ่าร้อยพิษรู้ว่าคำพูดตัวเองทำให้สหายรักตกใจและงุนงง จึงเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียด “คือข้า………”

เมื่อฟังจบแล้ว มังกรก็พูดว่า “อ่อ เจ้าจึงจะไปถามเหยียนหลัวหวางซินะว่า ผู้ชายของเจ้าไปเกิดใหม่เป็นอะไร?”

“อืม” เฒ่าร้อยพิษพยักหน้ารับ

“แล้วถ้ามันเกิดใหม่เป็นสัตว์เล่า เจ้าจะทำอย่างไร?”

“ข้าก็จะเอามันมาเลี้ยงจนกว่ามันจะตายน่ะซิ ถ้ามันเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ข้าก็จะไปหมั้นหมายมันไว้ก่อน รอจนมันโต ก็แต่งกับมัน”

“แล้วถ้ามันเกิดเป็นผู้หญิงเล่า?” มังกรถาม

“ข้าก็จะรับมันเป็นลูกบุญธรรม เลี้ยงดูมันจนกว่ามันจะตาย แล้วไปเกิดใหม่น่ะซิ”

“แล้วถ้ามันเกิดเป็นมารเล่า?”

“ยิ่งดีใหญ่ ข้ากับมันจะได้อยู่ร่วมกันไปนานแสนนาน”

“แล้วถ้ามันเกิดเป็นเทพเล่า?”

“เอ่อ…” เฒ่าร้อยพิษอึ้งไป นางไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย หากมันเกิดเป็นเทพ เทียนจวินจะยอมให้เทพของตัวเองเกี่ยวข้องกับนางงั้นหรือ? ย่อมไม่แน่นอน!

“ไปถามเหยียนหลัวหวางก่อน” นางบอก

มังกรพยักหน้ารับแล้วก็ก้มหัวลงไปให้สหายรักปีนขึ้นมา เมื่อสหายขึ้นมาแล้วมังกรก็ทะยานออกไป ครั้นพ้นจากถ้ำแล้ว มังกรก็กางกรงเล็บกรีดอากาศเปิดมิติ แล้วพุ่งเข้าไปในรอยแยกที่เปิดออก ในรอยแยกเป็นชายแดนยมโลก มังกรพาสหายรักทะยานไปยังวังยมโลกทันที

(อ่านฉากนี้ต่อได้ในเรื่องหงส์คืนแค้นค่ะ ตอนที่ 122 ค่ะ)

ทิวทัศน์เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งงงๆ “เมื่อกี้?”

“มิน่าเล่า ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” ผู้เฝ้ามองพึมพำออกมา เฉินมู่อิ๋งมองเขาอย่างงงๆ ผู้เฝ้ามองจึงอธิบายว่า “เฒ่าร้อยพิษผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นมาร นางไม่ใช่มนุษย์ นางปลอมแปลงตัวนางให้ดูแก่เฒ่าแฝงตัวอยู่กับมนุษย์”

เฉินมู่อิ๋งมองอย่างงงๆ เขารับรู้แค่ว่ามารก็มีรูปร่างเหมือนมนุษย์นี่เอง แต่มังกร! เขาเพิ่งจะได้เห็นมังกรตัวจริงๆ ชัดๆ ตาก็คราวนี้แหละ มังกรที่มีอยู่ในตำนาน เห็นแต่ภาพวาด เมื่อได้เห็นตัวจริงๆ เขาก็ตกใจไม่น้อยเชียวล่ะ เขายังตะลึงอยู่จึงไม่ได้ขอดูชีวิตของใครต่อ ผู้เฝ้ามองก็กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ในใจ เกิดความเงียบงันระหว่างทั้งสองไปพักใหญ่ จนกระทั่งผู้เฝ้ามองเลิกครุ่นคิดแล้ว เขาจึงถามว่า “เจ้าอยากดูชีวิตของใครอีก?”

“มังกร ข้าอยากดูมังกร” เฉินมู่อิ๋งพูดโพล่งออกมา ผู้เฝ้ามองตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วคลี่ยิ้มบางๆ เขาคิดถึงมังกรตัวอื่นไม่ออกนอกจากมังกรดำตัวนั้น ทิวทัศน์พลันเปลี่ยนไป เฉินมู่อิ๋งเห็นมังกรดำนอนหมอบอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียว มังกรกำลังใช้เล็บจิ้มลูกท้อกินทีละลูก…ทีละลูก เฉินมู่อิ๋งมองดูอย่างตื่นตาตื่นใจมาก “โอ…”

เฮยหลงรู้สึกว่าถูกใครสักคนมองอยู่ นางจึงหันไปมองตามความรู้สึก ทางด้านข้างทางซ้าย นางเห็นเงาเลือนราง 2 เงา หนึ่งบุรุษหนึ่งทารก นางเคยเห็นรูปลักษณ์ของบุรุษเช่นนั้นมาก่อน “หือ? ผู้เฝ้ามองรึ”

ผู้เฝ้ามองตกใจ มังกรตัวนี้มองเห็นเขาด้วยหรือ!? เป็นไปได้อย่างไร? พลังของผู้เฝ้ามองนั้นล้ำลึกมาก ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองเห็นผู้เฝ้ามองได้ แต่มังกรตัวนี้กลับสามารถเห็นเขาได้!

ฟิ้ว— เขายังไม่ทันคิดอะไรก็ถูกกรงเล็บใหญ่โตนั่นดีดจนตัวลอยละลิ่วไปแล้ว! “อ๋า—”

“หึ! คิดจะแอบดูข้า เจ้าช่างบังอาจนัก!” เฮยหลงแค่นเสียงอย่างเย็นชา นางเพียงแค่ดีดผู้เฝ้ามองคนนั้นออกไป ไม่ได้คิดฆ่าฟันให้ตกตาย เพราะผู้เฝ้ามองเป็นเผ่าพันธุ์เผ่าหนึ่งที่มีพลังแปลกประหลาด เผ่าพันธุ์นี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ว่ากันว่าสืบทายาทยากเย็นยิ่งกว่าเผ่าเฟิ่งหวงเสียอีก นางยังไม่อยากสร้างศัตรูจึงเพียงแค่ไล่คนผู้นั้นไปเท่านั้น

เฉินมู่อิ๋งก็กระเด็นตามผู้เฝ้ามองไปด้วย เขาอยู่ภายใต้พลังของผู้เฝ้ามองดังนั้นเรียกว่าเขาถูกลูกหลงไปด้วยคงอธิบายสถานการณ์เช่นนี้ได้ตรงประเด็นที่สุดแล้ว ทั้งสองกระเด็นไปไกลลิบ ผู้เฝ้ามองรีบคว้าตัวเฉินมู่อิ๋งเอาไว้ เขากอดเฉินมู่อิ๋งไว้กับอกใช้ตัวเป็นเบาะกันกระแทกให้เจ้าทารกน้อย ตัวเขากระแทกกับต้นไม้ใหญ่ ตู้ม!

ต้นไม้หักกลาง ลำต้นข้างบนเอนล้มดังโคร้ม!

“อั๊ก!” ผู้เฝ้ามองกระอักเลือดออกมาคำโต เลือดสาดเปื้อนพื้นเป็นวงกว้าง เขาก้มมองเฉินมู่อิ๋ง โชคดีที่เขากอดเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะเขาปกป้องอยู่ป่านนี้เจ้าเด็กคนนี้คงตายไปแล้ว แรงกระแทกขนาดนี้ มนุษย์ย่อมแหลกเป็นกองเนื้อแน่นอน ขนาดเขามีพลังล้ำลึกถึงเพียงนี้ยังบาดเจ็บไม่น้อย นับว่ามังกรตัวนั้นมีพละกำลังแข็งแกร่งมากทีเดียว หากเขาเจอมังกรตัวนั้นอีก เห็นทีต้องระวังให้มากเสียแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าพลังที่ดีดเขาออกมานั้นยังไม่ใช่พลังทั้งหมดของมังกรดำตัวนั้น เขารู้สึกว่ามังกรตัวนั้นมีพลังแข็งแกร่งมาก

อาจจะแข็งแกร่งพอๆ กับราชามังกรเลยกระมัง

“เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?” เขาถามพลางอุ้มร่างเฉินมู่อิ๋งขึ้นมาดู เขาดูจนทั่วไม่พบบาดแผลสักรอยก็เบาใจ เขาเดินไปหาที่นั่งเหมาะๆ แล้วนั่งลง วางร่างเฉินมู่อิ๋งบนตัก หยิบโอสถออกมากิน 1 เม็ด เขากลืนเลือดในปากลงไปแล้วเข้าฌานรักษาอาการบาดเจ็บ

จิตวิญญาณของเฉินมู่อิ๋งมองผู้เฝ้ามองตาปริบๆ เขาไม่รู้ว่าผู้เฝ้ามองกำลังทำอะไร เห็นแต่ผู้เฝ้ามองนั่งหลับตา เขาเห็นเลือดตรงมุมปากจึงรู้ว่าผู้เฝ้ามองบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่รู้อีกว่าบาดเจ็บมากน้อยเท่าใด จิตวิญญาณของเขาไม่อาจทำอะไรได้มาก ทำได้เพียงมองดูอย่างเดียวเท่านั้น

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ผู้เฝ้ามองลืมตาขึ้น ร่างกายยังไม่หายดี แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว เขาก้มมองจิตวิญญาณเฉินมู่อิ๋ง “ข้าเกือบพาเจ้าไปตายเสียแล้ว”

เฉินมู่อิ๋งมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ผู้เฝ้ามองพูดอีกว่า “ตอนนั้นข้าไม่ได้พาเจ้าไปดูความทรงจำในอดีตแต่ข้าเผลอพาเจ้าไปเฝ้ามองมังกรตัวนั้นในปัจจุบันกาล การที่มังกรนั่นมองเห็นข้าได้ทำให้ข้าแปลกใจมากทีเดียว พลังของข้าคือการพรางตัว ยากนักที่ผู้ใดจะเห็นข้าได้หากข้าไม่ต้องการให้เห็น แต่มังกรตัวนั้นกลับมองเห็นข้าซ้ำยังตบข้าอีกด้วย”

เฉินมู่อิ๋งไม่ค่อยเข้าใจนัก เรื่องราวที่ผู้เฝ้ามองพูดนั้นเกินความสามารถของความรู้อันน้อยนิดที่เขามีอยู่จะทำความเข้าใจได้ แค่เรื่องมังกรเอย มารเอย สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นเหมือนตำนานปรัมปราที่มีในตำราทั้งหลาย การที่เขาได้เห็นมาร เห็นมังกร ก็นับว่าเหลือเชื่อแล้ว ส่วนเรื่องอื่นช่างมันเถอะ ผู้เฝ้ามองเห็นเฉินมู่อิ๋งทำหน้าไม่เข้าใจเขาจึงบอกว่า “วันนี้เจ้ายังไม่เข้าใจก็ช่างมันเถอะ วันหน้าเจ้าเข้าสู่หนทางฝึกฝนเป็นเทพหรือมารเมื่อไหร่ เจ้าจะค่อยๆ เข้าใจเอง”

เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าในใจ นั่นซิๆ ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจก็ช่างมันเถิด แต่เขาอยากดูชีวิตของหมอคนอื่นๆ แล้วนะ ศาสตร์ความรู้ทางการแพทย์น่าสนใจไม่น้อย วันหน้าเขาเติบโตขึ้นย่อมได้ใช้ความรู้เหล่านี้ อย่างน้อยศึกษาเอาไว้รักษาท่านแม่ของเขาก็ยังดี ท่านแม่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง อากาศหนาวไปนิดร้อนไปหน่อยนางก็ป่วยไข้ได้ง่าย เขาอยากศึกษาศาสตร์การแพทย์เพื่อท่านแม่ของเขา

“มองข้าเช่นนี้ เจ้าอยากดูชีวิตใครอีกงั้นรึ?” ผู้เฝ้ามองถามยิ้มๆ เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ ผู้เฝ้ามองถามต่อ “แล้วเจ้าอยากดูชีวิตใครล่ะ?”

“ท่านหมอที่เก่งๆ ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก “ข้าอยากรู้ศาสตร์การแพทย์เอาไว้รักษาท่านแม่ขอรับ ท่านแม่ไม่ค่อยแข็งแรง ข้าอยากช่วยรักษาท่านแม่จะได้ไม่ต้องรอหมอมารักษา”

“โอ๋? กตัญญูเสียด้วย” ผู้เฝ้ามองยิ้มบางๆ ทิวทัศน์พลันเปลี่ยนไป เฉินมู่อิ๋งเห็นเด็กคนหนึ่งกำลังบดสมุนไพรอย่างขมักเขม่น เขาจึงมองดูเด็กคนนั้นไปเรื่อยๆ ผู้เฝ้ามองก็มองดูเฉินมู่อิ๋งไปเรื่อยๆ

วันเวลาผ่านไป 15 วันแล้ว ตลอด 15 วันที่ผ่านมา เฉินมู่อิ๋งเฝ้ามองความทรงจำในอดีตของผู้คนมากมายหลายคน ทั้งหมอ บัณฑิต ขุนนาง จอมยุทธ์เลื่องชื่อ พ่อค้า เจ้าสำนัก นางรำ นักดนตรี ฯลฯ เรียกว่าทุกอาชีพเลยก็ว่าได้ แต่อาชีพที่เขาเฝ้ามองมากหน่อยนั้นคือหมอ จอมยุทธ์และบัณฑิตมากความรู้ ผู้เฝ้ามองก็มองดูเฉินมู่อิ๋งจนกระทั่งร่างเล็กๆ ลืมตาขึ้น เฉินมู่อิ๋งมองผู้เฝ้ามองผ่านดวงตาของร่างกาย เมื่อเห็นผู้เฝ้ามองเขาก็มองไม่เห็นประกายแสงจางๆ จากตัวผู้เฝ้ามองแล้ว เขาไม่รู้ว่าตาเนื้อไม่อาจมองเห็นประกายของจิตวิญญาณได้ เขาทำหน้างงๆ อ้าปากพูด แต่เสียงที่ออกจากปากคือเสียงอ่อแอ้ๆ

ผู้เฝ้ามองยิ้มๆ บอกว่า “ร่างเจ้ายังพูดไม่ได้ เจ้าจึงไม่อาจพูดอะไรกับข้าได้ในตอนนี้”

เอ๋? เฉินมู่อิ๋งทำหน้างงๆ กะพริบตาปริบๆ ส่งเสียงอ่อแอ้ๆ ข้าหิวๆ

ผู้เฝ้ามองเข้าใจเฉินมู่อิ๋งจากจิตวิญญาณ ภาษาจิตนั้นไม่ต้องฟังผ่านหูแต่ใช้จิตสื่อถึงจิต เขากำลังจะหาของกินให้เฉินมู่อิ๋ง พลัน! ก็มีนกสีน้ำเงินบินมาเกาะบ่าเขา ส่งเสียงจิ๊บๆๆๆๆ

เขาฟังนกตัวนั้นแล้วเบิกตาโต “พบเบาะแสชิงชิงฉวนแล้วรึ!?”

“จิ๊บๆ” นกร้องอีก ผู้เฝ้ามองฟังแล้วคิดหนักทันที พบเบาะแสของชิงชิงฉวนอยู่แดนเทพ เขาไม่อาจพาเฉินมู่อิ๋งไปแดนเทพด้วยได้ เฉินมู่อิ๋งเป็นมนุษย์ไม่อาจทนรับแรงกดดันของแดนเทพได้ พาไปด้วยก็เท่ากับพาไปตายน่ะซิ เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?

เขาคิดๆ แล้วตัดใจปล่อยเฉินมู่อิ๋งอยู่ที่นี่ไปก่อน รอเขาได้ชิงชิงฉวนมาแล้วค่อยมารับเฉินมู่อิ๋งวันหน้าก็ได้

เมื่อคิดแล้วเขาจึงพาเฉินมู่อิ๋งกลับไปส่งที่บ้าน ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นในจวนหลังนั้น มารดาของเฉินมู่อิ๋งนอนหลับอยู่บนเตียง หน้าตาซูบเซียวมาก ที่แก้มยังมีคราบน้ำตาเป็นทางติดอยู่ ส่วนบิดาของเฉินมู่อิ๋งก็นอนฟุบอยู่ข้างเตียง มือกุมมือฮูหยินเอาไว้ เฉินมู่อิ๋งเห็นท่านแม่กับท่านพ่อแล้วก็รู้สึกปวดใจมาก เขาส่งเสียงอ่อแอ้ๆ

“ข้าพาเจ้ากลับมาก่อน วันหน้าข้าค่อยมาพาเจ้าไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ อาจจะสองสามปี หรือไม่ก็สิบปีร้อยปีก็ได้ ข้าตามหาชิงชิงฉวนมานานแล้ว ข้าจะต้องหาชิงชิงฉวนให้เจอให้ได้ ข้าปล่อยให้เจ้าอยู่กับพ่อแม่เจ้าไปก่อน” ผู้เฝ้ามองบอกพลางวางเฉินมู่อิ๋งข้างๆ มารดาของเขาแล้วหายตัวไป เฉินมู่อิ๋งส่งเสียงอ่อแอ้ๆ เพราะว่าท้องของเขาหิวมาก

เฉินม่านอิ๋งได้ยินเสียงเด็กก็ลืมตาดู วินาทีที่เห็นลูก นางตกตะลึงงัน!

“แอ๊ๆ” เฉินมู่อิ๋งส่งเสียง เฉินม่านอิ๋งยื่นมือไปจับแก้มลูกอย่างไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือความฝัน ทันทีที่นิ้วสัมผัสความอุ่นนุ่มนางก็ดีใจจนร้องไห้โฮๆ “โฮ…”

นางอุ้มลูกมากอดแนบอก ร้องไห้อย่างดีใจสุดชีวิต เฉินจงกุ้ยสะดุ้งตื่น “เกิดอะไร…”

เขาพูดไม่ทันจบก็ชะงักค้างไป มองดูฮูหยินกอดเด็กร้องไห้โฮๆ อยู่บนเตียง เขาเห็นหน้าเด็กคนนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาทันที “ลูกข้า! โฮ…”

สาวใช้สะดุ้งตื่น “เกิดอะ…”

พวกนางปากอ้าตาค้างกันถ้วนหน้า มองดูนายท่านกับฮูหยินที่กำลังร้องไห้โฮๆ เห็นฮูหยินกอดเด็กคนหนึ่งเอาไว้แน่น พวกนางรีบลุกไปล้อมดู ครั้นเห็นหน้าตาเด็กคนนั้นพวกนางก็ตะลึงไป “คุณชายน้อย!”

เฉินจงกุ้ยร้องไห้อยู่พักใหญ่แล้วค่อยๆ สงบจิตสงบใจ เขาเช็ดน้ำตาออกแล้วถามฮูหยินว่า “เจอลูกได้อย่างไร?”

“ข้า อึกๆ เห็น อึกๆ เขา อึกๆ อยู่ข้างๆ อึกๆ…” ฮูหยินพูดปนสะอึกสะอื้น เฉินจงกุ้ยยื่นมือไปลูบๆ ศีรษะฮูหยิน “เจอลูกก็ดีแล้ว ดีแล้ว”

เขากอดฮูหยินกับลูกเอาไว้ น้ำตาซึมตรงหางตา เขาดีใจที่สุดที่เจอลูก เฉินมู่อิ๋งหิวจนหันหน้ามุดๆ อกท่านแม่ เฉินม่านอิ๋งตะลึงไปสองอึดใจ จากนั้นก็อุ้มลูกกินนม เฉินมู่อิ๋งดูดนมจ๊วบๆ อย่างหิวจัด เฉินม่านอิ๋งดีใจมากที่เจอลูก อีกทั้งลูกยังกินนมได้แล้ว โอ!

หลังจากนั้นก็มีข่าวว่าเจอเฉินมู่อิ๋งแล้วแพร่กระจายออกไป เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอแค้นใจยิ่งนัก พวกเขารีบไปดูให้เห็นกับตาว่าเจอเจ้าเด็กนั่นแล้วจริงๆ บ่าวก็รายงานนายท่านว่า “ท่านเฉินไฮ่ผิงกับท่านเฉินเหวินเคอมาขอรับ”

“ไล่ไปซะ” เฉินม่านอิ๋งสั่งอย่างไม่ไว้หน้า เฉินจงกุ้ยจึงบอกว่า “ข้าจะไปพบพวกเขาสักหน่อย เจ้าก็รออยู่นี่แหละ ข้าไปไม่นานหรอก”

“เจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า เฉินจงกุ้ยจึงเดินออกไปพบน้องๆ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบน้องทั้งสองแต่ถึงอย่างไรก็เป็นน้องพ่อเดียวกัน จะตัดญาติขาดมิตรกันก็น่าเกลียดเกินไป เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอเห็นพี่ใหญ่เดินมาก็รีบถามทันที “ได้ข่าวว่าเจอหลานแล้วข้าจึงรีบมาดูขอรับ”

“อืม เจอแล้ว” เฉินจงกุ้ยพยักหน้า เฉินไฮ่ผิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พึมพำว่า “มันยังไม่ตายอีกรึ? พิษนั่นสมควรที่จะทำให้มันตายไปแล้วซิ”

เฉินเหวินเคอรีบทำทีเซไปกระแทกพี่รอง “โอย”

“อ่ะ!” เฉินไฮ่ผิงจับน้องสามประคองไว้ตามสัญชาตญาณ เฉินจงกุ้ยได้ยินที่น้องรองพูดไม่ถนัดนัก แต่เขาก็ทำหน้าเฉยไม่กระโตกกระตากอะไร ทำท่าเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย ถามว่า “น้องสาม เจ้าเป็นอะไรรึ?”

“ข้ารู้สึกเวียนหัวขอรับ” เฉินเหวินเคอบอกแสร้งทำท่าให้สมจริง เฉินไฮ่ผิงจึงรู้ตัวว่าเมื่อกี้เขาพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป เขาเหลือบมองพี่ใหญ่ เห็นท่าทางพี่ใหญ่ก็ปกติดี คงไม่ได้ยินที่เขาพูดเมื่อกี้กระมัง

“เช่นนั้นก็เชิญท่านหมอมาตรวจสักหน่อยเถอะ หากเจ็บไข้ได้ป่วยจะได้รีบรักษา” เฉินจงกุ้ยบอกอย่างมีน้ำใจ เฉินเหวินเคอพยักหน้า “เดี๋ยวข้ากลับบ้านไปจะให้คนไปตามหมอขอรับ”

เฉินไฮ่ผิงจึงโล่งอกที่พี่ใหญ่ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาเผลอพูดเมื่อครู่ “น้องสามไม่ค่อยสบาย เช่นนั้นข้าพาเขาไปส่งก่อนนะขอรับ”

“อืม ไปเถอะ” เฉินจงกุ้ยบอก เฉินไฮ่ผิงก็ประคองน้องสามเดินออกจากจวนไป เฉินเหวินเคอก็ทำท่าทางให้สมจริง

เดินออกไปพร้อมกับพี่รอง เฉินจงกุ้ยเรียกพ่อบ้านเหลียงเข้ามากระซิบสั่งว่า “ส่งคนไปจับตาดูน้องรองกับน้องสามให้ดี ข้าคิดว่าพวกเขาอาจจะทำอะไรไม่ดีกับลูกข้าก็ได้ เมื่อกี้ข้าได้ยินเขาพูดถึงพิษ”

“ขอรับ” พ่อบ้านเหลียงรับคำสั่งแล้วส่งคนไปจับตาดูน้องทั้งสองของนายท่านอย่างลับๆ

วันต่อมา เฉินจงกุ้ยก็ไปทำงาน ฮ่องเต้ดีใจที่เฉินจงกุ้ยสามารถมาทำงานได้แล้ว แต่เสนาบดีไฉฟู่ไม่ดีใจเลยสักนิด น่าจะป่วยจนไม่อาจกลับมาทำงานได้ตลอดไปยิ่งนัก! หึ!

เมื่อได้ลูกคืนมาเฉินม่านอิ๋งก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ นางกินได้มากขึ้น สีหน้าผ่องใสขึ้นมาก ติงเฟิ่งเหล่ยมาตรวจอาการก็ดีใจมากที่ฮูหยินเฉินอาการดีขึ้น เขาตรวจคุณชายน้อยด้วย พบว่าคุณชายน้อยแข็งแรงดีก็ดีใจมาก เฉินม่านอิ๋งจึงพูดกับติงเฟิ่งเหล่ยว่า “ข้าคงต้องรบกวนท่านหมอให้ช่วยแพร่ข่าวออกไปว่าลูกชายข้าอ่อนแอใกล้ตาย คาดว่าคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงปี”

“หือ?” ติงเฟิ่งเหล่ยงงๆ เฉินม่านอิ๋งพูดต่อ “หากคุณชายน้อยแข็งแรงดีคงตกเป็นเป้าสังหารของกลุ่มคนที่ไม่หวังดีกับสามีข้า เรื่องเช่นนี้ท่านคงเข้าใจกระมัง”

“อ่อ” ติงเฟิ่งเหล่ยเข้าใจ “แต่หากคนอื่นเห็นว่าคุณชายน้อยแข็งแรงดี ข่าวนี้ก็ไม่อาจปิดฟ้าได้น่ะซิ”

“วันหน้าค่อยบอกว่าคุณชายน้อยหายป่วยก็ได้นี่นา” เฉินม่านอิ๋งบอก ติงเฟิ่งเหล่ยพยักหน้าเข้าใจ “อ่อ”

“เช่นนั้นข้าจะช่วยเท่าที่ช่วยได้” เขาบอกอย่างมีน้ำใจ เฉินม่านอิ๋งยิ้มให้ ติงเฟิ่งเหล่ยก็สั่งยาให้ฮูหยินแล้วลากลับไป

เฉินม่านอิ๋งมองลูก อุ้มลูกมากอดไม่ยอมวางเลยทีเดียว เฉินมู่อิ๋งก็หลับอยู่ในอ้อมอกท่านแม่อย่างมีความสุข เขาไม่ร้องไห้โยเยอีกแล้ว เพราะจิตวิญญาณของเขาเติบโตแล้ว การเฝ้ามองผู้คนมากมายในช่วงหลายวันนั้นทำให้จิตวิญญาณของเขาเติบโตเกินเด็ก เรียกว่าจิตวิญญาณเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กก็ได้

เฉินม่านอิ๋งมองลูก รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ลูกไม่ร้องไห้โยเยเลย หากว่านางจำลูกไม่ได้ก็คงคิดว่าเด็กคนนี้อาจจะไม่ใช่ลูกของนางกระมัง แต่เพราะปานแดงรูปลูกท้อตรงหลังหูซ้ายทำให้นางจำได้แม่นว่านี่คือลูกของนาง คนอื่นแทบไม่ได้จับลูกของนางเลยจึงไม่รู้ว่าลูกมีปานแดงที่หลังหูซ้าย อีกทั้งต่างหูไพลินข้างนั้นก็ยังติดอยู่ที่หูซ้าย สองสิ่งนี้ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของนางจริงๆ

แม้จะแปลกใจแต่นางก็ไม่คิดอะไรมากนัก นางเลี้ยงลูกไปเรื่อยๆ ไม่ยอมให้ใครอุ้มเลยนอกจากสามี สาวใช้ก็คอยช่วยทำงานอย่างอื่นแทน อย่างเช่นเก็บผ้าไปซัก เตรียมน้ำอาบ เตรียมอาภรณ์ ฯลฯ

วันคืนผ่านไปโดยที่เสนาบดีเฉินไม่ได้จัดฉลองเดือนให้ลูกชายเพราะล่วงเลยมาแล้ว อีกทั้งเขาต้องการให้ผู้คนเข้าใจว่าลูกของเขาอ่อนแอใกล้ตาย หากให้คนอื่นเห็นลูก เช่นนั้นข่าวที่ว่าคุณชายน้อยของจวนเสนาบดีเฉินอ่อนแอย่อมไม่เป็นความจริง ดังนั้นเขาจึงเลี้ยงลูกให้อยู่แต่ในจวน สาวใช้บ่าวไพร่ล้วนปิดปากเงียบ ใครถามเกี่ยวกับคุณชายน้อยก็บอกว่าคุณชายน้อยอ่อนแอยิ่งนัก สามวันดีสี่วันไข้

บางคนที่หวังดีก็แนะนำให้ท่านเสนาบดีเฉินทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เฉินจงกุ้ยก็ทำตามอย่างไม่เกี่ยงงอน ก็พิธีเช่นนี้ไม่มีอะไรเสียหายนี่นา ส่วนคนที่ไม่หวังดีก็คอยพูดกระทบกระเทียบบ่อยครั้งว่าให้เสนาบดีเฉินทำใจวันไหนคุณชายน้อยจะตายก็ไม่อาจรู้ได้ ปุ๊บปับตายไปก็อย่าได้เสียใจมาก เฉินจงกุ้ยก็ไม่ตอบโต้อะไร เขาฟังคำพูดเหล่านั้นเหมือนลมผ่านหู

เมื่ออายุเข้าเดือนที่ 8 เฉินมู่อิ๋งก็เริ่มพูด ส่งเสียงเป็นคำๆ อ่อแอ้ๆ เฉินม่านอิ๋งดีใจมาก สอนลูกเรียกแม่ทั้งวันเลยทีเดียว เฉินจงกุ้ยปลื้มใจมากที่ลูกเริ่มหัดพูดแล้ว

ครั้นเข้าเดือนที่ 9 เฉินมู่อิ๋งก็เริ่มยืนและหัดเดิน เฉินม่านอิ๋งดีใจยิ่งนัก เฉินจงกุ้ยก็ปลื้มใจมากที่ลูกหัดเดิน

เมื่อครบปี เฉินมู่อิ๋งก็เดินเตาะแตะๆ ไปมาอยู่ในเรือน สาวใช้ล้วนประหลาดใจมากที่คุณชายน้อยเลี้ยงง่ายเหลือเกิน ไม่โยเย ไม่งอแง ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน ฮูหยินก็ชอบเอาตำรามาอ่านให้คุณชายน้อยฟังบ่อยๆ บางคราวก็ท่องกลอนเป็นท่วงทำนองไพเราะ เฉินมู่อิ๋งก็ฟังอย่างเพลิดเพลิน เขาชอบเสียงของท่านแม่มาก เสียงของท่านแม่ไพเราะที่สุด เขาฟังเพลินจนหลับไปบ่อยๆ

เมื่ออายุครบปี เฉินจงกุ้ยก็จัดงานฉลองเล็กๆ ภายในจวน เชิญคนสนิทมาร่วมงานไม่กี่คน เฉินม่านอิ๋งก็พาลูกออกมาพบปะผู้คนชั่วประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็พาลูกกลับเรือนไป ให้เหตุผลกับแขกที่มาร่วมงานว่าคุณชายน้อยไม่ค่อยสบายนัก

Chapter 6

เข้าเฝ้าฮ่องเต้

เฉินมู่อิ๋งก็ต้องร่วมเล่นงิ้วกับท่านแม่ แกล้งไอค่อกแค่กๆ ให้สมจริง เขาเข้าใจเหตุผลที่ท่านแม่ปล่อยข่าวว่าเขาอ่อนแอใกล้ตาย เพราะคนใกล้ตายย่อมไม่ตกเป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดี นี่เป็นการปกป้องเขาวิธีหนึ่ง ใครใช้ให้เขาเกิดมาเป็นลูกของเสนาบดีเฉินที่ฮ่องเต้โปรดปรานล่ะ การเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ก็เหมือนดาบสองคม ย่อมมีคนเกลียดชังจนอยากฆ่าให้ตาย

ฮ่องเต้ก็ให้ขันทีนำของขวัญมามอบให้เสนาบดีเฉิน เฉินจงกุ้ยรับของขวัญอย่างซาบซึ้งใจ ของที่ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่เขาล้วนเป็นของล้ำค่า ยิ่งทำให้ผู้คนที่เกลียดชังเสนาบดีเฉินยิ่งเกลียดชังมากขึ้นไปอีก

เฉินไฮ่ผิงก็หาโอกาสวางยาหลานอีกครั้ง เฉินเหวินเคอก็คอยช่วยหาโอกาส แต่ก็ยังไม่สบโอกาสเลย เขาแอบกระซิบกับพี่รองว่า “พิษคราวนี้คงทำให้มันตายนะพี่รอง”

“ตายแน่ๆ คราวนั้นข้าถูกคนหลอก บอกว่าเป็นพิษหนึ่งจันทราของเฒ่าร้อยพิษของหุบเขาร้อยพิษ ตอนหลังข้าถึงได้รู้ว่าเฒ่าร้อยพิษเลิกทำยาพิษมาหลายปีแล้ว ส่วนเจ้าคนที่เอาของมาหลอกข้า ข้าก็ส่งมันไปหายมบาลแล้ว” เฉินไฮ่ผิงกระซิบบอกแล้วสั่งว่า “พวกเราต้องหาโอกาสวางยานังแพศยานั่นกับเจ้าเด็กนั่นให้ได้!”

“ข้าก็หาโอกาสอยู่ แต่นังแพศยานั่นก็รีบพาลูกกลับเรือนไปไวเสียจริง ข้าจะตามไปก็ไม่เหมาะเท่าไหร่ ประเดี๋ยวเกิดเข้าไปแล้วถูกนังนั่นใส่ความว่าพวกเราจะไปปลุกปล้ำนางขึ้นมาจะยิ่งแย่กว่านี้อีก” เฉินเหวินเคอกระซิบเสียงเบายิ่ง เฉินไฮ่ผิงกำมือแน่นอย่างไม่สบอารมณ์ เขาอุตส่าห์ตั้งใจมาหาโอกาสวางยาแต่กลับยังไม่มีโอกาสเลย ฮึ่ม!

ขุนนางคนอื่นเดินไปคุยกับสองพี่น้อง ทั้งสองจึงจำใจคุยกับขุนนางคนนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งงานเลี้ยงจบลงผู้คนก็แยกย้ายกันกลับไป เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอก็กลับไปอย่างผิดหวังยิ่ง พวกเขามาเสียเทียวโดยแท้ ฮึ่ม!

วันคืนผ่านไปไวอย่างยิ่ง เฉินมู่อิ๋งอายุ 6 ขวบแล้ว เขาก็ยังคงเป็นคุณชายน้อยอ่อนแอของจวนเสนาบดีเฉินเหมือนเช่นเดิม สาวใช้แปลกใจมากที่คุณชายน้อยไม่ซุกซนเหมือนเด็กคนอื่นๆ วันๆ เอาแต่อ่านตำราอยู่กับฮูหยิน ฮูหยินก็สอนลูกหัดอ่านหัดเขียน เฉินมู่อิ๋งก็หัดอ่านตำราทั้งๆ ที่เขาอ่านได้หมดแล้ว สิ่งที่เขาชอบทำก็คือหัดเขียนเพราะร่างกายของเขายังเป็นเด็ก ดังนั้นแรงจะจับพู่กันเขียนได้คล่องแคล่วเหมือนผู้ใหญ่จึงยังทำไม่ได้ แต่เขาก็เขียนอักษรได้หลายตัว แม้จะยังไม่สวยงามก็ตาม เฉินม่านอิ๋งภูมิใจมาก นางสอนลูกไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้เบื่อ

ฮ่องเต้ก็สั่งให้เสนาบดีเฉินพาลูกไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายใหญ่กับองค์ชายเก้า เขาวางแผนให้เด็กๆ สนิทสนมกันไว้ วันหน้าเฉินมู่อิ๋งจะได้เป็นกำลังสนับสนุนแก่องค์รัชทายาท ซึ่งเขาวางตัวองค์ชายใหญ่เป็นองค์รัชทายาทแต่ยังไม่ได้แต่งตั้ง รอให้องค์ชายใหญ่เติบโตจนถึงพิธีสวมหมวก* หลังจากนั้นก็จะทำพิธีแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นองค์รัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ต่อจากเขา

(*พิธีสวมหมวก คือพิธีที่จะทำเมื่อเด็กชายอายุครบ 15 ปี แสดงการบรรลุนิติภาวะของผู้ชายในสมัยโบราณ)

เฉินจงกุ้ยไม่อาจขัดคำสั่งได้จึงจำใจต้องพาลูกไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนกับองค์ชายทั้งสอง เมื่อเฉินม่านอิ๋งรู้ว่าลูกต้องเข้าวังจึงจับลูกแต่งตัวให้สมฐานะลูกชายเสนาบดีเฉิน หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วนางก็พาลูกไปส่งขึ้นรถม้าเข้าวังพร้อมกับสามี นางยืนโบกมืออยู่หน้าจวน เฉินมู่อิ๋งก็โบกมือให้ท่านแม่ จนรถม้าจากมาไกลลิบแล้วเขาจึงหดหน้าเข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ ท่านพ่ออย่างเรียบร้อย

“กลัวหรือไม่?” เฉินจงกุ้ยถามลูก เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “ไม่กลัวขอรับ”

“ดีๆ” เฉินจงกุ้ยยิ้ม ก่อนหน้านี้เขาสอนลูกคารวะฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์ให้ลูกอย่างดีแล้ว เฉินมู่อิ๋งก็ทำตามได้อย่างถูกต้องไม่มีผิดพลาด เฉินมู่อิ๋งมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า เขามองดูเส้นทางแล้วจดจำไว้ในใจ ตั้งแต่เล็กจนโตถึงป่านนี้เขาออกไปนอกจวนน้อยยิ่งกว่าน้อย อีกทั้งเรือนก็กว้างขวางเขาจะวิ่งอยู่ในเรือนอย่างไรก็ได้ แต่เมื่อออกมานอกเรือนเขาก็แสร้งทำท่าอ่อนแอหลอกลวงบ่าวที่ถูกคนไม่หวังดีซื้อตัวเอาไว้ เขาไม่กระโตกกระตากเผยตัวบ่าวพวกนั้น แต่เขาใช้บ่าวพวกนั้นส่งข่าวไปหาศัตรูอย่างที่เขาวางแผนเอาไว้ในใจ

บ่าวพวกนั้นก็คอยส่งข่าวไปว่าคุณชายน้อยร่างกายอ่อนแอต้องกินยาทุกวัน ร่างกายก็ผอมแห้งอย่างยิ่ง ออกมานอกเรือนก็ต้องให้สาวใช้อุ้มออกมา เดินเหินก็ไม่ค่อยมีแรง ส่วนใหญ่แล้วคุณชายน้อยมักจะเก็บตัวอยู่ในเรือนมากกว่าออกมาข้างนอก

คนไม่หวังดีก็ฟังข่าวจากบ่าวพวกนั้น พลางคิดหาหนทางฆ่าสองแม่ลูกให้ได้ หลังจากฆ่าสองแม่ลูกได้แล้วก็ค่อยฆ่าพี่ใหญ่ให้ตกตาย

พวกเขายังไม่อาจฆ่าพี่ใหญ่ตอนนี้ได้ ไม่เช่นนั้นทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะตกเป็นของเฉินมู่อิ๋งซึ่งเป็นทายาทสืบสกุล หากทรัพย์สมบัติตกเป็นของเฉินมู่อิ๋งแล้ว เฉินม่านอิ๋งย่อมดูแลทรัพย์สมบัติแทนลูกชาย ญาติๆ คนไหนก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องน่ะซิ ต้องฆ่าสองแม่ลูกก่อน ฆ่าเฉินมู่อิ๋งให้ตกตายก่อน จากนั้นก็ฆ่าเฉินม่านอิ๋ง แล้วก็ค่อยฆ่าพี่ใหญ่ เมื่อพี่ใหญ่ตกตายแล้ว ไร้คนสืบสกุลทีนี้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นพวกเขาก็จะยื่นมือเข้ามารับช่วงต่อได้อย่างขาวสะอาดยิ่ง!

พวกเขายังคงหาทางฆ่าอย่างลับๆ ต่อไป แต่ก็ยังไม่สบโอกาสเสียที สองแม่ลูกน้อยนักที่จะออกจากจวน อีกทั้งออกมาแต่ละครั้งก็มีคนคุ้มกันหนาแน่นยากจะลงมือได้ แต่ไม่ว่าจะยากเพียงใดพวกเขาก็ยังคงหาโอกาสอย่างไม่ลดละ

รถม้าแล่นไปถึงวังหลวง เฉินจงกุ้ยก็พาลูกเดินเข้าวัง พวกเขาไม่มีสิทธิ์ขี่ม้าในวัง เมื่อเข้าวังไปแล้วต้องเดินไปจนถึงท้องพระโรง สาวใช้ก็ให้คุณชายน้อยขี่หลังพาเดินไป เฉินจงกุ้ยเดินอยู่ข้างๆ ลูก จนกระทั่งถึงท้องพระโรงเฉินมู่อิ๋งก็ลงจากหลังสาวใช้ เฉินจงกุ้ยจับมือลูกจูงเดินเข้าไปในท้องพระโรง สาวใช้ก็รออยู่หน้าท้องพระโรง เฉินมู่อิ๋งมองท้องพระโรงโอ่อ่าแล้วเปรียบเทียบกับท้องพระโรงของแคว้นซีเอ่อที่เคยเห็นจากความทรงจำของราชครูผู้นั้น เขามองๆ แล้วคิดว่าการตกแต่งแตกต่างกัน สวยงามคนละแบบ

เฉินจงกุ้ยยืนรออยู่กลางท้องพระโรง เฉินมู่อิ๋งก็ยืนรอ ยืนไปยืนมาจนเมื่อยขาเขาจึงนั่งกับพื้น เฉินจงกุ้ยก็ไม่ห้ามเพราะลูกยังเด็ก อีกทั้งไม่มีใครถือสาเอาความกับเด็กตัวเท่านี้หรอก จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนว่า “ฮ่องเต้เสด็จ—”

เฉินมู่อิ๋งจึงลุกขึ้นยืน ปัดๆ อาภรณ์แล้วยืนตัวตรงอยู่ข้างๆ ท่านพ่อ รอจนเห็นชายอาภรณ์สีเหลืองก้าวเข้ามาก็คุกเข่าลงไปพร้อมกับท่านพ่อ พลางพูดพร้อมๆ กับท่านพ่อว่า “ถวายพระพร ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”

“ลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้สั่งพลางนั่งลงบนบัลลังก์ เฉินจงกุ้ยลุกขึ้นยืน เฉินมู่อิ๋งก็ยืนตาม เขาแอบเหลือบมองหน้าฮ่องเต้นิดๆ อย่างอยากรู้อยากเห็นว่าฮ่องเต้มีหน้าตาเช่นไร ฮ่องเต้มองเด็กชายข้างเสนาบดีเฉิน พูดว่า “นี่คงเป็นเฉินมู่อิ๋งซินะ”

“พะย่ะค่ะ” เฉินจงกุ้ยตอบ ฮ่องเต้สั่ง “ไหน เงยหน้าให้ข้าดูชัดๆ ซิ”

เฉินมู่อิ๋งจึงเงยหน้าขึ้น เขาได้มองหน้าฮ่องเต้โดยไม่ต้องแอบมองอีกแล้ว อืม ฮ่องเต้ก็นับว่าหน้าตาหล่อเหลาดี

ฮ่องเต้มองพินิจเฉินมู่อิ๋งอยู่นาน เห็นเขาไม่มีท่าทีหวาดกลัวก็นึกชมในใจ อืม กล้าหาญดี

“พาเขาไปหาราชครู” ฮ่องเต้สั่งขันที ขันทีรับคำสั่ง “พะย่ะค่ะ”

แล้วขันทีก็เดินไปหาเฉินมู่อิ๋งสั่งว่า “ตามข้ามาซิ”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งเดินตามขันทีไป ฮ่องเต้ก็คุยกับเสนาบดีเฉินไปเรื่อยๆ

ขันทีเดินนำไปจนถึงตำหนักหลังหนึ่ง เฉินมู่อิ๋งเห็นชายคนหนึ่งอายุใกล้เคียงกับท่านพ่อ แต่งตัวภูมิฐาน จึงเดาว่าคนๆ นี้คงเป็นราชครูกระมัง

“นี่นะรึเฉินมู่อิ๋ง?” ราชครูพูดขึ้นมา มองเด็กชายอย่างพินิจ เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะอย่างอ่อนน้อม “ท่านราชครู”

“มานั่งนี่ซิ” ราชครูชี้มือไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง เฉินมู่อิ๋งเดินเข้าไปนั่ง ขันทีก็เดินออกไป ราชครูมองเฉินมู่อิ๋งบอกว่า “รออีกหน่อย เดี๋ยวองค์ชายใหญ่กับองค์ชายเก้าก็เสด็จมาแล้ว”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพูดแล้วมองตำราที่อยู่บนโต๊ะ ราชครูมองพินิจเฉินมู่อิ๋งไปเรื่อยๆ เด็กคนนี้ไม่มีท่าทางหวาดกลัวสักนิด สมกับเป็นลูกของเสนาบดีเฉิน มีความเป็นเจ้าคนนายคนดี

“ฮองเฮาเสด็จ—” เสียงทหารตะโกนบอก “องค์ชายหยางจ้าวฉวนเสด็จ—”

“องค์ชายหยางซูหลานเสด็จ—”

ราชครูลุกขึ้นรับเสด็จ เฉินมู่อิ๋งก็ยืนขึ้นเช่นกัน เขาแอบมองคนที่กำลังก้าวเข้ามา เห็นชายกระโปรงสีเปลือกมังคุดพลิ้วไหวนำเข้ามา

“อ่อ นี่นะรึลูกชายเสนาบดีเฉินน่ะ” ฮองเฮาพูดพลางมองเด็กชายที่ยืนอยู่ในห้อง ราชครูตอบ “พะย่ะค่ะ”

“เอาล่ะ เล่นกันดีๆ นะ ฉวนเอ๋อร์ก็ดูแลน้องด้วยล่ะ” ฮองเฮาบอก ประโยคหลังนั้นนางบอกกับองค์ชายใหญ่

องค์ชายใหญ่รับคำ “พะย่ะค่ะ”

ฮองเฮาก็เสด็จกลับไป เฉินมู่อิ๋งมองตามฮองเฮาไปแล้วก็เบนสายตามามององค์ชายทั้งสอง องค์ชายใหญ่ถ้าจำไม่ผิด แก่กว่า 5 ปี ส่วนองค์ชายเก้านั้นแก่กว่า 3 ปี ตอนนี้เขาอายุ 6 ปี หมายความว่าองค์ชายใหญ่อายุ 11 ปี ส่วนองค์ชายเก้าก็อายุ 9 ปีซินะ

“นี่นะรึลูกชายเสนาบดีเฉิน” องค์ชายใหญ่มองเฉินมู่อิ๋งขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่ง องค์ชายเก้ายิ้มให้ “อิ๋งตี้**(莹弟)เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าองค์ชายเก้า เรียกข้าว่าหลานเกอ(岚哥)***เถอะ”

(**อิ๋งตี้ 莹弟 แปลว่าน้องอิ๋ง 弟 มาจาก弟弟 ตีตี้ แปลว่าน้องชาย)

(***หลานเกอ岚哥แปลว่าพี่หลาน 哥 มาจาก 哥哥 แปลว่าพี่ชาย)

“หลานเกอ” เฉินมู่อิ๋งเรียกตามอย่างว่าง่าย องค์ชายเก้ายิ้มพอใจ องค์ชายใหญ่พูดขึ้นมาว่า “จะให้ข้าเรียกเจ้าว่า อิ๋งเอ๋อร์****(莹儿) ก็ฟังแล้วเหมือนสตรียิ่งนัก เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่า มู่ตี้(穆弟น้องมู่) ดีกว่า”

(**** เอ๋อร์儿 เป็นคำต่อท้าย ส่วนมากผู้ใหญ่มักจะใช้เรียกต่อท้ายชื่อของลูกๆ)

เฉินมู่อิ๋งทำหน้าอย่างไม่ชอบใจมาก ก็คำว่า มู่ตี้(穆弟) นั้นออกเสียงเหมือนกับคำว่า มู่ตี้(墓地) มาก ซึ่งมู่ตี้ (墓地) แปลว่าสุสาน ฟังแล้วอัปมงคลพิกล “…”

องค์ชายเก้าก็ทำหน้าไม่ค่อยถูกเช่นกัน ราชครูยิ่งเบิกตาโต เขากระแอมไอสองที “แค่กๆ” แล้วพูดว่า เรียกมู่ตี้(穆弟) คงไม่ค่อยเหมาะนักพะย่ะค่ะ ฟังแล้วเหมือนกับ มู่ตี้(墓地) ที่หมายความว่าสุสานมาก”

“หึ จะมู่ไหนข้าก็จะเรียกเช่นนี้แหละ หรือจะให้ข้าเรียกเขาว่า อิ๋งเอ๋อร์ (莹儿) รึ? ฟังแล้วเหมือนชื่อของสตรียิ่งนัก” องค์ชายใหญ่พูดพลางยกแขนกอดอกอย่างเอาแต่ใจ ทำให้คนอื่นๆ ในห้องล้วนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนมาก

“ท่านเรียกเหมือนองค์ชายเก้าก็ได้นี่พะย่ะค่ะ” ราชครูบอก องค์ชายใหญ่เชิดหน้า “ข้าไม่ชอบเรียกเหมือนคนอื่น ข้าจะเรียกเช่นนี้แหละ มู่ตี้ๆๆๆๆๆ”

เฉินมู่อิ๋งทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร องค์ชายใหญ่เป็นองค์ชาย อีกหน่อยจะได้เป็นองค์รัชทายาท ส่วนเขาเป็นแค่ลูกขุนนาง หากขัดแย้งกับองค์ชายใหญ่ย่อมไม่ใช่เรื่องดี ก็แค่ชื่อ ช่างมันเถอะ

ราชครูอ่อนใจ ไม่พูดอะไรอีก องค์ชายใหญ่นั้นดื้อรั้นเป็นที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเอง “เช่นนั้นก็เริ่มเรียนเถอะ”

“ดีๆ ข้าชอบเรียน” องค์ชายเก้าพยักหน้า เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะ องค์ชายใหญ่ก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ ขันทีประจำตัวก็วางเครื่องเขียนบนโต๊ะ เครื่องเขียนขององค์ชายใหญ่นั้นเรียกว่าล้ำค่าสมฐานะองค์ชาย ส่วนขององค์ชายเก้าก็ล้ำค่า เป็นรององค์ชายใหญ่เล็กน้อย ส่วนที่วางอยู่บนโต๊ะของเฉินมู่อิ๋งนั้นจัดว่าเป็นเครื่องเขียนระดับสามัญทั่วไป หาซื้อได้ง่าย ซึ่งเฉินมู่อิ๋งก็ไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องเครื่องเขียนมากนัก แค่เขียนได้ก็พอแล้ว

“วันนี้ข้าจะสอนเรื่องการปกครอง” ราชครูบอก ขันทีก็เดินไปหยิบตำราการปกครองไปวางตรงหน้าเด็กทั้งสามคนละม้วน เฉินมู่อิ๋งเปิดตำรา อ่านตำราอยู่ในใจ ตำรานี้เขาเรียนมาแล้ว เรียนตอนที่เฝ้ามองอดีตของราชครูของแคว้นซีเอ่อ เขาจำเนื้อหาในตำรานี้ได้หมดแล้ว แต่ก็ทำเฉยไม่พูดอะไร ช่วงเวลาที่เฝ้ามองชีวิตผู้คนทั้งหลายนั้นทำให้เขารู้จักวางตัวเป็นคนโง่ การทำตัวอวดฉลาดเกินไปไม่ใช่เรื่องดี

“เอาล่ะ……….” ราชครูเริ่มสอน เด็กทั้งสามก็ฟัง องค์ชายใหญ่ไม่ค่อยตั้งใจฟังนัก เขานั่งอ้าปากหาวครั้งแล้วครั้งเล่า องค์ชายเก้าตั้งใจฟังอย่างยิ่ง ส่วนเฉินมู่อิ๋งก็ฟังผ่านหู ท่าทางเฉยๆ ไม่ยุกยิกซุกซน ราชครูแอบชมในใจ นับว่าเสนาบดีเฉินเลี้ยงลูกได้ดี รู้จักวางตัวตั้งแต่เล็กๆ

องค์ชายใหญ่เห็นสายตาชื่นชมของราชครูก็เหล่มองตาม เห็นสายตาตกที่เฉินมู่อิ๋งก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ เขารู้สึกไม่ค่อยชอบขี้หน้าเฉินมู่อิ๋งตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ดังนั้นเขาจึงจงใจเรียกเฉินมู่อิ๋งว่า ‘มู่ตี้’

หลังจากเรียนเสร็จแล้ว องค์ชายใหญ่ก็บิดขี้เกียจ องค์ชายเก้าก็ยังเขียนอักษรอยู่ เฉินมู่อิ๋งมองสองพี่น้องอย่างพิจารณาอยู่ในใจ

คนพี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องเรียน อีกทั้งยังชอบวางท่าเย่อหยิ่ง ส่วนคนน้องนั้นตั้งใจเรียน ท่าทางก็เป็นมิตรดี นี่คือสิ่งที่เขาตีความได้จากการสังเกตสองพี่น้องคู่นี้

“อิ๋งตี้ เจ้าไปดื่มน้ำชากินขนมที่ตำหนักข้าก่อนเถอะ” องค์ชายเก้าชวน ยิ้มแย้มให้ องค์ชายใหญ่พูดขัดว่า “เสด็จแม่ไม่ชอบให้คนอื่นไปที่ตำหนัก”

“เช่นนั้น อิ๋งตี้ก็ไปนั่งที่ศาลานั่นกันเถอะ จือกงกง ยกขนมกับน้ำชาไปที่นั่นที” องค์ชายเก้าสั่งพลางชี้ไปที่ศาลาด้านข้างตำหนัก จือกงกงมองราชครูทีหนึ่ง ราชครูพยักหน้า เด็กๆ สมควรสนิทกันไว้เป็นเรื่องดี ถึงแม้เฉินมู่อิ๋งจะไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่ก็เป็นลูกชายคนเดียวของเสนาบดีเฉิน วันหน้าย่อมเข้าสอบเป็นขุนนางแน่นอน องค์ชายใหญ่ องค์ชายเก้าสนิทกับข้าราชบริพารในอนาคตย่อมเป็นเรื่องดี

จือกงกงจึงสั่งขันทีลูกน้องให้ยกขนมน้ำชาไปตั้งที่ศาลา องค์ชายเก้าก็ลุกไปคว้ามือเฉินมู่อิ๋งดึงให้ไปที่ศาลาด้วยกัน “ไปกันเถอะอิ๋งตี้”

“เอ่อ…” เฉินมู่อิ๋งไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธอะไรก็ถูกดึงจนต้องลุกตามไปแล้ว องค์ชายใหญ่มองอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เขามองตามทั้งสองไปไม่คิดจะตามไปด้วย ราชครูก็นั่งอยู่ที่โต๊ะ รอให้ขันทีของฮองเฮามารับองค์ชายทั้งสองกลับตำหนัก

“มาๆ กินขนมกัน” องค์ชายเก้าชวน เขานั่งลงพลางดึงเฉินมู่อิ๋งให้นั่งข้างๆ เฉินมู่อิ๋งนั่งลงอย่างไม่อาจขัดได้ องค์ชายเก้าเป็นองค์ชาย ส่วนเขาเป็นแค่ลูกขุนนาง ไม่ว่าจะอย่างไรก็อย่าได้มีปัญหากับองค์ชายดีที่สุด

“นี่ๆ อันนี้อร่อยนะ” องค์ชายเก้าหยิบขนมยื่นให้ เฉินมู่อิ๋งรับมา “ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ”

“นี่ๆ ต่อไปนี้ห้ามเจ้าพูดกับข้าเหมือนเช่นนี้อีกนะ เจ้าเป็นน้องข้าแล้ว คำพวกนั้นข้าฟังจนเบื่อแล้ว” องค์ชายเก้าสั่งอย่างเอาแต่ใจ เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “หากข้าน้อยพูดคำสามัญกับท่าน ข้าน้อยคงถูกตัดหัววันละหลายๆ หนพะย่ะค่ะ”

“หึ!” องค์ชายเก้าแค่นเสียงอย่างไม่ชอบใจ “เช่นนั้นตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วยเจ้าก็พูดธรรมดากับข้าล่ะกัน”

“ข้าน้อยไม่กล้าพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ องค์ชายเก้ามองอย่างโมโหขึ้นมา “เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้ารึ!”

“ไม่กล้าพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ องค์ชายเก้าสั่งอย่างเอาแต่ใจ “เช่นนั้นก็ทำตามที่ข้าสั่ง ไม่เช่นนั้นข้าจะให้คนจับเจ้าไปโบย”

“ก็ได้พะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งเออออตาม องค์ชายเก้ายิ้มพอใจ ยื่นขนมให้อีกชิ้นหนึ่ง “กินซิ ฝีมือพ่อครัววังหลวงไม่ใช่จะได้กินง่ายๆ นะ”

“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งรับขนมอีกชิ้นมาถือไว้แล้วกัดขนมชิ้นแรกคำหนึ่ง รสชาตินั้นแย่กว่าฝีมือท่านแม่เล็กน้อย ของท่านแม่จะนุ่มกว่านี้ หอมกว่านี้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดโอ้อวดออกไป องค์ชายเก้ามองแล้วถาม “เป็นอย่างไร? อร่อยมากใช่ไหม?”

“พะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ กัดขนมอีกคำ องค์ชายเก้ายิ้มพอใจ เขาหยิบขนมมากิน เขาชอบเฉินมู่อิ๋งมาก เด็กคนนี้ดูแล้วว่านอนสอนง่าย น่าจะเป็นเพื่อนเล่นกับเขาได้ดีทีเดียว เขาชอบเฉินมู่อิ๋งตรงที่เฉินมู่อิ๋งไม่ได้เข้ามาประจบประแจงเขาเหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่พอเห็นว่าเขาเป็นองค์ชายก็เข้ามาประจบประแจงเอาใจ เขาไม่ชอบเด็กเช่นนั้น เขาต้องการเพื่อนที่จริงใจจริงๆ

ขณะที่องค์ชายเก้ากินขนมหมดไปหนึ่งชิ้น จือกงกงก็บอกว่า “เหอกงกงมาแล้วพะย่ะค่ะ”

“อืม” องค์ชายเก้าพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน “อิ๋งตี้ พรุ่งนี้มาอีกนะ”

“พะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า วางขนม ลุกขึ้นยืนกุมมือส่งเสด็จ องค์ชายเก้าก็เดินจากไป เมื่อองค์ชายใหญ่และองค์ชายเก้าเสด็จกลับไปแล้วราชครูก็ให้คนพาเฉินมู่อิ๋งไปส่ง เฉินมู่อิ๋งได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อีกครั้ง ฮ่องเต้ก็ถามว่า “เรียนเป็นอย่างไร?”

“เอ่อ…ดีพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบกลางๆ ฮ่องเต้ยิ้ม “คงจะน่าเบื่อสำหรับเจ้าซินะ”

“พะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ ก็น่าเบื่ออยู่บ้างตรงที่เนื้อหาในตำรานั้นเขารู้หมดแล้ว ฮ่องเต้ยิ้มปราณี “เจ้าตอบตรงดี ข้าชอบ”

เฉินมู่อิ๋งไม่รู้จะพูดอะไรจึงเงียบเอาไว้ ฮ่องเต้หันไปมองเสนาบดีเฉิน สั่งว่า “พามาเรียนกับราชครูทุกวันเถอะ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก” เฉินจงกุ้ยกุมมือคารวะ เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะตาม ฮ่องเต้ยิ้ม “เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้วข้ากลับล่ะ”

เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน แล้วเดินกลับตำหนักไป เฉินจงกุ้ยกุมมือส่งเสด็จ “น้อมส่งฝ่าบาท”

เฉินมู่อิ๋งกุมมือตาม จนกระทั่งฮ่องเต้เดินลับตาไปแล้วเฉินจงกุ้ยก็พาลูกกลับ เมื่ออยู่ในรถม้าเฉินจงกุ้ยก็ถามว่า “เรียนเป็นอย่างไร? เข้าใจหรือไม่?”

“ขอรับ ข้าเข้าใจดีขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบ เฉินจงกุ้ยถามอีก “แล้วองค์ชายทั้งสองล่ะ เข้ากันได้ดีกับเจ้าหรือไม่?”

“องค์ชายใหญ่ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบข้าขอรับ ส่วนองค์ชายเก้าไม่ถือตัวขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบ เฉินจงกุ้ยพยักหน้า “อ่อ”

แล้วเขาก็ถามต่อ “แล้วราชครูสอนอะไรบ้างรึ?”

“สอนตำราการปกครองขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบ เฉินจงกุ้ยถามอีก “สอนว่าอย่างไรบ้าง?”

“สอนเรื่อง…….” เฉินมู่อิ๋งเล่าไปเรื่อยๆ เฉินจงกุ้ยก็ฟังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถม้าถึงจวน

“นายท่านขอรับ ถึงแล้วขอรับ” สารถีบอก เฉินจงกุ้ยจึงลงจากรถม้าพลางอุ้มลูกลงมาด้วย เฉินม่านอิ๋งรีบเดินไปรับลูก อุ้มลูกขึ้นมาหอมแก้ม “คิดถึง”

“ท่านแม่” เฉินมู่อิ๋งหอมแก้มท่านแม่กลับ เฉินม่านอิ๋งถาม “หิวหรือไม่?”

“หิวขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบ แล้วพูดต่อว่า “ขนมในวังอร่อยสู้ฝีมือท่านแม่ไม่ได้ขอรับ”

“แหม ปากหวานแต่เล็กเลยนะ” เฉินม่านอิ๋งยิ้ม เฉินมู่อิ๋งทำหน้าจริงจังมาก “จริงๆ ขอรับ อร่อยน้อยกว่าของท่านแม่ขอรับ ข้ากินขนมที่องค์ชายเก้าให้ไป 2 อัน นุ่มสู้ของท่านแม่ไม่ได้ หอมน้อยกว่าของท่านแม่ขอรับ”

“แหม ช่างติแต่เล็กเชียว” เฉินม่านอิ๋งยิ้มกว้างมากขึ้น เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ายืนยัน “จริงๆ ขอรับ เช่นนั้นถ้าครั้งหน้าองค์ชายเก้าให้ขนมข้าอีก ข้าจะเก็บมาให้ท่านแม่กินขอรับ ท่านแม่จะได้รู้ว่าของท่านแม่อร่อยที่สุดขอรับ”

“ฮ่าๆๆๆ…” เฉินม่านอิ๋งหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มลูกเดินไป สาวใช้รีบยื่นมือไป “ให้ข้าน้อยอุ้มคุณชายเถอะเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร ข้าอยากอุ้มเขา” เฉินม่านอิ๋งบอก สาวใช้จึงหดมือกลับไป เฉินมู่อิ๋งกอดคอท่านแม่หอมแก้มอีกที เฉินม่านอิ๋งยิ้มพลางเดินไป เมื่อเข้าไปในห้องก็วางลูกที่เก้าอี้ นางนั่งลงข้างๆ ลูก อ้าปากหอบเล็กน้อย ลูกตัวหนักขึ้นทุกวัน นางอุ้มไม่นานยังเหนื่อยถึงเพียงนี้แล้ว เฮ้อ…

เฉินจงกุ้ยนั่งข้างฮูหยิน สาวใช้ก็ยกอาหารตั้งโต๊ะ จากนั้นสามคนพ่อแม่ลูกก็กินข้าวพร้อมหน้า หลังจากกินอิ่มแล้วเฉินจงกุ้ยก็ลุกไปที่ห้องหนังสือ เฉินม่านอิ๋งก็พาลูกไปอาบน้ำเข้านอน

วันรุ่งขึ้น เฉินจงกุ้ยก็พาลูกเข้าวังอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว ขันทีพาเฉินมู่อิ๋งไปส่งให้ราชครูเลย ส่วนเฉินจงกุ้ยก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ท้องพระโรงร่วมกับขุนนางคนอื่นๆ

เมื่อไปถึงตำหนักหลังเดิม ขันทีก็ส่งเฉินมู่อิ๋งไว้กับราชครูแล้วจากไป ราชครูมองเฉินมู่อิ๋ง ถามว่า “ได้ข่าวว่าเจ้าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง?”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบ ราชครูจึงบอกว่า “ข้าสนิทกับหมอหลวง หากเจอเขา ข้าจะให้เขาตรวจเจ้าสักครั้ง”

“ขอบคุณขอรับ” เฉินมู่อิ๋งกุมมือขอบคุณ ราชครูมองอย่างประหลาดใจเล็กน้อยที่เฉินมู่อิ๋งโต้ตอบได้ฉะฉานเกินเด็กวัยเดียวกัน เขาชมในใจ นับว่าเด็กคนนี้ฉลาดแต่เล็กทีเดียว สามารถโต้ตอบได้อย่างชาญฉลาดยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นลูกชายของเสนาบดีเฉิน พ่อก็ฉลาด ถ้ามีลูกชายโง่ก็คงไม่ค่อยดีนัก ย่อมถูกคนถากถางแน่นอน

“องค์ชายหยางจ้าวฉวนเสด็จ—”

เสียงทหารตะโกนบอก ตามด้วย “องค์ชายหยางซูหลานเสด็จ—”

ราชครูกับเฉินมู่อิ๋งลุกขึ้นยืนรับเสด็จ องค์ชายใหญ่เดินนำเข้ามา ตามด้วยองค์ชายเก้า และเหล่าขันทีผู้ติดตาม องค์ชายใหญ่เดินไปนั่งที่โต๊ะ องค์ชายเก้าก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ ราชครูนั่งลง เฉินมู่อิ๋งก็นั่งลงตาม องค์ชายเก้าสั่งจือกงกง “จือกงกง ขนมที่ข้าสั่ง”

“อ่อ พะย่ะค่ะ” จือกงกงพยักหน้าแล้ว หันไปรับกล่องขนมจากขันทีลูกน้อง ถือไปวางที่โต๊ะของเฉินมู่อิ๋ง องค์ชายเก้าก็บอกว่า “เมื่อวานข้าเห็นเจ้าชอบก็เลยเอามาให้”

Chapter 7

เฉินมู่อิ๋งตกน้ำ

“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ องค์ชายเก้ายิ้มรับพลางหันไปสั่งจือกงกงว่า “ย้ายโต๊ะอิ๋งตี้มาตรงนี้”

“พะ…” จือกงกงยังไม่ทันพูดจบ องค์ชายใหญ่ก็ขัดขึ้นว่า “หลานตี้ ถ้าเจ้าอยากจะนั่งข้างมู่ตี้เจ้าก็ควรจะย้ายโต๊ะเจ้าไปซิ”

ทุกคนในห้องชะงักค้างไปครู่หนึ่ง องค์ชายเก้าหันไปมองพี่ชายแล้วหันกลับไปสั่งจือกงกงว่า “ย้ายโต๊ะข้าไปตรงนู้น”

“พะย่ะค่ะ” จือกงกงรับคำสั่ง พลางมององค์ชายใหญ่ เห็นองค์ชายใหญ่ไม่ขัดอะไร เขาจึงบุ้ยปากให้ขันทีลูกน้องช่วยกันยกโต๊ะขององค์ชายเก้าไปวางข้างๆ โต๊ะของเฉินมู่อิ๋ง ทุกคนล้วนดูออกว่าองค์ชายเก้าชอบเฉินมู่อิ๋งไม่น้อย เมื่อองค์ชายเก้านั่งข้างเฉินมู่อิ๋งแล้วราชครูก็เริ่มสอนทันที “วันนี้ข้าจะสอนเรื่อง……..”

เด็กทั้งสามก็ฟังราชครูไปเรื่อยๆ องค์ชายใหญ่ก็นั่งหาวแล้วหาวอีกอย่างเบื่อๆ องค์ชายเก้าตั้งใจเรียนอย่างยิ่ง ส่วนเฉินมู่อิ๋งก็ฟังผ่านหูไป เพราะสิ่งที่ราชครูสอนนั้นเขาเรียนรู้จากความทรงจำของราชครูแคว้นซีเอ่อมาแล้ว

จนกระทั่งเรียนเสร็จ ราชครูก็บอกว่า “เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปเขียนสิ่งที่ข้าสอนไปในวันนี้คนละ 10 หน้า”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งกับองค์ชายเก้ารับคำพร้อมกัน ส่วนองค์ชายใหญ่อ้าปากหาวพลางมองฮุ่ยกงกง ฮุ่ยกงกงหลุบตาลงอย่างรู้ความหมาย เขาจะต้องเขียนอักษรแทนองค์ชายใหญ่น่ะซิ องค์ชายใหญ่ไม่เขียนอักษรหรอก มักจะสั่งให้ขันทีช่วยเขียนแทนเสมอ ซึ่งราชครูก็ทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้าง* เสมอมา

(*ลืมตาข้าง หลับตาข้าง หมายถึงทำเป็นไม่เห็น)

เฉินมู่อิ๋งก็ลงมือเขียนอักษรทันที เขาไม่อยากมีการบ้านเก็บไปทำที่บ้านหรอกนะ ทำให้เสร็จตอนนี้เลยดีกว่า กลับบ้านไปจะได้ใช้เวลาอยู่กับท่านแม่ให้นานๆ หน่อย องค์ชายเก้าเห็นเฉินมู่อิ๋งเขียนอักษรจึงมองดูอย่างสนใจ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ข้าน้อยก็ทำงานที่ท่านราชครูสั่งน่ะซิพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ องค์ชายเก้าจึงบอกว่า “เอาไว้ไปทำที่บ้านก็ได้”

“ข้าน้อยขี้เกียจพะย่ะค่ะ สู้ทำให้เสร็จตอนนี้เลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องทำอีก” เฉินมู่อิ๋งพูดพลางเขียนอักษรไปด้วย องค์ชายเก้าจึงหยิบพู่กันมาเขียนอักษร เขาก็ขี้เกียจเก็บไปทำที่ตำหนักเช่นกัน เขาจะสั่งให้จือกงกงเขียนแทนก็ได้ แต่เขาไม่อยากทำ เพราะเขาอยากให้ราชครูพูดถึงเขากับเสด็จพ่อเสด็จแม่ในด้านดีๆ ตลอดมาเขาถูกเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่มาตลอด เขาเกิดทีหลังแล้วอย่างไร ต้องเป็นองค์ชายไม่ได้เรื่องหรือ อย่างน้อยเขาก็อยากพิสูจน์ให้เสด็จพ่อเสด็จแม่เห็นว่าเขาก็ตั้งใจร่ำเรียนนะ

ราชครูมององค์ชายเก้ากับเฉินมู่อิ๋งที่กำลังเขียนอักษรอย่างขมักเขม่น ส่วนองค์ชายใหญ่นั้นก็ปล่อยตามเรื่องตามราวเลย เขายังไม่อยากถูกองค์ชายใหญ่เล่นงานทีหลังหรอกนะ เรื่องเล่ห์เหลี่ยมนั้นองค์ชายใหญ่เก่งกาจมาก เขาเป็นเพียงราชครู ส่วนองค์ชายใหญ่นั้นเป็นโอรสของฮ่องเต้ ต่อให้เขารายงานฮ่องเต้อย่างไร ฮ่องเต้ก็ย่อมเห็นแก่องค์ชายใหญ่มากกว่าอยู่แล้ว เลือดย่อมข้นกว่าน้ำซิ

“ราชครู ลูกชายข้าเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?”

เสียงถามดังเข้ามา ราชครูหันไปมองก็เห็นฮ่องเต้เสด็จมา เขารีบลุกขึ้นยืนกุมมือคารวะ “ฝ่าบาท”

องค์ชายใหญ่ลุกขึ้นกุมมือคารวะ “เสด็จพ่อ”

องค์ชายเก้ารีบวางพู่กันหันไปมองพลางรีบลุกขึ้นกุมมือคารวะ “เสด็จพ่อ”

เฉินมู่อิ๋งวางพู่กันลุกขึ้นยืนกุมมือคารวะ “ฝ่าบาท”

คนอื่นๆ ก็รีบคารวะกันทุกคน “ฝ่าบาท”

“นั่งเถอะๆ” ฮ่องเต้บอก ก้าวเดินเข้าไปในห้อง เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ กับราชครู องค์ชายใหญ่นั่งลง ตัวตรง ไร้ท่าทีเกียจคร้าน องค์ชายเก้านั่งลงหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรต่อ เฉินมู่อิ๋งนั่งลงหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรต่อ ฮ่องเต้มองเด็กทั้งสามแล้วหันไปถามราชครูว่า “ลูกข้าร่ำเรียนเป็นอย่างไร?”

“องค์ชายใหญ่ ขยันขันแข็ง เอาใจใส่การเรียนดียิ่งพะย่ะค่ะ” ราชครูตอบพลางปาดเหงื่อในใจ แล้วรีบพูดถึงองค์ชายเก้าว่า “ส่วนองค์ชายเก้าก็ตั้งใจเรียนดีพะย่ะค่ะ”

“อ่อ” ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ฉวนเอ๋อร์ หากเจ้าตั้งใจเรียนได้สักครึ่งหนึ่งของเฉินมู่อิ๋ง พ่อก็จะเบาใจมากทีเดียว”

“พะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่รับคำ แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดๆ เขาไม่พอใจที่ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับเฉินมู่อิ๋ง หากเปรียบเทียบกับน้องเก้าเขาจะไม่โมโหเลย อย่างน้อยน้องเก้าก็ตั้งใจเรียนจริงๆ ส่วนเจ้าเด็กนั่นน่ะรึ ก็ไม่เห็นจะตั้งใจเรียนสักเท่าไหร่เลย

“เอาล่ะ วันนี้ข้ามีคำถามจะถามพวกเจ้าสามคน” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นมา สายตามองเด็กทั้งสาม องค์ชายเก้าวางพู่กัน เงยหน้ามองเสด็จพ่อ เฉินมู่อิ๋งก็หยุดเขียนอักษร ฮ่องเต้มองๆ ทั้งสามแล้วถามว่า “แอ่งตรงนั้น หน้าฝนน้ำมักจะท่วมขังทุกปี พวกเจ้ามีวิธีแก้ปัญหานี้อย่างไร? ข้อสำคัญคือต้องไม่เปลืองเงินมากนักในการแก้ปัญหานี้”

ทุกคนมองตามมือฮ่องเต้ที่ชี้ไปด้านนอก องค์ชายเก้ามองๆ แล้วเสนอว่า “นำดินมาถมพะย่ะค่ะ”

“ขุดเป็นสระน้ำแล้วปลูกบัวพะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่เสนอ

ฮ่องเต้ฟังลูกชายทั้งสองแล้วยิ้ม เขาหันไปมองเฉินมู่อิ๋ง พูดว่า “เจ้ายังไม่ตอบเลยนะเฉินมู่อิ๋ง”

“ขุดร่องน้ำเล็กๆ จากพื้นตรงนั้นไปหาสระบัวตรงนู้นพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบพลางชี้เป็นแนวในการขุดร่องน้ำ ฮ่องเต้ยิ้มพอใจ “วิธีของเจ้าสิ้นเปลืองเงินน้อยที่สุดจริงๆ”

เขาหันไปมองลูกชายทั้งสองแล้วพูดว่า “วิธีของเจ้าทั้งสองสิ้นเปลืองเงินมากกว่าวิธีของเฉินมู่อิ๋งมากนัก สรุปว่าคำถามนี้เฉินมู่อิ๋งชนะ ข้าจะให้รางวัลเจ้าเป็นทอง 10 ก้อน”

“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งกุมมือ องค์ชายใหญ่มองเฉินมู่อิ๋งอย่างไม่ค่อยชอบขี้หน้ามากขึ้นอีก แพ้ให้น้องเก้ายังรับได้ แต่แพ้ให้เฉินมู่อิ๋งช่างเสียเกียรติยิ่งนัก ฮึ่ม!

ฮ่องเต้ปรายตาสั่งเวยกงกง เวยกงกงก็รีบสั่งต่อ “เอาทองมอบให้คุณชายเฉิน 10 ก้อน”

“ขอรับ” ขันทีรับคำสั่งแล้วนำทองไปมอบให้คุณชายเฉิน เฉินมู่อิ๋งรับทองมาแล้วกุมมือคารวะฮ่องเต้อีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“ข้าชอบเด็กฉลาด” ฮ่องเต้ยิ้มพอใจ แล้วเขาก็หันไปคุยกับราชครู องค์ชายใหญ่ไม่ค่อยชอบใจนักที่เฉินมู่อิ๋งได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ สายตาชื่นชมนั้นควรจะเป็นของเขาซิ หึ!

เฉินมู่อิ๋งเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้สนใจตัวเองแล้ว เขาจึงหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรต่อ องค์ชายเก้าก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรเช่นกัน เขาอยากทำงานให้เสร็จจะได้ไม่ต้องเก็บงานไปทำต่อที่ตำหนัก องค์ชายใหญ่ไม่รู้จะทำอะไรจึงหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรบ้าง เขาอยากจะนอนเล่นสักหน่อยแต่เสด็จพ่ออยู่ที่นี่ด้วยเขาไม่กล้าทำตัวเอ้อระเหยให้เสด็จพ่อเห็นเด็ดขาด

ฮ่องเต้คุยกับราชครูอยู่นาน จนกระทั่งองค์ชายเก้าเขียนอักษรเสร็จก็ส่งให้จือกงกงนำไปให้ราชครู จือกงกงนำการบ้านขององค์ชายเก้าไปส่ง ราชครูรับมาดูแล้วยิ้มพอใจ “เขียนได้ดีๆ”

ฮ่องเต้ยื่นมือไป ราชครูจึงส่งการบ้านให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้รับมามองดู สักพักก็เงยหน้าขึ้นชมว่า “หลานเอ๋อร์เขียนได้ดี”

“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ” องค์ชายเก้ายิ้มดีใจ ฮ่องเต้มององค์ชายเก้าอย่างภูมิใจแล้วเบนสายตาไปมองเฉินมู่อิ๋งที่กำลังเขียนอักษร เขามองพินิจพิจารณาเด็กคนนั้นอยู่นานจนกระทั่งเฉินมู่อิ๋งทำการบ้านเสร็จก็ลุกขึ้นถือไปส่งให้ราชครู แต่ฮ่องเต้กลับยื่นมือไป สั่งว่า “ไหนให้ข้าดูซิ”

เฉินมู่อิ๋งจึงเดินไปหาฮ่องเต้ ส่งการบ้านถึงมือฮ่องเต้โดยไม่ผ่านมือเวยกงกง ปกติแล้วฮ่องเต้จะรับสิ่งของจากคนอื่นจะต้องให้ขันทีเป็นผู้รับแล้วนำส่งอีกทอดหนึ่ง แต่ฮ่องเต้กลับไม่ได้ให้เวยกงกงรับ เขายื่นมือไปรับเอง เมื่อรับมาแล้วก็ก้มดู สักพักก็ชมว่า “อายุเท่านี้ก็เข้าใจหลักการปกครองแล้ว ดีๆ เพียงแต่ลายมือเจ้ายังต้องฝึกฝนให้มากๆ หน่อย”

“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ ฮ่องเต้ส่งการบ้านให้ราชครู ราชครูรับไปดูแล้วชมว่า “เขียนได้ดีทีเดียวสำหรับเด็กอายุเพียงเท่านี้ นับว่าเจ้าฉลาดมาก สมแล้วที่เป็นลูกชายของเสนาบดีเฉิน”

“ได้ข่าวว่าเจ้าอ่อนแอ ไหนๆ ตอนนี้ก็อยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็ลองให้หมอหลวงมาตรวจสักหน่อยก็แล้วกัน เวยกงกงตามหมอหลวง” ฮ่องเต้สั่ง เวยกงกงรับคำสั่ง “พะย่ะค่ะ”

จากนั้นเขาก็สั่งขันทีลูกน้องอีกทอดหนึ่ง ขันทีก็รีบไปตามหมอหลวงมา ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนแปลกใจที่ฮ่องเต้ดูเหมือนจะใส่ใจเฉินมู่อิ๋งมากเป็นพิเศษ ถึงขนาดสั่งให้หมอหลวงมาตรวจเชียวนะ

เฉินมู่อิ๋งกังวลใจขึ้นมาในใจ หากให้หมอหลวงมาจับชีพจรย่อมรู้แน่ว่าเขาไม่ได้อ่อนแอสักนิด มีร่างกายแข็งแรงปกติดี จะทำอย่างไรดี? จะทำอย่างไรดี!?

เขาคิดๆ ก้มหน้าก้มตาท่าทางยุกยิก ฮ่องเต้เห็นท่าทางของเฉินมู่อิ๋งก็คิดอีกอย่าง “เจ้าทำท่าเหมือนอยากจะถ่ายเบา คงปวดซินะ”

เฉินมู่อิ๋งสบโอกาสรีบพยักหน้าหงึกๆ “พะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็ให้ใครพาไปที” ฮ่องเต้สั่ง ขันทีคนหนึ่งจึงก้าวออกไป “เชิญคุณชายน้อยตามข้ามา”

เฉินมู่อิ๋งรีบเดินตามขันทีไปทันที เขารู้ว่าห้องปลดทุกข์อยู่ตรงไหน ก่อนหน้านี้เขาก็ไปมาเองหลายครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่อยากให้เขาคลาดสายตาจึงได้ส่งขันทีผู้นี้มาพาเขาไปซินะ

เมื่อเข้าไปในห้องปลดทุกข์ เฉินมู่อิ๋งก็คิดๆ หากให้หมอหลวงตรวจชีพจร หมอหลวงย่อมรู้แน่นอนว่าร่างกายของเขาแข็งแรงดี จะทำอย่างไรดี? แอบหนีกลับจวน? ไม่ได้ๆ ถึงหนีไปวันนี้วันหน้าฮ่องเต้ย่อมส่งหมอหลวงไปตรวจถึงจวนแน่นอน อีกทั้งจะยิ่งทำให้ฮ่องเต้สงสัย เช่นนั้นจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไรดี?

เขาคิดหนักมาก คิดจนหัวโตแล้ว เขายืนคิดอยู่ในห้องปลดทุกข์อย่างร้อนใจจะตายแล้ว พลัน! เขาเหลือบเห็นต้นเจี้ยจู๋เถา(夹竹桃 ต้นยี่โถ) อยู่ข้างหน้าต่าง ซึ่งต้นเจี้ยจู๋เถานี้มีฤทธิ์ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หากกินมากเกินไปจะทำให้คลื่นใส้ อาเจียน เขาตัดสินใจเดี๋ยวนั้นทันที หักกิ่งต้นเจี้ยจู๋เถามากินอย่างไม่กลัวตายแล้ว

ถ้าหมอหลวงตรวจเจอว่าเขาแข็งแรงดี เรื่องที่เขาป่วยใกล้ตายก็จะถูกเปิดโปงออกมา ถึงตอนนั้นคงไม่ได้ตายแค่คนเดียว แต่ท่านพ่อท่านแม่จะตายไปด้วยน่ะซิ โทษหลอกลวงเบื้องสูงนั้นหนักหนายิ่งนัก หากฮ่องเต้ใจดีอาจจะแค่สั่งประหารคนทำผิดเพียงคนเดียว แต่ถ้าฮ่องเต้กริ้วขึ้นมาอาจจะถูกสั่งประหารทั้งตระกูลก็ได้ กินให้เกิดพิษก่อนแล้วค่อยไปแก้ไขทีหลังเถอะ

“คุณชายน้อยถ่ายเบาเสร็จหรือยัง?” ขันทีถามเพราะเห็นว่าคุณชายน้อยเข้าไปนานแล้ว ต่อให้ถ่ายหนักก็ควรจะเสร็จแล้ว เฉินมู่อิ๋งร้องตอบออกไป “เกือบแล้วๆ ข้าน้อยกำลังถ่ายหนักอยู่”

“อ่อ” ขันทีส่งเสียงคำหนึ่งแล้วยืนรอต่อไป เฉินมู่อิ๋งก็กินกิ่งเจี้ยจู๋เถาเข้าไปหลายกิ่งทีเดียว เขารู้สึกอยากอาเจียนออกมาแล้ว รสชาติไม่อร่อยเลย ยี๊! จนกระทั่งฝืนกลืนลงไปหมดแล้วเขาจึงตักน้ำในตุ่มทองเหลืองขึ้นมาดื่ม น้ำนี้เป็นน้ำสะอาดจึงสามารถดื่มได้ เขาดื่มน้ำอึกๆ สีหน้าแย่มากราวกับกินยาขมขื่นเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น เมื่อดื่มน้ำแล้วเขาก็ตักน้ำล้างหน้าล้างมือบ้วนปาก จากนั้นก็ออกจากห้องปลดทุกข์

ขันทีเห็นเฉินมู่อิ๋งออกมาแล้วก็พากลับไปที่ตำหนัก เฉินมู่อิ๋งเดินตามไป สีหน้าไม่ค่อยดีนัก หน้าขาวซีดยิ่งกว่าเดิม เดิมทีผิวเขาก็ขาวราวกับหิมะอยู่แล้วเพราะไม่ค่อยได้ออกแดดสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะอยู่ในเรือน ขันทีเห็นสีหน้าคุณชายน้อยย่ำแย่มากจึงถามอย่างเป็นห่วง “คุณชาย ท่านเป็นอะไรรึ?”

“ข้าน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบายขอรับ ปกติแล้วข้าน้อยก็ป่วยมาตั้งแต่เล็กๆ สามวันดีสี่วันไข้อยู่แล้วขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบ พลางแอบจับชีพจรตัวเอง เขารู้สึกว่าชีพจรเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ไม่ปกติอย่างยิ่ง อืม นี่แหละ ดีแล้ว ต้องรีบให้หมอหลวงตรวจเร็วๆ หลังจากนั้นก็รีบกลับจวนไปกินยาแก้พิษเจี้ยจู๋เถา

“อ่อ” ขันทีส่งเสียงคำหนึ่ง เฉินมู่อิ๋งก็เดินตามกลับไป จนกระทั่งถึงตำหนัก ก็เห็นคนๆ หนึ่ง อายุแก่กว่าท่านพ่อ ยืนอยู่ในห้อง เดาว่าคนๆ นั้นคงเป็นหมอหลวง แล้วเขาก็เดาไม่ผิดเพราะได้ยินฮ่องเต้สั่งว่า “เฉินมู่อิ๋งรีบมาเร็วๆ หมอหลวงมารอสักพักแล้ว”

“พะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งเดินเข้าไปในห้อง เดินไปหาหมอหลวง เขากุมมือคารวะหมอหลวง “ท่านหมอหลวง”

หมอหลวงไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาชี้นิ้วให้เฉินมู่อิ๋งนั่งที่เก้าอี้ เฉินมู่อิ๋งก็นั่งที่เก้าอี้ ยกแขนวางบนโต๊ะ หมอหลวงก็ยื่นมือไปจับชีพจรทันที

สายตาของทุกคนมองหมอหลวงกับเฉินมู่อิ๋งเป็นตาเดียว สักพักหมอหลวงก็ดึงมือออก แล้วหันไปกุมมือรายงานฮ่องเต้ว่า “ชีพจรของเด็กคนนี้ผิดปกติมาก เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว แสดงว่าเขาเป็นโรคหัวใจพะย่ะค่ะ”

“อ่อ รักษาได้หรือไม่?” ฮ่องเต้ถาม หมอหลวงส่ายหน้า “ไม่มีทางรักษาพะย่ะค่ะ”

“น่าเสียดาย” ฮ่องเต้พูดออกมา เฉินมู่อิ๋งรีบกุมมือ “ฝ่าบาท ข้าน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบายยิ่งนัก ปกติแล้วข้าน้อยก็สามวันดีสี่วันไข้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วพะย่ะค่ะ ตอนนี้ข้าน้อยรู้สึกเวียนหัวมากเหลือเกิน”

เขาพูดแล้วก็ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้หาแม่อย่างไรอย่างนั้น หมอหลวงพูดขึ้นมา “เมื่อกี้ข้าน้อยตรวจดูแล้วพบว่าคุณชายน้อยมีอาการคลื่นเหียนเวียนหัว ควรให้รีบกลับไปพักรักษาตัว ดื่มยาสักสองสามเทียบก็น่าจะดีขึ้นพะย่ะค่ะ”

“พาเขาไปหาเสนาบดีเฉิน แล้วให้เสนาบดีเฉินกลับไปได้แล้ว” ฮ่องเต้สั่ง ขันทีก็พาเฉินมู่อิ๋งไปส่ง เมื่อเจอเสนาบดีเฉิน ขันทีก็บอกว่า “คุณชายน้อยไม่ค่อยสบาย ฝ่าบาทจึงให้ท่านรีบพาคุณชายน้อยกลับจวนไปรักษาก่อน”

“อ่อ ขอบคุณมาก” เฉินจงกุ้ยมองลูก เห็นสีหน้าลูกไม่ค่อยดีนักเขาจึงรีบพาลูกกลับจวนทันที ก่อนจะขึ้นรถม้าเฉินจงกุ้ยก็สั่งให้คนไปตามติงเฟิ่งเหล่ยทันที เขาไม่รู้ว่าลูกเป็นอะไร จู่ๆ ก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีเลย หลังจากนั้นรถม้าก็วิ่งกลับจวนไป

ภายในรถม้า เฉินมู่อิ๋งก็บอกท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ ข้าต้องการยาลางจู๋ชู่(朗珠树 ต้นรางจืด)”

เฉินจงกุ้ยมียาลางจู๋ชู่ติดตัว เพราะยานี้ใช้แก้พิษได้หลากหลายชนิด อย่างเช่นถอนพิษ แก้เมา ฯลฯ เขาหยิบยาให้ลูก เฉินมู่อิ๋งรับยาไปดมกลิ่นแล้วกลืนทันที เฉินจงกุ้ยส่งน้ำให้ลูก เฉินมู่อิ๋งดื่มน้ำอึกๆ แล้วเล่าว่า “ฝ่าบาทให้หมอหลวงมาตรวจข้า ข้าจึงกินกิ่งเจี้ยจู๋เถาเข้าไปขอรับ”

“โถลูก” เฉินจงกุ้ยสงสารลูกจับใจ “เช่นนั้นต่อไปก็บอกใครๆ ว่าเจ้าแข็งแรงขึ้นแล้วเถอะนะ พ่อไม่อยากให้เจ้าต้องลำบากเช่นนี้เลย”

“ท่านพ่อ ให้ข้าอ่อนแอต่อไปเถอะขอรับ คนคิดร้ายต่อพวกเรามีมากเหลือเกิน ไหนจะเสนาบดีไฉ ไหนจะศัตรูในที่ลับที่ท่านแม่พูดถึงอีก หากข้าแข็งแรง คนเหล่านั้นคงอยากให้ข้าตายไวๆ ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพูดพลางเช็ดน้ำที่มุมปาก เฉินจงกุ้ยเศร้าใจ “เป็นเพราะพ่อเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทจึงทำให้เจ้าต้องลำบากเช่นนี้”

“ข้าไม่ลำบากขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก เฉินจงกุ้ยยิ่งภูมิใจในตัวลูกมากขึ้นอีก ลูกของเขาฉลาดเกิดเด็กวัยเดียวกันจริงๆ หากเป็นเด็กคนอื่นเจอสถานการณ์เช่นนี้คงถูกหมอหลวงตรวจเจอความลับไปแล้ว ไหนเลยจะยังปกปิดต่อไปได้อีก แต่นี่เขาฉลาดเฉลียวยิ่งนัก สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง ในอนาคตลูกคงเอาตัวรอดได้แน่

เมื่อกลับถึงจวน สาวใช้ก็อุ้มคุณชายน้อยไปนอนในห้อง ติงเฟิ่งเหล่ยก็มาถึงพอดี เฉินม่านอิ๋งอาบน้ำเสร็จออกมาจึงรู้เรื่องจากปากสามี นางรีบไปดูลูกทันที เห็นติงเฟิ่งเหล่ยกำลังตรวจลูกอยู่ก็ถามอย่างร้อนใจ “ท่านหมอ ลูกข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ดีที่ท่านเสนาบดีเอายาลางจู๋ชู่ให้กินแล้ว คุณชายน้อยจึงไม่เป็นอะไรมากขอรับ เดี๋ยวให้กินยาลางจู๋ชู่อีกสัก 7 วัน พิษเจี้ยจู๋เถาก็ถูกขับออกมาหมดแล้วขอรับ ช่วงนี้ก็ให้คุณชายน้อยดื่มน้ำมากๆ หน่อยจะได้ขับพิษได้เร็วขึ้นขอรับ” ติงเฟิ่งเหล่ยบอก เฉินม่านอิ๋งโล่งใจมาก นางสงสารลูกเหลือเกิน ที่เขาต้องแสร้งทำตัวอ่อนแอหลอกผู้คนไปเรื่อยๆ เพราะสามีนั้นเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้จึงมีศัตรูทั้งในที่ลับและที่แจ้ง บางครั้งนางก็อยากให้สามีลาออกแล้วไปอยู่ชนบทดีกว่า แต่สามีก็ไม่อาจทิ้งฮ่องเต้ให้ผจญน้ำขุ่นเพียงลำพัง เฮ้อ…

หลังจากตรวจเสร็จแล้ว ติงเฟิ่งเหล่ยก็กลับไป เฉินม่านอิ๋งก็ปรึกษากับสามีเรื่องลูก เฉินมู่อิ๋งก็นอนฟังท่านพ่อท่านแม่คุยกัน เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่บอกว่าเขาอยากทำตัวอ่อนแอแบบนี้ต่อไปจะได้หลอกศัตรูให้ตายใจ เฉินม่านอิ๋งรู้ว่าลูกฉลาดมาก เขาฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกันมากนัก เด็กอายุเท่านี้ย่อมอยากออกไปวิ่งเล่นสนุกสนาน แต่อิ๋งเอ๋อร์นั้นกลับไม่สนใจจะไปวิ่งเล่น เขาชอบอ่านตำรา เขียนอักษรอยู่ในห้อง นางก็ได้แต่ตามใจลูกเท่านั้น ไม่ว่าลูกอยากทำอะไรนางล้วนตามใจทุกอย่าง เขาก็ไม่เคยทำให้นางต้องหนักใจสักครั้ง เขาคืออภิชาตบุตรโดยแท้

วันต่อมา เฉินจงกุ้ยก็เข้าวังคนเดียว ส่วนเฉินมู่อิ๋งก็อยู่บ้านรักษาตัว เฉินจงกุ้ยกราบทูลฮ่องเต้ว่า เฉินมู่อิ๋งเป็นไข้ รักษาไม่กี่วันก็หายแล้ว ฮ่องเต้จึงไม่ได้ให้หมอหลวงไปรักษา อีกทั้งหากเขาปฏิบัติต่อเสนาบดีเฉินพิเศษยิ่งกว่าคนอื่นก็จะยิ่งทำให้เสนาบดีเฉินมีศัตรูมากขึ้นอีก เขาจึงจำใจต้องรักษาระยะห่างระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางให้มากหน่อย

หลังจากอยู่บ้านกินยาครบ 7 วันแล้ว วันที่ 8 เฉินมู่อิ๋งก็ตามท่านพ่อเข้าวังไปเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายทั้งสอง

องค์ชายเก้าดีใจมากที่เห็นเฉินมู่อิ๋ง “อิ๋งตี้ เจ้าหายดีแล้วหรือ?”

“หายแล้วพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ องค์ชายเก้ายิ้มหน้าบาน “ตอนเจ้าไม่มาข้าเหงายิ่งนัก”

“หึ!” องค์ชายใหญ่ส่งเสียงคำหนึ่ง ราชครูก็พูดว่า “เอาล่ะๆ ตั้งใจเรียนกันได้แล้ว”

หลังจากนั้นราชครูก็สอนเด็กทั้งสาม องค์ชายเก้าก็ตั้งใจเรียนเหมือนเช่นเคย ส่วนองค์ชายใหญ่ก็หาวแล้วหาวอีกเหมือนเช่นเคย เฉินมู่อิ๋งฟังผ่านหูไปเรื่อยๆ ตำราที่ราชครูกำลังสอนอยู่นั้นเขาท่องจำได้ขึ้นใจแล้ว เนื้อหาในการสอนจึงน่าเบื่อสำหรับเขาอยู่บ้าง แต่ได้ฟังอีกรอบก็ถือว่าเป็นการทบทวนเถอะ

จนกระทั่งราชครูสอนเสร็จแล้วองค์ชายเก้าก็ชวนว่า “อิ๋งตี้ พวกเราไปนั่งกินขนมที่ศาลานั่นกันเถอะ”

เขาไม่รอให้เฉินมู่อิ๋งตอบรับก็หันไปสั่งจือกงกงว่า “ยกขนมไปที่ศาลา ข้าจะไปกินขนมที่นั่นกับอิ๋งตี้”

“พะย่ะค่ะ” จือกงกงรับคำสั่งแล้วหันไปสั่งลูกน้องอีกทอดหนึ่ง ขันทีก็ยกขนมน้ำชาไปวางที่ศาลา องค์ชายเก้าก็ดึงเฉินมู่อิ๋งไปที่ศาลา เฉินมู่อิ๋งลุกตามไป องค์ชายใหญ่มองตามทั้งสองไปแล้วหันไปมองนกบนกิ่งไม้

องค์ชายเก้าจูงเฉินมู่อิ๋งไปนั่งที่เก้าอี้ ทั้งสองนั่งใกล้ๆ กัน องค์ชายเก้าก็เลื่อนจานขนมให้ทั้งจาน “เจ้าต้องกินเยอะๆ หน่อย เสด็จแม่บอกว่าเด็กที่กินเยอะๆ จึงจะแข็งแรง คงเป็นเพราะเจ้ากินน้อยเกินไปจึงได้อ่อนแอ”

“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งหยิบขนมกิน องค์ชายเก้าก็มองอย่างพอใจ ขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่ที่ศาลา องค์ชายใหญ่ก็ลุกขึ้นเดินไปที่ศาลา เขานั่งลงอีกข้างของน้องชาย เฉินมู่อิ๋งจึงลุกขึ้นถอยห่างออกไป องค์ชายใหญ่ไม่ค่อยชอบเขา เขาจึงพยายามอยู่ห่างๆ องค์ชายใหญ่ไว้หน่อย ขณะที่เขาเดินถอยไปนั้น พลัน! ถูกขันทีขององค์ชายใหญ่ชนจนเซตกน้ำไป ตู้ม!

“อ้า!” เฉินมู่อิ๋งร้องได้คำเดียว น้ำก็เข้าปากแล้ว เขาตกลงไปตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ สระน้ำนี้ลึกจนมิดหัวผู้ใหญ่ ดังนั้นสำหรับเฉินมู่อิ๋งจึงลึกมาก องค์ชายใหญ่กับองค์ชายเก้าก็ตกใจร้องออกมา “อ้า!”

ขันทีผิงซึ่งชนเฉินมู่อิ๋งตกน้ำรีบคุกเข่าลงไป “ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจๆ”

ส่วนคนอื่นๆ ก็ตกใจทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ราชครูได้ยินเสียงร้องจึงลุกขึ้นมอง เขาเห็นขันทีแตกตื่นจึงรีบวิ่งไปทันที “เกิดอะไรขึ้น!?”

“อิ๋งตี้ตกน้ำ” องค์ชายเก้าร้องตอบ เขามองเฉินมู่อิ๋งซึ่งกำลังตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ราชครูรีบพุ่งลงไปในน้ำทันที ตู้ม!

เขาว่ายน้ำไปหาเฉินมู่อิ๋งแล้วช่วยเฉินมู่อิ๋งขึ้นจากน้ำ เขาส่งตัวเฉินมู่อิ๋งให้ขันทีที่อยู่ใกล้ที่สุด สั่งว่า “ช่วยขึ้นไปซิ!”

ขันทีสะดุ้ง! ยื่นมือไปจับเฉินมู่อิ๋งขึ้นมา เฉินมู่อิ๋งไอค่อกแค่กๆ น้ำเย็นจนเขาหนาวสั่นเลยทีเดียว ช่วงนี้แม้จะเริ่มเข้าสู่ปลายฤดูเหมันต์แล้วอากาศไม่หนาวมากนักแล้วก็ตาม แต่น้ำยังเย็นอยู่ เขาตัวเปียกชุ่มโชกขึ้นจากน้ำไปนั่งหนาวอยู่ริมสระ องค์ชายเก้าพุ่งไปถามอย่างเป็นห่วง “อิ๋งตี้ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“นะ…หนาว…” เฉินมู่อิ๋งตอบเสียงสั่น ฟันกระทบกันดังกึกๆ ราชครูขึ้นจากสระมายืนหน้าถมึงทึงอยู่ข้างๆ เฉินมู่อิ๋ง เขาสั่งบ่าวว่า “เตรียมน้ำร้อนเร็วเข้า”

“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่งแล้วรีบไปเตรียมน้ำร้อนทันที ราชครูอุ้มเฉินมู่อิ๋งเข้าตำหนักไปอาบน้ำร้อนด้วยกัน เฉินมู่อิ๋งกอดคอราชครูซุกหาไออุ่น หนาวจนปากเป็นสีเขียว องค์ชายเก้าเดินตามไป องค์ชายใหญ่ก็เดินตามไปเช่นกัน เหล่าขันทีก็เดินตามเจ้านายไปกันหมด

เมื่อถึงห้องอาบน้ำ ราชครูก็วางเฉินมู่อิ๋งลงยืนบนพื้น แล้วจับเฉินมู่อิ๋งถอดอาภรณ์ออก เฉินมู่อิ๋งดึงอาภรณ์เอาไว้ “ไม่ๆ ข้าไม่ถอดขอรับ”

“จะอายอะไรเล่า รีบถอดรีบอาบน้ำจะได้ตัวอุ่นๆ” ราชครูดุพลางดึงอาภรณ์ออก เฉินมู่อิ๋งสู้แรงผู้ใหญ่ไม่ได้ อาภรณ์จึงถูกถอดออกไปจนหมด เขารีบเอามือปิดของสงวนกลางตัวเอาไว้ ราชครูทันเห็นองคชาติกระจิ๋วหลิวเท่านิ้วก้อย ก็หัวเราะ “ไม่ต้องอายไป อีกหน่อยก็ใหญ่ขึ้นเอง”

เฉินมู่อิ๋งหน้าดำทมึน ไม่พูดไม่จารีบปีนลงอ่างน้ำทันที ราชครูจึงอุ้มเฉินมู่อิ๋งลงอ่างไป ตัวเขาก็ลงอ่างไปด้วย เฉินมู่อิ๋งดิ้นๆ จนหลุดจากมือราชครูแล้วรีบพุ่งไปอีกด้านของอ่างใหญ่ทันที เขายืนหน้าตาถมึงทึงติดอ่างน้ำ มือปิดกลางลำตัวเอาไว้

Chapter 8

อิจฉาตาร้อน

ดีที่ในอ่างมีกลีบดอกเหมยกุ้ย(玫瑰 ดอกกุหลาบ) ลอยอยู่เต็มอ่าง ไม่เช่นนั้นคงมองเห็นใต้น้ำชัดแจ๋ว ราชครูรู้สึกว่ามีคนมองจึงหันไปดู เขาเห็นองค์ชายใหญ่ องค์ชายเก้า เหล่าขันที พวกบ่าว สาวใช้ ชะเง้ออยู่ข้างประตูเต็มไปหมด เขาหน้าดำทมึนยิ่งกว่าเฉินมู่อิ๋งแล้ว ตวาดว่า “ไสหัวไป๊!”

พวกบ่าว สาวใช้หดศีรษะไปเป็นกลุ่มแรก ตามด้วยเหล่าขันที ส่วนองค์ชายใหญ่ องค์ชายเก้ายังชะเง้อดูอยู่ ราชครูจึงดุว่า “องค์ชายใหญ่ องค์ชายเก้า การดูผู้อื่นอาบน้ำเป็นเรื่องเลวทรามต่ำช้าอย่างยิ่ง ถ้ายังไม่ไปอีก เห็นทีข้าคงต้องรายงานฝ่าบาทเสียบ้างแล้วกระมัง”

องค์ชายใหญ่ องค์ชายเก้าจึงหดศีรษะไป สาวใช้รีบเดินไปปิดประตูให้ท่านราชครู ราชครูจึงมีสีหน้าดีขึ้นมาหน่อย โชคดีที่เขายังไม่ได้ถอดอาภรณ์ไม่เช่นนั้นคงขายหน้ายิ่งกว่านี้แน่นอน เขาถอนหายใจทีหนึ่ง “เฮ้อ…”

แล้วถอดอาภรณ์ออก นั่งลงไปแช่น้ำอุ่นๆ ในอ่าง เฉินมู่อิ๋งยืนติดอ่างหน้าดำทมึน ปกติแล้วเขาอาบน้ำกับท่านแม่ ถ้าไม่อาบน้ำกับท่านแม่ก็อาบคนเดียว ไม่เคยอาบร่วมกับบุรุษคนอื่นเลยสักครั้ง จู่ๆ ต้องมาอาบน้ำร่วมอ่างกับราชครู ถึงแม้ว่าเขาจะอายุแค่ 6 ปีเขาก็อายเป็นนะ แล้วเมื่อครู่นี้เขาก็ถูกถอดอาภรณ์ออกไปจนผู้คนมองเห็นร่างกายเขาหมดแล้ว จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร หึ!

ราชครูแช่น้ำสระผม เขาอาบน้ำเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืนออกจากอ่างไป เฉินมู่อิ๋งจึงมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา ราชครูหันไปมอง สั่งว่า “สระผมด้วยนะ ผมเจ้าเปียกน้ำสกปรกต้องสระให้สะอาด ว่าแต่เจ้าสระผมเองได้หรือไม่? หรือต้องให้ข้าช่วยสระให้?”

“สระเองได้” เฉินมู่อิ๋งตอบน้ำเสียงแข็งกระด้าง ก็ราชครูทำให้เขาต้องอับอายคนอื่น ถ้าเขาพูดดีด้วยก็ผิดปกติล่ะ ราชครูจึงเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดตัวเช็ดผมแล้วหยิบอาภรณ์ชุดใหม่มาสวม เขากำลังสวมอาภรณ์ก็นึกขึ้นได้ว่า ที่ตำหนักของเขาไม่มีอาภรณ์ของเด็ก เขาจึงตะโกนสั่งบ่าวว่า “ไปหาอาภรณ์ชุดใหม่มาให้คุณชายน้อยที”

“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่งแล้วรีบเดินไป ราชครูก็สวมอาภรณ์จนเสร็จแล้วก็เดินออกไป ปล่อยให้เฉินมู่อิ๋งอาบน้ำเอง เฉินมู่อิ๋งโล่งใจที่ราชครูออกไปแล้วเขาจึงจัดแจงสระผมตัวเอง อาบน้ำให้สะอาด จนน้ำไม่ค่อยร้อนแล้วเขาจึงปีนขึ้นจากอ่าง แล้วเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดตัว เขาเช็ดตัวเสร็จแล้วก็หยิบผ้าอีกผืนมาห่อตัวเอง รอจนกว่าบ่าวจะเอาอาภรณ์มาให้ ราชครูเปิดประตูเดินเข้ามาดู “อ่อ อาบเสร็จแล้วรึ?”

เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าไม่พูดไม่จา ราชครูรู้สึกหมั่นเขี้ยวยิ่งนักจึงยื่นมือไปหยิกแก้มทีหนึ่ง เฉินมู่อิ๋งถอยหลังไปไม่ยอมให้ราชครูจับแก้ม ราชครูหดมือกลับไปยิ้มบางๆ

“ท่านราชครูขอรับ อาภรณ์ของคุณชายน้อยขอรับ” บ่าวร้องบอกอยู่หน้าประตู ราชครูจึงเดินไปเปิดประตูรับอาภรณ์แล้วเอาไปยื่นให้เฉินมู่อิ๋ง “เอ้า ใส่เสียซิ ใส่เองได้หรือไม่?”

“ข้าทำเองได้ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบพลางรับอาภรณ์มา ราชครูยืนดู เฉินมู่อิ๋งจึงเอ่ยปากไล่ “ท่านราชครูขอรับ การดูผู้อื่นใส่อาภรณ์เป็นเรื่องไม่ค่อยดี”

“โอ๋!” ราชครูส่งเสียงอย่างขำๆ เขายิ้มๆ แล้วเดินออกไป เจ้าเด็กคนนี้ฉลาดยิ่งนัก หึๆๆๆ

เฉินมู่อิ๋งรอจนราชครูออกไปแล้วเขาจึงสวมอาภรณ์ เมื่อสวมเสร็จแล้วเขาก็เปิดประตูเดินออกไป ราชครูมองแล้วบอกว่า “เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปส่ง จะได้บอกพ่อเจ้าด้วยว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องสวมอาภรณ์ใหม่เช่นนี้”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพูด ราชครูก็เดินนำไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามไป ราชครูเดินช้าๆ เพราะขาของเฉินมู่อิ๋งยังสั้นไม่อาจก้าวตามผู้ใหญ่ได้ทัน

เมื่อเจอเสนาบดีเฉิน ราชครูก็บอกว่า “เกิดเหตุเล็กน้อย คุณชายน้อยตกน้ำ ข้าช่วยเขาขึ้นมาแล้วจับเขาอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่”

“โอ!” เฉินจงกุ้ยเบิกตาโต มองลูกทันที เห็นว่าลูกปลอดภัยดีก็โล่งอก เขากุมมือให้ราชครู “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยลูกข้า”

“ไม่เป็นไรๆ ท่านไม่ติดใจเอาความก็ดีแล้ว” ราชครูพูดดักทาง เฉินจงกุ้ยจึงไม่อาจเอาความอะไรได้ เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จึงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ อาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้ รอให้เขาถามลูกก่อนดีกว่า เขาจึงยอบตัวลงไปจนศีรษะเท่าลูกแล้วมองหน้า ถามว่า “เจ้าตกน้ำได้อย่างไร?”

“ข้าไม่ทันระวังจึงตกขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบ ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าขันทีผิงจงใจหรือไม่ ในเมื่อไม่มีหลักฐานอะไรก็ปล่อยมันผ่านไปเถอะ อีกทั้งเขาก็ปลอดภัยดีไม่ได้บาดเจ็บอะไร นอกจากสำลักน้ำนิดหน่อยเท่านั้น เฉินจงกุ้ยยืดตัวขึ้น “เช่นนั้นก็กลับกันเถอะ”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ เฉินจงกุ้ยกุมมือคารวะราชครู ราชครูก็คารวะตอบ เฉินจงกุ้ยจูงมือลูกเดินจากไป ราชครูก็เดินกลับตำหนักไป

ส่วนองค์ชายใหญ่ องค์ชายเก้านั้นกลับตำหนักไปตั้งแต่ตอนที่ราชครูอาบน้ำแล้ว เมื่อถึงตำหนัก องค์ชายใหญ่ก็เรียกขันทีผิง “เจ้าอยู่ก่อน ส่วนคนอื่นออกไปให้หมด”

“พะย่ะค่ะ” ขันทีรับคำสั่งแล้วก็ถอยออกไปหมดเหลือแต่ขันทีผิงยืนอยู่คนเดียว องค์ชายใหญ่มองขันทีผิงสายตาดุดันยิ่ง ถามเสียงต่ำว่า “เจ้าจงใจชนมู่ตี้ซินะ”

“พะย่ะค่ะ” ขันทีผิงยอมรับ องค์ชายใหญ่มองขันทีผิง สั่งเสียงต่ำเย็นชาว่า “หากครั้งหน้าเจ้ากล้าทำอะไรนอกเหนือคำสั่งข้าอีก…”

เขาไม่พูดต่อ ทำมือปาดคอ ขันทีผิงรีบคุกเข่าลงไปโขกศีรษะโปกๆ “ข้าน้อยไม่กล้าแล้วๆ”

“ฮุ่ยกงกง โบยเขา 50 ที” องค์ชายใหญ่สั่งแล้วเดินเข้าด้านในไป ฮุ่ยกงกงจึงสั่งคนให้จับขันทีผิงไปโบย 50 ที ขันทีผิงถูกโบยส่งเสียงร้องโอยๆ องค์ชายใหญ่ก็นั่งจิบชาดูขันทีผิงถูกโบยจากห้องด้านใน บ่าวที่ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งสมควรถูกลงโทษให้หนักๆ หากยังมีครั้งต่อไปก็ไม่สมควรเก็บเอาไว้ข้างกายอีก ถึงเขาจะไม่ชอบเฉินมู่อิ๋งแต่ก็ยังไม่ได้คิดกลั่นแกล้งอะไร ขันทีผิงกลับลงมือก่อนที่เขาจะสั่งจึงสมควรถูกลงโทษ

เมื่อเฉินมู่อิ๋งกลับถึงจวน เฉินม่านอิ๋งเห็นลูกสวมอาภรณ์ชุดใหม่ก็แปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น?”

“ข้าตกน้ำขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบ เฉินม่านอิ๋งยอบตัวลงมองสำรวจลูกขึ้นๆ ลงๆ พลางจับเขาหมุนซ้ายหมุนขวา สักพักก็ถอนหายใจโล่งอก “เฮ้อ…ดีจริงๆ ที่เจ้าไม่เป็นอะไร”

“ข้าไม่เป็นอะไรขอรับท่านแม่ ท่านอย่าได้เป็นห่วงมากนะขอรับ เดี๋ยวท่านแม่ล้มเจ็บเพราะข้า ข้าคงเสียใจยิ่งนัก” เฉินมู่อิ๋งปลอบใจท่านแม่ ขยับไปกอดคอท่านแม่แล้วหอมแก้มทีหนึ่ง เฉินม่านอิ๋งกอดลูกพักหนึ่งแล้วปล่อย จากนั้นก็พาลูกเข้าเรือนไป เฉินจงกุ้ยเดินตามไป

วันรุ่งขึ้น เฉินมู่อิ๋งก็ตามท่านพ่อเข้าวังไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายทั้งสองอีก เมื่อไปถึงตำหนักราชครู เขาก็เห็นองค์ชายใหญ่กับองค์ชายเก้าเสด็จมาแล้ว เขาจึงคารวะองค์ชายทั้งสอง “องค์ชายใหญ่ องค์ชายเก้า”

“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าจะเป็นไข้จนมาไม่ได้อยู่เชียว” องค์ชายเก้าเดินไปตบไหล่เฉินมู่อิ๋งสองที มองอย่างเป็นห่วงเป็นใยราวกับเป็นน้องพ่อแม่เดียวกันอย่างไรอย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ออกมาจากใจจริงๆ เขาจึงยิ้มให้องค์ชายเก้า

“หึ!” องค์ชายใหญ่แค่นเสียงคำหนึ่ง ราชครูเดินเข้ามาในห้อง มองเด็กทั้งสามสั่งว่า “เอ้า นั่งๆ จะได้เริ่มเรียน”

เด็กทั้งสามนั่งลง ราชครูก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ หยิบตำรามาเปิด ขันทีมองตำราของราชครูแล้วหยิบตำราที่เหมือนกันกับราชครู 3 ม้วนไปวางตรงหน้าเด็กทั้งสาม เด็กทั้งสามก็เปิดตำรา ราชครูก็เริ่มสอน “ในสมัยหนึ่ง มีขุนนาง……..”

ขันทีคนหนึ่งเดินเข้าไปในห้อง ราชครูมองขันทีผู้นั้น ขันทีคารวะราชครูแล้วบอกว่า “ฝ่าบาทให้พาคุณชายเฉินไปเข้าเฝ้าขอรับ”

“เข้าเฝ้า? มีเรื่องอะไรรึ?” ราชครูถาม ขันทีตอบว่า “ฝ่าบาทจะเสด็จไปล่าสัตว์จึงอยากให้คุณชายเฉินตามเสด็จไปด้วยขอรับ”

“อ่อ เช่นนั้นก็พาไปเถอะ” ราชครูบอก เฉินมู่อิ๋งจึงลุกขึ้นเดินไปหาขันที องค์ชายใหญ่ก็ลุกขึ้นทันที “ท่านราชครู ข้าจะตามเสด็จพ่อไปล่าสัตว์ เรื่องเรียนในวันนี้ก็ไว้วันอื่นเถอะ”

องค์ชายใหญ่พูดแล้วก็เดินไปทันที ราชครูอ้าปากกำลังจะห้าม พลัน! หุบปากไม่พูดอะไรอีก องค์ชายเก้ามองราชครูแล้วรีบตามพี่ชายไป ราชครูจึงลุกตามองค์ชายทั้งสองไป เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เขาต้องสอนองค์ชายทั้งสอง หากเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายทั้งสอง ต่อให้เขามีกี่หัวก็ไม่พอให้ฝ่าบาทตัดหรอกนะ

ขันทีเห็นองค์ชายใหญ่จะตามไปด้วยก็หันไปมองราชครู เห็นราชครูพยักหน้า เขาจึงเดินนำไปไม่พูดอะไรสักคำ เฉินมู่อิ๋งเดินตามขันทีไป องค์ชายใหญ่รีบเดินไปจนเดินนำหน้าขันที เขาเป็นนายจะเดินตามหลังบ่าวได้อย่างไร องค์ชายเก้าเดินตามพี่ชายไป ราชครูเดินตามหลังองค์ชายทั้งสอง ส่วนเหล่าขันทีผู้ติดตามองค์ชายก็เดินอยู่ท้ายขบวน

เมื่อไปถึงท้องพระโรง องค์ชายใหญ่ก็เดินเข้าไปอย่างองอาจ เขากุมมือคารวะเสด็จพ่อ “เสด็จพ่อ”

“เสด็จพ่อ” องค์ชายเก้ากุมมือคารวะเช่นกัน ราชครูคารวะฮ่องเต้ “ฝ่าบาท”

“ฝ่าบาท” เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ เหล่าขันทีก็กุมมือคารวะ “ฝ่าบาท”

“พวกเจ้ามาทำอะไรกัน?” ฮ่องเต้ถาม มองจ้องลูกชายทั้งสอง องค์ชายเก้าหลุบตาลงไม่กล้าสบตาด้วยอย่างเกรงกลัว องค์ชายใหญ่ตอบว่า “เสด็จพ่อให้คนไปตามมู่ตี้ จะพาเขาไปล่าสัตว์ด้วย ข้าจึงอยากไปด้วยพะย่ะค่ะ”

คำว่า ‘มู่ตี้’ ทำให้หลายๆ คนมีสีหน้าอึ้งๆ ไป ‘มู่ตี้ 墓地’ สุสานอย่างนั้นหรือ!?

ฮ่องเต้ก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้ว องค์ชายใหญ่พูดอย่างไม่สนใจสีหน้าของผู้อื่นว่า “ข้าเห็นเขาเป็นน้องชายคนหนึ่ง เรียกมู่ตี้ก็ถูกแล้วไม่ใช่รึ พวกท่านทำไมต้องทำหน้าเช่นนั้นด้วยเล่า?”

“แค่กๆ” ขุนนางหลายๆ คนกระแอมกระไอออกมา ถูกของท่านแล้วพะย่ะค่ะ เอาเลยๆ ท่านอยากจะเรียกอย่างไรก็เชิญเถิดพะย่ะค่ะ

ฮ่องเต้ไม่พูดอะไร เจ้าลูกคนนี้ดื้อรั้นยิ่งนัก เขาคร้านจะดุด่าด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้แล้ว เขาจึงทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้างเสีย “เอาเถอะๆ เจ้าจะไปด้วยก็เตรียมตัวให้ดี เวยกงกงส่งคนไปบอกฮองเฮาว่าข้าจะพาพวกเขาไปล่าสัตว์ด้วย”

“พะย่ะค่ะ” เวยกงกงรับคำสั่งแล้วสั่งลูกน้องอีกทอดหนึ่ง ขันทีคนหนึ่งก็รีบไปกราบทูลฮองเฮา ฮ่องเต้ก็สั่งว่า “ไปกันเถอะ เดี๋ยวสายแดดจะร้อนเกินไป”

ฮ่องเต้พูดจบก็ลุกขึ้นเดินลงจากบัลลังก์ เขาเดินไปหาองค์ชายทั้งสอง องค์ชายเก้าหลุบตาลงขยับไปอยู่ข้างหลังพี่ชาย องค์ชายใหญ่มองเสด็จพ่อ ฮ่องเต้มองลูกชายทั้งสองคน สั่งว่า “ไปล่าสัตว์ พวกเจ้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าได้อยู่ห่างจากองครักษ์เด็ดขาด”

“พะย่ะค่ะ” องค์ชายทั้งสองรับคำ ฮ่องเต้เดินไปหาเฉินมู่อิ๋งแล้วคว้ามือเล็กๆ จับไว้ สั่งว่า “ไปกับข้า”

ทุกคนมองมือใหญ่ที่กุมมือน้อยราวกับเฉินมู่อิ๋งเป็นโอรสอีกคนอย่างอึ้งๆ ไป ฮ่องเต้จูงเฉินมู่อิ๋งเดินไปด้วยกัน เฉินมู่อิ๋งเดินตามไป ขาเขาสั้นจึงก้าวตามฮ่องเต้ไม่ค่อยทัน ฮ่องเต้จึงหันไปอุ้มเฉินมู่อิ๋งขึ้นมา เฉินมู่อิ๋งตกใจ “อ่ะ!”

ฮ่องเต้อุ้มเฉินมู่อิ๋งเดินไป ผู้คนตกตะลึงปากอ้าตาค้าง ขนาดองค์ชายใหญ่ฝ่าบาทยังไม่ค่อยอุ้มมากนัก แต่เหตุใดฝ่าบาทจึงอุ้มเด็กคนนี้เล่า!?

องค์ชายใหญ่มองเสด็จพ่อที่กำลังอุ้มเฉินมู่อิ๋งเดินไปอย่างอิจฉาอยู่ในใจ เขากำมือทั้งสองข้างแน่นจนเล็กจิกเนื้อ เสด็จพ่อโปรดปราน ‘มู่ตี้ 墓地’ ยิ่งนัก!

เฉินมู่อิ๋งตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน เขารู้สึกไม่ค่อยดีเลยจึงมองท่านพ่ออย่างขอความช่วยเหลือ พลางบอกฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยจะหาท่านพ่อพะย่ะค่ะ”

“ทำไม? กลัวข้าจับเจ้ากินหรืออย่างไร?” ฮ่องเต้ถามยิ้มๆ เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “ไม่กลัวพะย่ะค่ะ”

“ไม่กลัว แล้วจะหาพ่อเจ้าทำไม?” ฮ่องเต้ถาม เฉินมู่อิ๋งตอบ “ข้าถูกคนมองมากเกินไปพะย่ะค่ะ”

“มองก็มองไปซิ” ฮ่องเต้บอกอย่างไม่ใส่ใจ อุ้มเฉินมู่อิ๋งเดินไป ผู้คนมองฮ่องเต้กับเฉินมู่อิ๋งเป็นตาเดียว เสนาบดีเฉินก็ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ลูกชายของเสนาบดีเฉินยังได้รับความโปรดปรานมากถึงเพียงนี้! อืม?

เฉินจงกุ้ยเดินตามฮ่องเต้ไป พูดเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทส่งเฉินมู่อิ๋งมาเถิดพะย่ะค่ะ เขาตัวหนัก ข้าน้อยจะอุ้มเองพะย่ะค่ะ”

“ไม่หนัก ลูกเจ้าตัวเบายิ่งนัก เบาจนข้าสงสัยว่าเขากินอะไรบ้าง? ถึงได้ตัวเบาเกินไปแล้ว ตอนฉวนเอ๋อร์อายุเท่านี้ยังหนักมากกว่านี้ตั้งเยอะ” ฮ่องเต้บอกพลางไล่ “เจ้าจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ ปล่อยลูกเจ้าไว้กับข้านี่แหละ”

“พะย่ะค่ะ” เฉินจงกุ้ยถอยออกไป ฮ่องเต้อุ้มเฉินมู่อิ๋งเดินไปขึ้นรถม้า องค์ชายทั้งสองตามเสด็จไปด้วย ฮ่องเต้อุ้มเฉินมู่อิ๋งขึ้นไปบนรถม้า สั่งว่า “เข้าไปซิ”

เฉินมู่อิ๋งจึงเดินเข้าไปในรถม้าคันใหญ่ ฮ่องเต้เดินขึ้นไปแล้วเดินเข้าไปข้างใน พลางจูงเฉินมู่อิ๋งเข้าไปด้วยกัน องค์ชายใหญ่รีบตามขึ้นไปบนรถม้าอย่างอิจฉาตาร้อนผ่าวๆ แล้ว องค์ชายเก้าตามพี่ชายไป ราชครูขึ้นไปนั่งข้างสารถี เหล่าขันทีผู้ติดตามก็รีบไปขึ้นรถม้าอีกคัน

ภายในรถม้า ฮ่องเต้นั่งลงพลางดึงเฉินมู่อิ๋งไปนั่งข้างๆ เขาเอ็นดูเด็กคนนี้มากจริงๆ องค์ชายใหญ่เดินไปนั่งอีกข้างของเสด็จพ่อ เขากอดแขนเสด็จพ่อหมับ! ฮ่องเต้ยกมือลูบๆ ศีรษะลูกชายสองที องค์ชายเก้าเดินไปนั่งข้างๆ เฉินมู่อิ๋ง เวยกงกงตามขึ้นไปนั่งข้างราชครู

รถม้าวิ่งออกจากวังหลวงไปเรื่อยๆ เฉินมู่อิ๋งมองออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนขุนนางคนอื่นๆ ก็ขึ้นรถม้าของตัวเองตามเสด็จไปเป็นขบวน

องค์ชายเก้าก็มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างตื่นเต้น องค์ชายใหญ่มองเสด็จพ่อแล้วมองเฉินมู่อิ๋งอย่างไม่เป็นมิตร เฉินมู่อิ๋งเจอสายตาดุดันมองมาจึงขยับตัวออกห่างจากฮ่องเต้จนไปติดองค์ชายเก้าแล้ว องค์ชายเก้ามองเฉินมู่อิ๋งถามเสียงเบาว่า “เจ้ายังไม่เคยไปลานล่าสัตว์ซินะ?”

“พะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า องค์ชายเก้าก็คุยว่า “ข้าเคยไป 2 ครั้ง”

“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า องค์ชายเก้าก็กระซิบคุยกระหนุงกระหนิงกับเฉินมู่อิ๋ง องค์ชายใหญ่มองเฉินมู่อิ๋งอย่างไม่ชอบใจ เขากอดแขนเสด็จพ่อแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเอาไว้ ฮ่องเต้เหลือบมององค์ชายใหญ่ทีหนึ่ง ยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วหันไปมององค์ชายเก้ากับเฉินมู่อิ๋ง

ลานล่าสัตว์นั้นอยู่ไกลจากวังหลวง นั่งรถม้าไปราว 1 ชั่วโมงจึงจะถึง เฉินมู่อิ๋งนั่งไปนั่งมาก็เริ่มง่วงนอน เขายังเป็นเด็กอยู่จึงนอนหลับง่ายมาก เขานั่งตัวเอนไปเอนมาตาปรือๆ ฮ่องเต้จึงดึงเฉินมู่อิ๋งให้นอนซบตัก องค์ชายใหญ่มองอย่างอิจฉายิ่ง นี่น่ะเสด็จพ่อของข้านะ!

เฉินมู่อิ๋งง่วงจนไม่สนใจอะไรแล้ว เขานอนหลับซบตักอุ่นๆ องค์ชายเก้านั่งไปสักพักก็เริ่มหาวหวอดๆ ตาม เขาล้มตัวลงไปนอนบนที่นั่งยาวด้านข้าง ยึดที่นั่งฝั่งนั้นเป็นที่นอนไปแล้ว องค์ชายใหญ่มองศีรษะของเฉินมู่อิ๋งอย่างไม่พอใจมาก เขามองจ้องราวกับอยากจะผลักศีรษะเล็กๆ นั่นออกไปยิ่งนัก มือข้างหนึ่งกำแน่นค่อยๆ ยื่นไปใกล้ๆ ศีรษะเล็กๆ นั่น ฮ่องเต้เหล่มองท่าทางลูกชาย ดูว่าเขาจะทำอย่างไรกับเฉินมู่อิ๋ง

องค์ชายใหญ่หดมือกลับไป กอดแขนเสด็จพ่ออย่างหวงแหน ฮ่องเต้ยิ้มบางๆ หัวเราะในใจ หึๆๆๆ เจ้าเด็กขี้หวง

จนกระทั่งถึงลานล่าสัตว์ ฮ่องเต้ก็ปลุกเฉินมู่อิ๋ง “มู่อิ๋งๆ”

“หือ…” เฉินมู่อิ๋งลืมตาขึ้น ลุกขึ้นอย่างงัวเงีย ฮ่องเต้บอก “ถึงแล้ว”

เฉินมู่อิ๋งมองออกไปนอกหน้าต่าง ฮ่องเต้ก็ปลุกองค์ชายเก้า “หลานเอ๋อร์ๆ ถึงแล้ว”

“อื๊ออออ…” องค์ชายเก้าลืมตาลุกขึ้นอย่างงัวเงีย เฉินมู่อิ๋งเดินออกไป เวยกงกงก็มองคุณชายเฉิน เขาลงจากรถม้าแล้วอุ้มคุณชายเฉินลงไป แล้ววางคุณชายเฉินยืนบนพื้น เฉินมู่อิ๋งก้าวถอยไปห่างๆ เพราะคนอื่นในรถม้าจะได้ลงมาได้ ราชครูก้าวลงจากรถม้า เดินไปยืนข้างเฉินมู่อิ๋ง องค์ชายเก้าลงจากรถม้าอย่างงัวเงีย เมื่อเท้าแตะพื้นเขาก็หายงัวเงียทันที เขามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นเต้นดีใจ “ลานล่าสัตว์ เย้! ถึงลานล่าสัตว์แล้ว”

เขาก้าวไปจับมือเฉินมู่อิ๋ง “อิ๋งตี้ ถึงลานล่าสัตว์แล้วเจ้าตื่นเต้นหรือไม่?”

“พะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบสีหน้าเรียบเฉย เหล่าผู้ตามเสด็จล้วนดูออกว่าองค์ชายเก้าตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่าคุณชายเฉินเสียอีก ลูกชายเสนาบดีเฉินช่างรู้จักวางตัวตั้งแต่เล็กๆ เชียว

“หลานเอ๋อร์สำรวมหน่อย” ฮ่องเต้ลงจากรถม้า องค์ชายใหญ่ลงตามไป เขายืนอยู่ข้างเสด็จพ่อไม่ยอมห่าง มองเฉินมู่อิ๋งอย่างข่มขู่นิดๆ นี่เสด็จพ่อของข้า เจ้าห้ามเข้าใกล้!

เฉินมู่อิ๋งเบนสายตาไปทางอื่น เขาไม่อยากยุ่งกับองค์ชายใหญ่ ฮ่องเต้มองผู้คนที่ตามเสด็จมาแล้วสั่งว่า “เอาล่ะ ข้าจะไปล่าสัตว์ ใครอยากพักผ่อนอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องตามไป”

“ข้าน้อยขอตามเสด็จไปด้วยพะย่ะค่ะ” เสนาบดีไฉพูดขึ้นมา ขุนนางคนอื่นๆ ก็รีบพูดขึ้นบ้าง “ข้าน้อยขอตามเสด็จพะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้มองขุนนางแล้วเดินไปหาเฉินมู่อิ๋ง อุ้มเขาขึ้นมา “เจ้าไปกับข้า”

“อ๋า?” เฉินมู่อิ๋งปากอ้าตาค้าง ตกใจจนตัวแข็งทื่อ ฮ่องเต้ขำท่าทางของเขายิ่งนักจึงหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ”

จากนั้นก็อุ้มเฉินมู่อิ๋งไปขึ้นม้า เฉินมู่อิ๋งดิ้นลง “ข้าน้อยขออยู่ที่นี่พะย่ะค่ะ”

“เจ้าต้องไปกับข้า” ฮ่องเต้ไม่อนุญาต ทั้งยังรีบขึ้นม้าซ้อนหลังเฉินมู่อิ๋ง มือหนึ่งจับเอวเขากอดไว้ อีกมือจับบังเหียนม้าแล้วควบออกไป

“อ๋า!” เฉินมู่อิ๋งร้องคำหนึ่ง มองท่านพ่ออย่างขอความช่วยเหลือ “ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย—”

“ฮ่าๆๆๆ” ฮ่องเต้หัวเราะอย่างเบิกบานใจ เขาชอบใจที่ได้กลั่นแกล้งเจ้าเด็กน้อยคนนี้ยิ่งนัก ทหารองครักษ์ก็รีบควบม้าตามเสด็จไป

เฉินจงกุ้ยรีบขึ้นม้าตามไป เขาก็พอมีฝีมืออยู่บ้างนะ แต่จะให้เทียบกับจอมยุทธ์แล้วยังนับว่าห่างชั้นอีกมากนัก

“ม้าของข้า” องค์ชายใหญ่สั่งสีหน้าบึ้งตึงมาก เขาอิจฉาจนตาลุกเป็นไฟแล้ว เขาเป็นโอรสของเสด็จพ่อ ควรเป็นเขาซิที่ได้นั่งม้าไปกับเสด็จพ่อ เหตุใดจึงกลายเป็นเจ้าเด็กมู่ตี้(墓地) ไปได้เล่า!? ฮึ่ม!

“เอ่อ องค์ชายจะเสด็จตามไป ข้าว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่” ราชครูเอ่ยขัดขึ้นมาเสียงเบา องค์ชายใหญ่หันไปมองราชครูสายตาดุดันยิ่งนัก “ท่านอยู่ดูแลน้องเก้าเถอะ”

ราชครูเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เขาหุบปากเงียบไม่กล้าพูดห้ามปราบอะไร ทหารก็จูงม้าไปให้องค์ชายใหญ่ องค์ชายใหญ่เหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่วว่องไวแล้วจับบังเหียนควบม้าตามไป เหล่าขุนนางที่อยากตามเสด็จฮ่องเต้ก็รีบขึ้นม้าควบตามองค์ชายใหญ่ไป คนที่เหลืออยู่ก็สำลักฝุ่นจากฝีเท้าม้าจนไอค่อกแค่กๆ

เมื่อฝุ่นจางลงแล้วราชครูก็จูงองค์ชายเก้าไปที่ตำหนักหลังน้อย ที่ว่าหลังน้อยคือเล็กกว่าตำหนักในวังหลวงครึ่งหนึ่ง องค์ชายเก้าก็เดินตามไป เขายังขี่ม้าไม่คล่องเท่าพี่ชาย อีกทั้งม้าก็ตัวโตเกินไป เขาเคยแต่ขี่ม้าตัวเล็กกว่านี้จึงไม่อาจหาญตามเสด็จพ่อไปหรอก สู้อยู่ในตำหนักเที่ยวเล่นไปรอบๆ ดีกว่า

ฮ่องเต้ควบม้าไปจนถึงทุ่งหญ้าผืนหนึ่ง เขาหยุดม้าแล้วชี้มือไป “มู่อิ๋ง เจ้าดูนกตัวนั้นซิ”

เฉินมู่อิ๋งมองตาม เห็นนกตัวเท่าไก่เกาะอยู่บนต้นไม้ริมทุ่งหญ้า ยังไม่ทันชื่นชมดีๆ ก็ได้ยินเสียง ฟิ้ว—

ฉึก! ก๊าาาาา—

นกตัวนั้นถูกธนูยิงร่วงตกจากต้นไม้ ตุบ!

เฉินมู่อิ๋งเหลือบมองฮ่องเต้ ก็เห็นเขาลดคันธนูลง ลูกธนูที่ยิงนกตกก็คือลูกธนูจากคันธนูของฮ่องเต้ นับว่าฝีมือฮ่องเต้เยี่ยมยอดดี

“เป็นอย่างไรฝีมือข้า?” ฮ่องเต้ก้มลงถาม “ข้าว่ามือข้าแข็งๆ ไปหน่อย เลยยิงไม่ค่อยแม่นสักเท่าไหร่”

ฮึ! ขนาดไม่แม่นยังยิงนกตก ถ้าแม่นท่านคงยิงตาซ้ายทะลุตาขวาเลยกระมัง เฉินมู่อิ๋งค่อนแคะในใจ ปากก็ชื่นชมว่า “ฝ่าบาทฝีมือยอดเยี่ยมยิ่งนักพะย่ะค่ะ”

เขามองอย่างชื่นชมเสริมคำพูดของตัวเองเข้าไปด้วย การเยินยอผู้มากอำนาจก็เป็นเรื่องที่สมควรทำของข้าราชบริพารอย่างหนึ่ง

“เจ้าอยากลองยิงธนูดูบ้างไหม? เดี๋ยวข้าสอนให้” ฮ่องเต้ถาม เฉินมู่อิ๋งอยากตอบว่า ‘ไม่’ แต่เห็นสายตาฮ่องเต้แล้วเขาก็ตอบว่า “พะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ยิ้มพอใจ จับมือเล็กๆ มาจับคันธนู “จับอย่างนี้”

เฉินมู่อิ๋งจับตาม แต่มือของเขายังเล็กเกินว่าที่จะกำคันธนูอันใหญ่นี้ได้ ฮ่องเต้ก็กำคันธนูซ้อนมือเล็กเอาไว้ เขาหยิบลูกธนูขึ้นมาแล้วใช้นิ้วคีบเอาไว้พลางจับมืออีกข้างของเฉินมู่อิ๋งให้จับปลายลูกธนู แล้วก็ยิงออกไป ฟิ้ว—

ฉึก! ลูกธนูพุ่งไปปักนกอีกตัวซึ่งอยู่บนกิ่งไม้ในพุ่มไม้ด้านซ้าย นกร้องคำหนึ่ง จิ๊บ! แล้วร่วงตกลงไป ฮ่องเต้ยิ้ม ก้มลงถาม “เป็นอย่างไร?ได้ยิงธนู ซ้ำยังยิงนกได้ตัวหนึ่งด้วย”

เฉินมู่อิ๋งอยากบอกว่า ‘ท่านเป็นคนยิงไม่ใช่ข้า’ แต่คำพูดที่ออกจากปากคือ “โอ ข้ายิงนกได้ด้วย!”

แล้วเขาก็หันไปข้างหลังตะโกนว่า “ท่านพ่อ ฝ่าบาทสอนข้ายิงธนูด้วยขอรับ ข้ายิงนกได้ตัวหนึ่งด้วยล่ะ”

เฉินจงกุ้ยขี่ม้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆ ฮ่องเต้ แล้วกุมมือพูดว่า “ขอบพระทัยที่สอนลูกข้ายิงธนูพะย่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรๆ ลูกเจ้าก็เหมือนลูกข้า” ฮ่องเต้ยิ้มเบิกบานใจ เฉินจงกุ้ยหันไปมองข้างหลัง แล้วพูดเสียงเบาว่า “แต่ลูกท่านตามมาโน่นแล้ว ข้าน้อยคิดว่าฝ่าบาทควรจะส่งอิ๋งเอ๋อร์มาได้แล้วพะย่ะค่ะ ข้าน้อยยังไม่อยากให้องค์ชายใหญ่เกลียดอิ๋งเอ๋อร์มากไปกว่านี้พะย่ะค่ะ”

Chapter 9

รุมฆ่าเสนาบดีเฉิน

“เฮ้อ…” ฮ่องเต้ถอนหายใจทีหนึ่ง ชักม้าไปชิดม้าของเสนาบดีเฉิน เฉินจงกุ้ยก็ยื่นมือไปอุ้มลูกมา จับลูกนั่งข้างหน้า กอดเอวลูกเอาไว้ เขาชักม้าออกห่าง องค์ชายใหญ่ก็ขี่ม้ามาถึง เขาบังคับม้าพุ่งไประหว่างกลางม้าทั้งสองตัว ตามองเฉินมู่อิ๋งอย่างข่มขู่ ‘เจ้าอยู่ห่างๆ เสด็จพ่อข้าหน่อย’

ฮ่องเต้จึงหันไปมองลูกชาย สั่งว่า “ระวังตัวอย่าอยู่ห่างจากองครักษ์”

“พะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่รับคำ สีหน้าอ่อนโยนลง เฉินมู่อิ๋งโล่งอกมากที่ได้มานั่งม้าตัวเดียวกันกับท่านพ่อ ความเอ็นดูของฮ่องเต้เหมือนดาบสองคมสำหรับเขา ทางหนึ่งคือทำให้คนไม่กล้ารังแกเขา อีกทางหนึ่งก็ต้องรับมือกับความริษยาของผู้คนที่อิจฉาตาร้อนผ่าวๆ อย่างเช่นที่องค์ชายใหญ่แสดงออกอยู่ในขณะนี้

ฮ่องเต้ก็ชักม้าไปล่าสัตว์ องค์ชายใหญ่ชักม้าตามไป องครักษ์ก็ชักม้าตามไปหมด เหล่าขุนนางก็พากันชักม้าตามไป เหลือม้าของเฉินจงกุ้ยยืนอยู่ที่เดิม ไฉฟู่ชักม้าไปใกล้แล้วพูดว่า “เจ้าช่างสั่งสอนลูกได้ดีจริงๆ ทำให้ฝ่าบาทเอ็นดูเขายิ่งกว่าลูกแท้ๆ เสียอีก”

“หึ!” เฉินจงกุ้ยแค่นเสียงคำหนึ่ง เขาไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเสนาบดีไฉจึงชักม้ากลับไปที่ตำหนัก ไฉฟู่มองตาม เห็นเสนาบดีเฉินขี่ม้าไปกลับไปเพียงลำพังเขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขากวักมือเรียกองครักษ์คนสนิทหยุนเตอ (云地) หยุนเตอก็ชักม้าไปใกล้ๆ เจ้านาย ไฉฟู่กระซิบกระซาบสั่งความบางอย่าง “เจ้า…….”

หยุนเตอฟังจบแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ “ขอรับ”

เขาชักม้าออก ไฉฟู่ก็ชักม้าตามเสด็จฮ่องเต้ไป หยุนเตอก็สั่งลูกน้องว่า “พวกเจ้า 5 คนตามข้ามาไปจัดการศัตรูของนายท่าน”

เขาชักม้ากลับไปทางตำหนักพร้อมกับลูกน้องอีก 5 คน พวกเขาเอาผ้ามาปิดหน้าจนเห็นแต่ลูกตาแล้วรีบตามเสนาบดีเฉินไปอย่างมุ่งร้าย พวกเขารีบควบม้าตามเสนาบดีเฉินไป

เฉินจงกุ้ยได้ยินเสียงควบม้าตามหลังมาเขาก็หันไปมอง เขาชักม้าหลบข้างทางเพื่อให้คนกลุ่มนั้นผ่านไปก่อน เมื่อคนข้างหลังตามมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักกระบี่ชักดาบออกฟันใส่เสนาบดีเฉินทันที เฉินจงกุ้ยก้มหลบพลางชักกระบี่ต้าน เคร้ง!

“พวกเจ้าบังอาจนัก!” เขาตวาดอย่างดุดัน เฉินมู่อิ๋งมองคนทั้ง 6 คนที่ล้อมเขากับท่านพ่อเอาไว้ เขาจำคนหนึ่งในกลุ่มได้ คนๆ นั้นเป็นคนสนิทของเสนาบดีไฉ เจ้าคนๆ นี้(เสนาบดีไฉ) วางแผนร้ายต่อท่านพ่อเขามาตลอด เขาอยากจะช่วยท่านพ่อแต่ตัวเขาก็เล็กเกินไป อย่าว่าแต่จะยกดาบฟันเลย เกรงว่าแค่ยื่นมือออกไปก็คงถูกฟันมือขาดแล้วกระมัง เขาได้แต่ร้องเตือน “ท่านพ่อข้างหลัง!”

เฉินจงกุ้ยรีบหันไปมองทันที เขารีบผลักดาบออกไปแล้ววาดกระบี่ฟันซ้ายฟันขวา กระทุ้งสีข้างม้าให้วิ่งโจนทะยานออกไป

“อย่าให้มันหนีไปได้!” หยุนเตอสั่ง ลูกน้องก็พยายามปิดล้อมเสนาบดีเฉินเอาไว้ เฉินจงกุ้ยเห็นท่าไม่ดีก็พยายามจะพาลูกหนีไปให้ได้ เขาตัวคนเดียวอีกทั้งไม่ได้พาองครักษ์มาด้วยเพราะมาลานล่าสัตว์กะทันหันจึงไม่ได้พาองครักษ์ติดตามมาด้วย นี่นับเป็นคราวเคราะห์โดยแท้ ฮึ่ม!

เฉินมู่อิ๋งกอดท่านพ่อแน่นมือหนึ่ง อีกมือก็ล้วงเข้าไปในอกเสื้อล้วงห่อผ้าออกมา 1 ห่อ สั่งว่า “ท่านพ่อหลับตา!”

เฉินจงกุ้ยไม่ทันคิดอะไรเขาหลับตาลงทันที เฉินมู่อิ๋งก็โยนห่อผ้าห่อนั้นใส่คนร้ายที่อยู่ข้างหน้า หยุนเตอยกกระบี่ฟันห่อผ้าห่อนั้น ฉั๊วะ!

ผงสีคล้ำๆ กระจายออกมา ถูกตัวหยุนเตอ เขาร้องลั่น “อ้า! ตาข้า!”

คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็พลอยถูกผงสีคล้ำไปด้วย “อ้า!”

เขาถูกผงสีคล้ำๆ จนแสบคันยิ่งนัก เฉินมู่อิ๋งมองแล้วสั่งท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ หนี!”

เฉินจงกุ้ยลืมตาขึ้น เห็นคนร้ายข้างหน้ายกมือปิดตาร้องเสียงดังก็รีบชักม้าควบหนีไปทันที คนร้ายข้างหลังชักม้าควบตาม เฉินมู่อิ๋งก็รีบเอาห่อผ้าอีกห่อออกมาโยนใส่คนร้ายข้างหลังทันที

“เหวอ!” คนร้ายผวาห่อผ้าชะงักกึกไม่กล้าตามไป ห่อผ้าตกลงพื้นตุบ! เฉินจงกุ้ยจึงหลุดจากกลุ่มคนร้ายไปได้ เขารีบควบม้าสุดฝีเท้า มุ่งหน้าไปตำหนักล่าสัตว์อย่างเร่งรีบสุดชีวิต พวกคนร้ายเสียจังหวะไม่อาจตามต่อได้ หยุนเตอก็ถูกผงพิษจนแสบตาไปหมดแล้ว

คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กนั้นจะมีพิษสงร้ายกาจถึงเพียงนี้! ฮึ่ม!

เขาเอาถุงน้ำออกมาเทน้ำล้างหน้าล้างตา เขาแสบตามากจนน้ำตาไหลพรากๆ มองอะไรไม่เห็นแล้ว เขาล้างหน้าล้างตาจนพอจะลืมตาขึ้นมาได้นิดหนึ่ง แต่ดวงตาก็ยังแสบมากอยู่ดี คนอื่นลงจากหลังม้าก้มลงไปหยิบห่อผ้าขึ้นมาดู เขาค่อยๆ แกะห่อผ้าตรวจดู เห็นผงสีแดงคล้ำ กลิ่นฉุนอย่างยิ่ง กลิ่นนี้!?

เขาเอานิ้วแตะผงสีแดงคล้ำนั้นขึ้นมาแตะลิ้นแล้วเขาก็รีบถุยทิ้ง “ถุยๆ”

เขาหันไปบอกหยุนเตอว่า “ท่านหยุนเตอ นี่มันผงพริก ไม่ใช่ยาพิษขอรับ”

หยุนเตอพยายามลืมตามอง เขาจดบัญชีแค้นนี้ไว้ในใจแล้ว เจ้าเด็กนั่นอายุเท่านี้ก็รู้จักใช้พริกโยนใส่คนแล้ว! “เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้าเด็กเลว! ฮึ่ม!”

เขาก่นด่าแล้วก็สั่งว่า “ไป!”

พวกเขาก็รีบจากไปทันที แผนการล้มเหลวแล้ว หากเสนาบดีเฉินไปถึงตำหนักล่าสัตว์ เขาย่อมให้ทหารที่อยู่ที่ตำหนักออกมาจับตัวคนร้ายแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรีบหนีไปก่อนที่ทหารจะมาถึง พวกเขาพลาดโอกาสเพียงเพราะผงพริก 2 ห่อ นี่มันน่าเจ็บใจยิ่งนัก! ฮึ่ม!

เมื่อไปถึงตำหนักล่าสัตว์ เฉินจงกุ้ยก็รีบหยุดม้า ทำให้ขุนนางบางคนที่ไม่ได้ตามเสด็จไปด้วยล้วนแปลกใจ “ท่านเสนาบดีเฉินไยจึงรีบร้อนเช่นนั้นเล่า?”

“ข้าถูกคนร้ายตามฆ่าน่ะซิจึงได้รีบพาลูกหนี” เฉินจงกุ้ยบอกสีหน้าตึงเครียด ขุนนางคนอื่นๆ ตกใจ “โอ้!”

“ลานล่าสัตว์ มีคนร้ายด้วยหรือ?” ขุนนางคนหนึ่งถามขึ้นมา ทำให้ได้รับสายตาดูแคลนจากขุนนางคนอื่น องค์ชายเก้าได้ยินที่เสนาบดีเฉินพูดเมื่อครู่เขาจึงรีบวิ่งไปหาเฉินมู่อิ๋งถามว่า “อิ๋งตี้ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”

“ข้าน้อยไม่เป็นอะไรพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ เฉินจงกุ้ยก้มลงกระซิบถามลูก “ห่อนั่นที่เจ้าโยนใส่คนชั่วพวกนั้นคืออะไรรึ?”

“ผงพริกขอรับ” เฉินมู่อิ๋งกระซิบตอบ เฉินจงกุ้ยเบิกตาโต ลูกของเขาฉลาดถึงเพียงนี้เชียวรึ!

“ข้าไปอาบน้ำก่อนดีกว่า พริกทำให้ข้าแสบๆ ยิ่งนัก” เฉินมู่อิ๋งกระซิบบอกแล้วก็ถามว่า “ท่านพ่อ จะอาบน้ำตรงไหนได้บ้างขอรับ?”

“ข้าพาเจ้าไปเอง” เฉินจงกุ้ยอุ้มลูกขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในตำหนัก เขาเดินไปทางด้านหลังของตำหนักซึ่งมีห้องอาบน้ำสำหรับข้าราชบริพารอยู่ เขาสั่งบ่าวที่อยู่แถวนั้นว่า “พวกเจ้ารีบต้มน้ำร้อนมาที ข้าจะอาบน้ำ”

“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่งแล้วเดินไปต้มน้ำร้อนให้ท่านเสนาบดีเฉิน ท่านเสนาบดีผู้นี้ติดตามฮ่องเต้มาหลายครั้งยิ่งนัก พวกเขาล้วนรู้ว่าท่านเสนาบดีผู้นี้เป็นคนโปรดปรานของฮ่องเต้จึงรับใช้อย่างดี

“อ่อ หาอาภรณ์ให้ข้ากับลูกด้วย ข้าไม่ได้เตรียมอาภรณ์มา อาภรณ์ชุดนี้สกปรกแล้วไม่อาจใส่ได้แล้ว” เฉินจงกุ้ยสั่งพลางยื่นถุงเงินให้บ่าง 1 ถุง บ่าวรับถุงเงินไป “ขอรับ”

เฉินจงกุ้ยพาลูกไปนั่งรอในห้องอาบน้ำ ขุนนางด้านนอกก็พูดคุยเรื่องคนร้ายกันอื้ออึง ราชครูจึงสั่งให้ทหารออกไปตามจับคนร้ายมาให้ได้ หากฮ่องเต้รู้เรื่องก็ย่อมสั่งให้ทหารตามจับคนร้ายอย่างโมโหยิ่งนัก กล้าลงมือในเขตลานล่าสัตว์ซึ่งถือเป็นเขตพระราชฐานของฮ่องเต้ เท่ากับลบหลู่เกียรติของฮ่องเต้ ต้องประหาร 9 ชั่วโคตรจึงจะสาสม ฮึ่ม!

ทหารก็รีบแบ่งกำลังไปตามจับคนร้าย ราชครูก็ตามติดองค์ชายเก้าคอยอารักขายิ่งกว่าชีวิตของเขาเสียอีก องค์ชายเก้าก็รอให้เฉินมู่อิ๋งออกมาตามประสาเด็กน้อย เขาเดินไปเดินมา บางครั้งก็นั่งดื่มชากินขนม ชะเง้อชะแง้มองอย่างรอคอย

เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว สวมอาภรณ์ชุดใหม่ที่บ่าวหามาให้เรียบร้อยดีแล้ว สองพ่อลูกก็ออกจากห้องอาบน้ำ องค์ชายเก้าก็วิ่งไปหาทันที “อิ๋งตี้”

เฉินจงกุ้ยปล่อยให้ลูกอยู่กับองค์ชายเก้า ตัวเขาเดินไปคุยกับราชครู เดาว่าราชครูย่อมส่งทหารไปตามจับคนร้ายแล้วแน่นอน เขาถามทันที “ท่านราชครู ทหารกลับมาหรือยัง?”

“ยังเลย” ราชครูตอบ แล้วถามว่า “คนร้ายมีกี่คนรึ?”

“6 คน” เฉินจงกุ้ยตอบ “พวกมันปิดหน้า ข้าจึงไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร?”

อันที่จริงแล้วเขารู้อยู่เต็มอกว่าคนพวกนั้นเป็นคนของเสนาบดีไฉ หากจับคนพวกนั้นได้พวกมันก็ไม่ซัดทอดไปถึงตัวเสนาบดีไฉหรอก พวกมันย่อมออกรับว่าเป็นพวกมันเกลียดชิงชังเขาจึงได้ลงมือฆ่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเสนาบดีไฉสักนิด

“เช่นนั้นก็อาจจะจับตัวได้หรือไม่ได้ก็ได้น่ะซิ” ราชครูพูด มองดูท่าทางของเสนาบดีเฉิน เขายังไม่ทันจะพูดต่อก็ได้ยินเสียงทหารตะโกนว่า “ฮ่องเต้เสด็จ—”

เขาจึงหยุดคุย รีบเดินไปรอรับเสด็จ เฉินจงกุ้ยก็เดินตามไป คนอื่นๆ ก็หยุดคุยรีบเดินไปรอรับเสด็จกันหมด องค์ชายเก้าจูงมือเฉินมู่อิ๋งไปรับเสด็จด้วยกัน “เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อข้าจะล่าสัตว์อะไรได้บ้าง?”

“นกพะย่ะค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ เพราะตอนที่เขาอยู่กับฮ่องเต้ เห็นฮ่องเต้ล่านกได้ 2 ตัว หลังจากนั้นท่านพ่อก็พาเขากลับมา

ฮ่องเต้เสด็จมาถึงก็ลงจากหลังม้า เหล่าขุนนางก็กุมมือคารวะ “ฝ่าบาท”

“พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้สั่งแล้วเดินผ่านพวกขุนนางไป องค์ชายใหญ่ลงจากหลังม้าแล้วเดินตามเสด็จพ่อไปอย่างภาคภูมิใจมาก เขาล่ากระต่ายได้ 3 ตัว ไก่ 2 ตัว เมื่อเดินผ่านเฉินมู่อิ๋งเขาก็มองเฉินมู่อิ๋งอย่างไม่เป็นมิตรเช่นเดิม องค์ชายเก้ารีบเดินไปหาพี่ชาย “พี่ใหญ่ ท่านล่าอะไรมาได้บ้างหรือพะย่ะค่ะ?”

“ข้าล่ากระต่ายได้ 3 ตัว ไก่ 2 ตัว” องค์ชายใหญ่ตอบอย่างภูมิใจ องค์ชายเก้าตบมือชม “พี่ใหญ่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เมื่อข้าโตขึ้นข้าก็จะล่าสัตว์ให้เก่งเหมือนท่าน”

“ขี่ม้าตัวใหญ่ให้ได้ก่อนเถอะ” องค์ชายใหญ่บอก องค์ชายเก้าหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง พยักหน้า “ข้าจะพยายาม”

“เสนาบดีเฉิน ข้าได้ข่าวว่ามีคนร้ายจะฆ่าเจ้ารึ?” ฮ่องเต้ถาม เขาหยุดยืนอยู่ห่างจากเสนาบดีเฉิน 1 ช่วงแขน กวาดตามองร่างเสนาบดีเฉินขึ้นๆ ลง ๆ 1 รอบ เห็นว่าไม่ได้บาดเจ็บอะไรก็เบาใจ

“ราชครูส่งทหารไปตามจับแล้วพะย่ะค่ะ” เฉินจงกุ้ยกุมมือตอบ ฮ่องเต้หันไปสั่งทหารว่า “ตามจับคนร้ายมาให้ได้!”

“พะย่ะค่ะ” ทหารรับคำสั่ง จากนั้นก็แบ่งคนไปตามจับคนร้าย

“กลับวัง” ฮ่องเต้สั่ง ผู้คนก็รีบตื่นตัวกันพรึ่บพั่บ ฮ่องเต้ก็สั่งทหารว่า “แบ่งคนส่วนหนึ่งคุ้มกันเสนาบดีเฉินกลับจวนด้วย”

“พะย่ะค่ะ” ทหารรับคำสั่ง เฉินจงกุ้ยรีบขอบพระทัย “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“อืม” ฮ่องเต้พยักหน้าทีหนึ่งแล้วเดินไปขึ้นรถม้า องค์ชายใหญ่เดินตามไป องค์ชายเก้าก็รีบตามไป ก่อนไปเขาหันไปพูดกับเฉินมู่อิ๋งว่า “พรุ่งนี้เจอกันนะ”

เฉินมู่อิ๋งไม่ได้ตอบอะไร เขามององค์ชายเก้าไปจนองค์ชายเก้าเข้าไปในรถม้า ราชครูก็รีบตามขึ้นไปนั่งกับสารถี หลังจากนั้นรถม้าก็วิ่งกลับวังหลวง เฉินจงกุ้ยก็จูงลูกเดินไปที่รถม้าของเขา สองพ่อลูกขึ้นรถม้าแล้วสารถีก็บังคับรถม้าวิ่งตามขบวนเสด็จไป ทหารก็ตามคุ้มกันขบวนเสด็จอย่างแข็งขัน

จนกระทั่งรถม้าเข้าประตูเมืองไปแล้วสารถีก็บังคับรถม้าแยกกลับจวนไป ทหารก็แบ่งกำลังไปคุ้มกันเสนาบดีเฉินไปจนถึงจวน หลังจากส่งท่านเสนาบดีเฉินถึงจวนแล้วทหารก็กลับไป เฉินจงกุ้ยก็อุ้มลูกลงจากรถม้า จูงมือเข้าเรือน พ่อบ้านเหลียงรออยู่แล้วรีบเดินไปบอกว่า “ท่านพ่อตามาขอรับ รออยู่ที่ห้องโถงขอรับ”

“หือ?” เฉินจงกุ้ยขมวดคิ้ว เขารีบเดินไปที่ห้องโถงทันที พลางจูงมือลูกไปด้วย เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าปลายนิ้วท่านพ่อเย็นขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงมองหน้าท่านพ่อสังเกตท่าทางของท่านพ่อเงียบๆ

เมื่อไปถึงห้องโถง เฉินจงกุ้ยเห็นฮูหยินนั่งอยู่ในห้องโถง ส่วนท่านพ่อตาก็นั่งอยู่ข้างๆ เฉินม่านอิ๋งมองไปพลางบอกว่า “ท่านพ่อ ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

“หึ!” หวงห้าวหยาง(黄浩洋) แค่นเสียงคำหนึ่ง มองลูกเขยอย่างไม่ชอบใจนัก เฉินจงกุ้ยเดินเข้าไปกุมมือคารวะ “ท่านพ่อ”

“อ่อ ยังจำได้ว่าข้าเป็นพ่อตาเจ้าอยู่รึ?” หวงห้าวหยางถามน้ำเสียงเย็นชา เฉินจงกุ้ยรีบคุกเข่าลงไป “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ลืมว่าท่านเป็นท่านพ่อตาของข้าสักวันเลยนะขอรับ”

“จนหลานข้าโตขนาดนั้นแล้ว เจ้ายังไม่เคยพาลูกสาวข้ากับหลานข้าไปหาข้าบ้างเลย ยังจะนับว่าข้าเป็นพ่อตาอยู่อีกรึ! หึ!” หวงห้าวหยางแค่นเสียงอย่างโมโห นิ้วชี้ไปที่หลานตัวน้อยซึ่งไม่เคยเห็นหน้า แต่ได้รับรายงานจากสาวใช้ของลูกสาวว่า เขามีหลาน 1 คนแล้ว

“ท่านพ่อ เป็นเพราะร่างกายข้าไม่แข็งแรงจึงไม่อาจเดินทางไกลได้ ไม่ใช่ท่านพี่ไม่อยากพาข้าไปเยี่ยมท่านหรอกเจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งแก้ตัวแทนสามี หวงห้าวหยางหันไปมองลูกสาวอย่างโมโห “เจ้าก็เข้าข้างมันเสียจริง เจ้านอนไปในรถม้าจะเดินทางไม่ได้ได้อย่างไร! มันขี้เกียจพาเจ้าไปหาข้าต่างหาก”

“ท่านพ่อ ท่านพี่อยากจะพาไปนะเจ้าคะ แต่เป็นข้าเองที่ไม่อยากเดินทางกลับไป” เฉินม่านอิ๋งบอกน้ำเสียงเข้มขึ้น “ข้าไม่แข็งแรงเช่นนี้ เดินทางลำบากนัก หรือท่านพ่อต้องการให้ข้าเดินทางไปแล้วฝังอยู่ที่บ้านเจ้าคะ?”

“อิ๋งเอ๋อร์ พ่อไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะ เจ้าอย่าได้โมโหไป เดี๋ยวจะป่วยเอา” หวงห้าวหยางปะเหลาะลูกสาว เฉินม่านอิ๋งส่งเสียงคำหนึ่ง “ฮึ!”

เฉินมู่อิ๋งเห็นท่านแม่โมโหจึงรีบเดินไปหา “ท่านแม่ขอรับ”

“อิ๋งเอ๋อร์” เฉินม่านอิ๋งมองลูก พลางอุ้มลูกขึ้นมานั่งตัก หวงห้าวหยางมองหลานพลางกวักมือ “มาหาตาก่อน”

เฉินมู่อิ๋งลงจากตักท่านแม่ เดินไปหาท่านตา กุมมือคารวะ “ท่านตา”

“ดีๆ” หวงห้าวหยางมองหลานแล้วจับหลานหมุนซ้ายหมุนขวามองขึ้นๆ ลงๆ ลงๆ ขึ้นๆ หลายรอบ สุดท้ายสายตาของเขาก็หยุดลงที่ต่างหูบนหูซ้าย “นี่!”

“ไพลินฟ้าคราม เครื่องหมายเจ้าตระกูลหวงอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เฉินม่านอิ๋งตอบ หวงห้าวหยางอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วบ่นว่า “เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะ มอบไพลินฟ้าครามให้ลูกเจ้าโดยไม่ผ่านการทดสอบไม่ได้”

“ข้ามอบให้เขาไปแล้ว” เฉินม่านอิ๋งตอบอย่างกำปั้นทุบดิน หวงห้าวหยางจับต่างหูถอดออกทันที แต่เขาดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก เฉินมู่อิ๋งถูกดึงจนเจ็บหูจึงร้อง “ท่านตา ข้าเจ็บ”

“วะ ทำไมถอดไม่ได้เล่า!?” หวงห้าวหยางสบถพยายามดึงต่างหูออกมา เฉินมู่อิ๋งปัดมือท่านตาออก แล้วรีบเดินไปหาท่านแม่ ฟ้องว่า “ท่านแม่ ข้าเจ็บ”

“โอ๋ๆ” เฉินม่านอิ๋งปลอบลูก พูดกับท่านพ่อว่า “ต่างหูนี้ข้าเคยพยายามถอดออกแล้วแต่ก็ถอดไม่ออกอีกเลย ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากคิดจะถอดต่างหูออกจากหูเขามีทางเดียวคือต้องตัดหูแล้วล่ะท่านพ่อ ท่านอยากจะตัดหูหลานไหมล่ะ?”

“ไหนๆ มาให้ตาลองอีกทีซิ” หวงห้าวหยางลุกขึ้นเดินไปหาหลาน ยื่นมือไปดึงต่างหูออกมา เฉินมู่อิ๋งไม่หลบ ยอมให้ท่านตาลองดึงต่างหูอีกครั้ง หวงห้าวหยางก็พยายามดึงออก เขาจับตัวต่างหูข้างหน้ากับแป้นข้างหลังแล้วออกแรงดึงแยกออกจากกัน “ฮึ๊บบบบบ—”

เขาดึงจนสุดแรงแล้วก็ยังดึงไม่ออกเลย เขาพยายามอีกครั้ง “ฮึ๊บบบบบบบ—”

ก็ยังดึงไม่ออก ราวกับต่างหูติดแน่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของติ่งหูไปแล้ว เขาหมดแรงจึงปล่อยมือ ก้มมองต่างหูอย่างแปลกใจ “เมื่อก่อนไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เลยสักครั้ง ไม่ว่าใครใส่ก็ถอดได้หมดทุกคน เหตุใดพอเจ้าเด็กคนนี้ใส่ถึงได้เป็นเช่นนี้เล่า?”

“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งส่ายหน้า เฉินจงกุ้ยยิ่งส่ายหน้าไปมา เขารู้เกี่ยวกับต่างหูนี้น้อยยิ่งกว่าฮูหยินเสียอีก หวงห้าวหยางถอยไปนั่งที่เก้าอี้คิดๆ “อืม?”

สักพักเขาก็พูดว่า “เช่นนั้นต้องพาเขากลับไปทดสอบเป็นเจ้าตระกูลรุ่นต่อไป”

“เอ่อ…” เฉินจงกุ้ยพูดไม่ออก เท่าที่เขาได้ฟังจากฮูหยินการทดสอบเจ้าตระกูลของตระกูลหวงนั้นยากเย็นยิ่งนัก ลูกจะสอบผ่านหรือ?

ได้ยินว่ามีคนที่สอบไม่ผ่านถึงตายด้วยนะ!

เฉินมู่อิ๋งสงสัยจึงถามว่า “ท่านแม่การทดสอบเจ้าตระกูลคืออะไรขอรับ?”

“การทดสอบเจ้าตระกูลก็คือการทดสอบเป็นเจ้าตระกูลหวงอย่างไรล่ะ หากเจ้าผ่านการทดสอบก็จะกลายเป็นเจ้าตระกูลหวงทันที มีอำนาจเหนือคนตระกูลหวงทุกคน คล้ายๆ กับเป็นฮ่องเต้ของตระกูลหวงนั่นแหละ” เฉินม่านอิ๋งอธิบาย เฉินมู่อิ๋งถามต่อ “แล้วการทดสอบนี้มีอะไรบ้างขอรับ? ทดสอบวรยุทธ์? ทดสอบความรู้? หรือว่าทดสอบไหวพริบปฏิภาณขอรับ?”

“แม่ก็ไม่รู้เช่นกัน แม่เคยเข้าไปในห้องทดสอบแล้วจำอะไรไม่ได้ คล้ายหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา หินทดสอบก็ไม่เปลี่ยนสี ตระกูลหวงจึงไม่มีเจ้าตระกูลมาหลายรุ่นแล้ว บางคนเข้าไปทดสอบแล้วตายอยู่ในนั้นก็มี” เฉินม่านอิ๋งอธิบาย เฉินมู่อิ๋งยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับตระกูลฝั่งท่านแม่มากขึ้น ก่อนหน้านี้ท่านแม่ก็ไม่ค่อยพูดถึงตระกูลเดิมสักเท่าไหร่ รู้แต่ว่าตระกูลเดิมแซ่หวง อยู่ที่เมืองเว่ยหง (卫洪) เมืองเล็กๆ ห่างไกลจากเมืองหลวงมากนักติดกับชายแดนแคว้นซีเอ่อ

ยิ่งฟัง เฉินมู่อิ๋งก็ยิ่งสงสัย หวงห้าวหยางก็พูดว่า “ต้องพาเขากลับไปทดสอบ ไม่เช่นนั้นก็ต้องตัดหูเขาเอาต่างหูออก หากมีใครอยากสวมไพลินฟ้าครามเข้าทดสอบเป็นเจ้าตระกูลหากไม่มอบไพลินให้คงเกิดศึกในตระกูลแน่”

“ท่านแม่ข้าอยากไปทดสอบขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก เขารู้สึกว่าตระกูลฝั่งท่านแม่มีความลับอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ อีกทั้งเขาก็อยากหาข้ออ้างไปจากเมืองหลวงสักพักจะได้ไม่ต้องเข้าเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายใหญ่นั่นอีก องค์ชายใหญ่ไม่ชอบเขา ดังนั้นเขาก็ควรจะอยู่ให้ห่างๆ องค์ชายใหญ่ไว้หน่อยดีกว่า

“เจ้าอยากไปจริงๆ หรือ?” หวงห้าวหยางถามอย่างตื่นเต้นดีใจ เขาอยากพาหลานไปอวดคนในตระกูลยิ่งนัก ว่าเขาก็มีหลานเหมือนกันนะ ทั้งหลานเขายังหน้าตาดีอีกด้วย เขาอิจฉาคนอื่นทุกครั้งที่มีลูกหลานอยู่เคียงข้าง ใครใช้ให้เขามีลูกสาวคนเดียวอีกทั้งยังแต่งงานกับบุรุษจากเมืองหลวงเล่า ก่อนแต่งงานเขาห้ามปรามอย่างไรลูกสาวก็ไม่ฟัง อยากจะแต่งกับเจ้าหนุ่มจากเมืองหลวงจนถึงขนาดขู่ว่าถ้าไม่ให้แต่งจะหนีตามไป ทำเขาโมโหแทบตายไปครั้งหนึ่งแล้ว

ตอนนี้หลานอยากกลับไปทดสอบเป็นเจ้าตระกูลเขาจึงดีใจยิ่งนัก จะได้พาหลานไปอวดคนอื่นให้ทั่วเมืองเลยทีเดียว หึๆๆๆๆ

“ข้าไม่ให้ไป” เฉินจงกุ้ยพูดขึ้นมาสีหน้าขึงขังจริงจัง หวงห้าวหยางโมโหขึ้นมาทันที “ข้าจะพาหลานไปแล้วก็จะพาอิ๋งเอ๋อร์กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดด้วย”

“ท่านพ่อ ร่างกายข้าไม่อาจเดินทางไกลได้” เฉินม่านอิ๋งพูดน้ำเสียงเย็นๆ หวงห้าวหยางรู้สึกขนคอลุกชันขึ้นมา “เอาๆ เจ้าไม่อาจเดินทางไกลก็ไม่ต้องไป ข้าพาหลานไปคนเดียวก็ได้”

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ให้ข้าไปเถอะนะขอรับ ข้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับต่างหูข้างนี้ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งอ้อน เขาเคยสงสัยว่าต่างหูนี้มีข้างเดียวหรือ? แล้วอีกข้างล่ะ? ไพลินวิญญาณมีเม็ดเดียวหรือมี 2 เม็ด? เขาสงสัยเรื่องนี้มานานมากแล้ว แต่ผู้เฝ้ามองก็ไม่อยู่ให้ถามเสียแล้ว จะไปถามคนอื่นก็ไม่รู้จะถามใครได้ ท่านแม่ก็บอกว่าต่างหูข้างนี้มีข้างเดียว สืบทอดต่อกันมาในตระกูลนานแล้ว แต่เขารู้สึกว่าถ้าเป็นต่างหูก็ควรมี 2 ข้างซิ อีกทั้งเขาก็อยากรู้เรื่องตระกูลหวงด้วย ทั้งยังอยากหลบเลี่ยงการเข้าใกล้องค์ชายใหญ่ไปด้วย มีเหตุผลถึง 3 ข้อเชียวนะ

“เรื่องนี้เอาไว้ตัดสินใจวันอื่นเถอะนะ” เฉินจงกุ้ยเลี่ยงไป หวงห้าวหยางหน้าดำทมึนขึ้นมาอย่างโมโหลูกเขย เจ้าลูกเขยคนนี้ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็ยังฝีปากดียิ่งนัก หึ!

“ก็ได้” เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า นางมองอาภรณ์ลูกกับสามีแล้วถามว่า “ว่าแต่เหตุใดจึงเปลี่ยนอาภรณ์? ข้าจำได้ว่าเมื่อเช้าไม่ใช่ชุดนี้นี่นา”

“พอดีข้าตามเสด็จฝ่าบาทไปลานล่าสัตว์นะ อาภรณ์เปรอะเปื้อนจึงต้องอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์” เฉินจงกุ้ยตอบ หวงห้าวหยางรีบพูดว่า “เจ้าไปยุ่งเกี่ยวกับสตรีอื่นจนกลิ่นติดตัวมากระมังจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์”

“ท่านตา ท่านพ่อถูกข้าทำผงพริกหกใส่ต่างหาก ข้ากับท่านพ่อจึงต้องอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่” เฉินมู่อิ๋งช่วยพูดให้ท่านพ่อ หวงห้าวหยางหน้างอฉับ! เขาพยายามหาทางให้อิ๋งเอ๋อร์หย่ากับเจ้าลูกเขย นางจะได้กลับบ้านไปอยู่กับเขา เขาจะได้ไม่ต้องเหงาหงอยอีกต่อไป

“ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว” เฉินมู่อิ๋งอ้อนท่านแม่ เฉินม่านอิ๋งจึงให้สาวใช้ไปยกอาหารมา แล้วนางก็บอกท่านพ่อว่า “ท่านพ่อข้ามีเหล้าดี”

Chapter 10

การทดสอบเจ้าตระกูล 1

หวงห้าวหยางตาโตหูผึ่งทันที “รีบยกมาเลย”

“เจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งยิ้มๆ ส่งสายตาสั่งสาวใช้ สาวใช้ก็รีบไปยกไหเหล้าเลิศรสมาทันที นางยกไหเหล้าไปวางตรงหน้าหวงห้าวหยาง หวงห้าวหยางรีบเปิดไหเหล้าดมกลิ่น “อา เหล้าดีๆ”

เขารินเหล้าลงจอกอย่างถูกอกถูกใจ เฉินมู่อิ๋งจึงเรียนรู้ว่าท่านตาชอบดื่มเหล้า เช่นนั้นต่อไปในอนาคตหากเขาจะปะเหลาะท่านตาก็ต้องใช้เหล้าปะเหลาะ ฮี่ๆๆๆ

หลังจากนั้น ทั้ง 4 คนก็นั่งกินข้าวร่วมกัน หวงห้าวหยางดื่มจนเมา บ่าวก็ประคองหวงห้าวหยางไปนอนในห้องที่จัดเตรียมเอาไว้ ส่วน 3 พ่อแม่ลูกก็เข้าเรือนนอนไป เมื่ออยู่ตามลำพัง 3 คนแล้วเฉินมู่อิ๋งก็อ้อนท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากไปบ้านเกิดของท่านแม่ขอรับ”

“เจ้ายังเล็กนัก จะเดินทางไกลได้อย่างไร” เฉินจงกุ้ยพูดอย่างเป็นห่วง เฉินมู่อิ๋งก็ปะเหลาะท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ ข้าอยู่ที่นี่ข้าต้องแกล้งทำตัวอ่อนแอ จะฝึกวรยุทธ์ก็ไม่สะดวก อีกทั้งหูตามากเกินไป ทั้งข้ายังต้องไปเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายใหญ่ซึ่งองค์ชายใหญ่ไม่ชอบข้า ข้าไม่อยากสร้างปัญหาให้ท่านพ่อขอรับ สู้ให้ข้าไปไกลๆ สักพักจะดีกว่านะขอรับ คิดเสียว่าข้าไปร่ำเรียนวิชาก็ได้ขอรับ”

“หือ? องค์ชายใหญ่ไม่ชอบเจ้าหรือ? เขากลั่นแกล้งอะไรเจ้าบ้าง?” เฉินม่านอิ๋งถามลูกทันที เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “เขายังไม่ได้กลั่นแกล้งรังแกข้า แต่เขาไม่ชอบข้านั้นเป็นเรื่องจริงขอรับ”

“อ่อ” เฉินม่านอิ๋งรับรู้ นางเบาใจขึ้นนิดหนึ่งที่ลูกไม่ได้ถูกรังแกอะไร หากกล้ารังแกลูกของนางซิ ต่อให้เป็นองค์ชายนางก็จะแก้แค้นคืนให้สาสมเชียว

“ท่านแม่ ท่านตาคงเหงามากนะขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพูดขึ้นมา เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า “อืม” แล้วนางก็พูดว่า “ข้าชวนท่านตาเจ้ามาอยู่ด้วยตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ท่านตาเจ้าก็ไม่ยอมมา บอกว่าไม่ชอบเมืองหลวงที่มีคนพลุ่กพล่านเกินไป”

“เช่นนั้นตอนที่ข้าไปกับท่านตาข้าจะปะเหลาะท่านตาให้ย้ายมาอยู่กับพวกเราดีไหมขอรับ?” เฉินมู่อิ๋งถาม เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า “ดีๆ”

“เดี๋ยวๆ พวกเจ้าน่ะ ข้าอนุญาตให้เขาไปกับท่านพ่อแล้วรึ?” เฉินจงกุ้ยขัดขึ้นมา เฉินมู่อิ๋งก็ขยับไปหาท่านพ่อ ปีนขึ้นเก้าอี้ไปนั่งตักท่านพ่อ อ้อนว่า “ท่านพ่อขอรับ อนุญาตให้ข้าไปเถอะนะขอรับ ข้าอยากฝึกวรยุทธ์ ข้าไม่อยากไปเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายใหญ่ ท่านพ่อยอมให้ข้าไปเถอะนะขอรับ”

เฉินจงกุ้ยถูกลูกออดอ้อนขนาดนี้เขาก็ทำใจแข็งไม่ลง แต่เขาก็ไม่อยากให้ลูกไปเลย เฉินมู่อิ๋งจึงพูดว่า “ถือเสียว่าให้ข้าเป็นตัวแทนท่านแม่ไปเยี่ยมบ้านเกิดเถอะขอรับ ถ้าท่านตาหาข้ออ้างอะไรมาพาท่านแม่กลับไป ข้าเกรงว่าท่านตาคงไม่ยอมให้ท่านแม่กลับมาง่ายๆ แน่นอน”

เฉินจงกุ้ยมองลูกอย่างตกตะลึง ลูกดูออกด้วยหรือว่าท่านตาพยายามหาทางพาท่านแม่กลับไปน่ะ!

“เรื่องวรยุทธ์ ท่านพ่อย่อมสอนได้ ให้อิ๋งเอ๋อร์ไปเรียนวรยุทธ์กับท่านพ่อก็ดีเหมือนกัน” เฉินม่านอิ๋งพูดอย่างครุ่นคิดถึงอนาคตของลูก หากวรยุทธ์อ่อนด้อยย่อมเอาตัวรอดยาก อีกทั้งศัตรูในที่ลับที่แจ้งก็มีมากนัก การส่งลูกไปอยู่กับท่านพ่อสักพักย่อมเป็นการดี ในระหว่างนี้นางจะได้หาทางจัดการ ‘สุนัข’ 2 ตัวนั้นเสีย พวกมันคิดร้ายต่อนางกับลูกมาหลายหนแล้ว บัญชีแค้นนี้คงต้องถึงเวลาทวงคืนเสียที นางมองสามีด้วยดวงตาแน่วแน่ “ท่านพี่ ยอมให้อิ๋งเอ๋อร์ไปบ้านเกิดข้าสักครั้งเถอะเจ้าค่ะ”

“แต่ว่าลูกยังเด็กนัก” เฉินจงกุ้ยพูดอย่างทำใจไม่ได้ที่จะต้องห่างลูก เฉินม่านอิ๋งจึงบอกว่า “ท่านพี่จะยอมดีๆ หรือต้องให้ข้า…”

“ยอมแล้วๆ ข้ายอมให้ลูกไปแล้ว” เฉินจงกุ้ยรีบพูด ถ้าไม่ยอมมีหวังฮูหยินของเขาได้งอนกลับบ้านเกิดไปพร้อมกับท่านพ่อตาน่ะซิ ไม่เอาเช่นนั้นเด็ดขาด เขายอมให้ลูกไปก็ได้ ฮือๆๆๆๆ

“ท่านพี่น่ารักที่สุด” เฉินม่านอิ๋งยิ้ม ยื่นมือไปหยิกแก้มสามีเบาๆ เฉินมู่อิ๋งมองท่านพ่อกับท่านแม่ตาปริบๆ เขารู้ว่าท่านพ่อรักท่านแม่มาก ไม่ว่าท่านแม่จะอยากได้อะไรท่านพ่อจะต้องขวนขวายหามาให้ท่านแม่ให้ได้ ใครๆ ในจวนต่างก็รู้ดีว่านายท่านนั้น ‘กลัวเมีย’ เป็นที่สุด หึๆๆๆ

เมื่อตกลงได้แล้ว เฉินมู่อิ๋งก็ถามเกี่ยวกับบ้านเกิดของท่านแม่ เฉินม่านอิ๋งก็เล่าให้ลูกฟัง “ที่นั่น………”

เฉินจงกุ้ยก็ฟังไปด้วย เขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องในตระกูลของฮูหยินมากนัก รู้แต่ว่าเป็นตระกูลใหญ่มีอำนาจของเมืองเว่ยหง แต่รายละเอียดนั้นเขาไม่รู้จริงๆ ตอนเขาพบฮูหยินก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาไปเมืองเว่ยหง เรียกว่าพบนางครั้งแรกก็รักนางแล้ว เขาจึงเอ่ยปากขอนางแต่งงานอย่างทำใจกล้าหน้าด้านที่สุดในชีวิต หลังจากนั้นเขาก็ถูกท่านพ่อของนางขัดขวางทุกวิถีทาง เขาเกือบจะถูกฆ่าแล้ว ดีว่านางออกหน้ามาช่วยเขาไว้ได้ทัน เขาจึงไม่ได้ตายคาคมดาบขององครักษ์ตระกูลหวง นางก็ยื่นคำขาดกับท่านพ่อว่า ถ้าไม่ให้นางตกแต่งกับเขานางจะหนีตามเขาไปเสีย หากหนีตามไม่ได้นางก็จะฆ่าตัวตายไปเสียเลย หวงห้าวหยางรักลูกสาวมากจึงจำต้องยอมให้ลูกตกแต่งกับหนุ่มจากเมืองหลวงอย่างเขา

เมื่อเฉินม่านอิ๋งเล่าจบ เฉินจงกุ้ยก็ปากอ้าตาค้างไปแล้ว โอ!!! ตระกูลหวงมีอำนาจมากจริงๆ

เฉินมู่อิ๋งก็ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลฝั่งท่านแม่มากขึ้น หลังจากเล่าจบแล้วสามพ่อแม่ลูกก็เข้านอน

วันรุ่งขึ้น เมื่อหวงห้าวหยางรู้ว่า ลูกเขยยอมให้หลานไปกับเขา เขาก็ดีใจมาก “ฮ่าๆๆๆ ดีๆๆ”

เขาหัวเราะครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “เช่นนั้นข้ากลับเลยดีกว่า เจ้าจะได้เปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว”

“หา!” เฉินจงกุ้ยปากอ้าตาค้าง ตกใจราวฟ้าผ่ากลางกบาลอย่างไรอย่างนั้น เขายังไม่ทันได้เตรียมใจดีๆ เลยนะ ท่านพ่อตาก็จะรีบพาหลานไปเช่นนี้เลยรึ! ฮือๆๆๆๆ

“อี้จื่อ เก็บของกลับบ้าน” หวงห้าวหยางตะโกนสั่งคนสนิท หวงอี้จื่อ (黄羿之) รับคำสั่ง “ขอรับ”

เขาสั่งบ่าวอีกทอดหนึ่งให้รีบเก็บข้าวของใส่รถม้าทันที เฉินม่านอิ๋งถอนหายใจทีหนึ่ง นางคิดอยู่แล้วเชียวว่าท่านพ่อจะต้องรีบพาหลานกลับไปแน่นอน นางจึงสั่งสาวใช้ว่า “เก็บของใช้ของคุณชายใส่รถม้าท่านพ่อเร็วๆ”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วรีบเดินไปเก็บของ เฉินมู่อิ๋งมองท่านแม่ เขาเดินไปกอดท่านแม่อย่างรู้สึกอาลัยอาวรณ์ เฉินม่านอิ๋งก็กอดลูกแน่น กว่าจะเดินทางไปถึง กว่าจะเดินทางกลับมา กว่าจะจัดการเรื่องราวต่างๆ เรียบร้อยดี กะคร่าวๆ แล้ว นางคงไม่เจอลูกเป็นปีเลยเชียวนะ เมื่อคิดถึงระยะเวลาที่จะไม่ได้เจอหน้าลูกนางก็ใจหายขึ้นมา อยากจะเปลี่ยนใจเสียเดี๋ยวนี้ ไม่ให้ลูกไปแล้วดีกว่า แต่นางพูดไปแล้วไม่อาจเปลี่ยนใจได้ ไม่เช่นนั้นท่านพ่อจะเสียใจ นางข่มความรู้สึกอยากร้องไห้ลงไป กอดลูกแน่นมาก

จนกระทั่งทำใจได้แล้วนางจึงคลายอ้อมกอด เฉินจงกุ้ยก็เดินไปกอดฮูหยินกับลูก เขาพูดกับลูกว่า “เจ้าต้องดูแลตัวเองให้มากๆ ล่ะ ถึงเจ้าจะฉลาดอย่างไรก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี ระวังตัวให้มากหน่อยเข้าใจหรือไม่?”

“ขอรับท่านพ่อ ข้าจะดูแลตัวเองดีๆ ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ เฉินม่านอิ๋งจึงหันไปสั่งสาวใช้ว่า “พวกเจ้าตามไปรับใช้คุณชายเถอะ”

“ไม่ต้องๆ ให้พวกนางอยู่รับใช้เจ้าน่ะดีแล้ว ข้าจะได้วางใจ ส่วนสาวใช้ของมู่อิ๋งเดี๋ยวข้าหาให้ใหม่ รับรองว่าจะคัดสาวใช้หน้าตาดีๆ ให้อย่างดีเลย 7 คืน 7 คนไปเลย หึๆๆๆๆ” หวงห้าวหยางหัวเราะชอบใจ เฉินม่านอิ๋งหน้าดำทมึนขึ้นมา “ท่านพ่อ อิ๋งเอ๋อร์ยังอายุแค่ 6 ขวบกว่าๆ ท่านไม่ต้องรีบหาบ่าวอุ่นเตียงให้เขาหรอก”

“ต้องรีบๆ เขาจะได้อยากอยู่ที่เมืองเว่ยหงตลอดไป” หวงห้าวหยางพูดยิ้มๆ เขาไม่ปิดบังแผนการล่อลวงหลานสักนิด เฉินจงกุ้ยยกมือนวดขมับอย่างอ่อนใจ ท่านพ่อตายังไม่ทันพาหลานไปเลยก็คิดแผนการหลอกล่อให้หลานอยู่ที่นั่นเสียแล้ว เฮ้อ…

เฉินมู่อิ๋งฟังผู้ใหญ่คุยกันไปคุยกันมา เขาเข้าใจทุกอย่างแต่ก็ทำเฉยเสีย เขาก็มีแผนการกล่อมให้ท่านตามาอยู่กับท่านแม่เหมือนกัน ฮี่ๆๆๆ

หลังจากนั้นหวงอี้จื่อก็เดินไปกุมมือรายงานว่า “นายท่านขอรับ พร้อมเดินทางแล้วขอรับ”

“ดีๆ” หวงห้าวหยางพยักหน้า เขาเดินไปหาหลาน ยื่นมือไป “ไปกันเถอะมู่อิ๋ง”

เฉินม่านอิ๋งจึงกอดลูกแน่นๆ ทีหนึ่งแล้วยอมปล่อยลูก เฉินจงกุ้ยก็คว้าลูกไปกอดแน่นๆ อยู่นาน น้ำตาซึมในดวงตา

“นี่ๆ ปล่อยหลานข้าได้แล้ว” หวงห้าวหยางเร่ง เฉินจงกุ้ยจึงยอมปล่อยลูก หวงห้าวหยางยื่นมือไปจับมือหลานแล้วบอกว่า “ข้ากลับล่ะ พวกเจ้าคิดถึงเขาก็ไปเยี่ยมได้ทุกเมื่อ”

พูดจบแล้วเขาก็อุ้มหลานขึ้นมา พาไปขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าลูกสาวกับลูกเขยจะเปลี่ยนใจอย่างไรอย่างนั้น หวงอี้จื่อก็ขึ้นไปนั่งข้างสารถี ส่วนองครักษ์ก็ขึ้นม้าอย่างรวดเร็วยิ่ง หวงห้าวหยางสั่งว่า “กลับ!”

รถม้าก็เคลื่อนตัวออกไป องครักษ์ก็ตามคุ้มกันอย่างแข็งขัน เฉินม่านอิ๋งกับเฉินจงกุ้ยมองตามรถม้าไปอย่างใจหายมาก ลูกไม่เคยห่างอก พอได้ห่างอกก็จำต้องห่างไปไกลถึงชายแดนเชียวนะ เฉินจงกุ้ยยืนน้ำตาไหล “ฮูหยิน—”

เขาซบหน้ากับบ่าฮูหยินกลั้นเสียงร้องไห้จนปากสั่น เฉินม่านอิ๋งก็ลูบหลังสามีปลอบใจ สามีของนางนั้นจริงๆ แล้ว ‘ขี้แย’ มากเลยนะ สถานการณ์เช่นนี้ควรเป็นนางที่ร้องไห้ให้สามีปลอบใจซิ แต่ดูซิกลับเป็นนางที่ต้องปลอบใจเขาไปเสียได้ โถๆ พ่อหนุ่มน้อยขี้แยของข้า

หวงห้าวหยางนั่งกอดหลานดีใจจนหน้าระรื่นชื่นบาน เฉินมู่อิ๋งก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เขารู้สึกใจหายเหมือนกันที่ต้องจากเมืองหลวงไป แต่เขาจำเป็นต้องไปจริงๆ อยู่ที่นี่ก็ไม่อาจฝึกวรยุทธ์ดีๆ ได้เลย หูตาศัตรูก็มีมากเกินไป รอเขาโตอีกหน่อยค่อยกลับมาจัดการศัตรูทีละคน…ทีละคนเถอะ เริ่มจาก ‘สุนัข’ 2 ตัวนั้นก่อนก็ดีนะ หึๆๆๆ

ท่านแม่อยู่กับท่านพ่อเขาจึงไม่ห่วงท่านพ่อมากนัก อย่างน้อยท่านแม่ก็เท่าทันพวกสุนัข 2 ตัวนั่น คอยดูเถอะเขากลับมาเมื่อไหร่จะจัดการสุนัข 2 ตัวนั้นให้เจียนตายเลย!

เมื่อทำใจได้แล้วเฉินจงกุ้ยก็เข้าวังหลวงไปทำงาน เขาให้คนไปรายงานราชครูว่า เฉินมู่อิ๋งไม่อาจมาเรียนได้แล้วเพราะไปอยู่กับท่านตาที่เมืองเว่ยหงแล้ว ราชครูก็ไม่พูดอะไร เฉินมู่อิ๋งนั้นเป็นเพียงตัวเสริมเท่านั้น ตัวหลักของเขาก็คือองค์ชายทั้งสอง

เมื่อองค์ชายเก้ารู้ว่าเฉินมู่อิ๋งไม่อาจมาเรียนได้เขาก็ซึมไปเลย ส่วนองค์ชายใหญ่ดีใจมาก ไปอยู่เมืองเว่ยหงตลอดไปเลยนะ ไม่ต้องกลับมาเมืองหลวงเลยยิ่งดี หึๆๆๆ

ฮ่องเต้รู้ว่าเฉินมู่อิ๋งไปอยู่กับท่านตาแล้วก็รู้สึกเศร้าหน่อยๆ เขาเอ็นดูเด็กคนนั้นมากเลยนะ เฮ้อ…

ครั้นกลับถึงจวน จวนก็เงียบมากจนน่าเศร้า เฉินจงกุ้ยจึงกินอะไรไม่ค่อยลง เขากินไม่กี่คำแล้วก็ไปอาบน้ำเข้านอน เฉินม่านอิ๋งก็นอนข้างสามี ปกติแล้วมีลูกนอนอยู่ตรงกลาง คืนนี้ไม่มีแล้วทำนางเศร้าใจมากจริงๆ นางจึงขยับไปกอดสามี เฉินจงกุ้ยก็กอดฮูหยินร้องไห้อึกๆ “ฮูหยิน อึกๆ ข้า อึกๆ คิดถึงลูก อึกๆ”

“ข้าก็คิดถึงลูกเช่นกัน” เฉินม่านอิ๋งบอกน้ำตาไหล นางก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จนกระทั่งหยุดร้องไห้แล้วนางจึงเช็ดหน้าเช็ดตา เฉินจงกุ้ยมองฮูหยิน เขาไม่ได้กอดนางเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ? อืม? ตั้งแต่ลูกคลอดนั่นแหละ

ความรู้สึกบางอย่างทะยานขึ้นมา เขาจึงเริ่มลูบไล้เนื้อตัวฮูหยินถามว่า “ฮูหยิน ข้าทำได้หรือไม่?”

“ทำเลย” เฉินม่านอิ๋งตอบเสียงเบา เฉินจงกุ้ยจึงถอดอาภรณ์ฮูหยินออก หลังจากนั้นก็มีเสียงครางแผ่วเบาดังออกมา สาวใช้ล้วนรีบคลานออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ

วันคืนผ่านไปราว 3 เดือน รถม้าก็ไปถึงเมืองเว่ยหง รถม้าวิ่งไปจอดหน้าจวนตระกูลหวง สารถีก็บอกว่า “นายท่านขอรับ ถึงจวนแล้วขอรับ”

“อืม” หวงห้าวหยางลงจากรถม้าทันที เฉินมู่อิ๋งเดินตามออกไป หวงห้าวหยางก็ยื่นมือไปอุ้มหลานลงมาเอง บ่าวจะช่วยอุ้มลงอุ้มขึ้นหลายครั้งแล้วแต่หวงห้าวหยางไม่ยอมให้ใครอุ้มหลานเลย เรียกว่ากำลังเห่อหลานนั้นแหละ เฉินมู่อิ๋งเงยหน้ามองป้ายจวนตระกูลหวงเหนือประตูสีแดงบานใหญ่ ดูแล้วไม่ต่างจากพระราชวังเลยทีเดียว

“ไปๆ เข้าบ้านกันเถอะ” หวงห้าวหยางจูงมือหลานเข้าไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามไป ตาก็มองสำรวจไปรอบๆ องครักษ์สวมชุดเกราะก็ค้อมตัวต่ำ “นายท่าน”

สายตาพวกเขามองเด็กชายที่นายท่านจูงมืออยู่ หวงห้าวหยางไม่พูดอะไร เขารอไว้พูดทีเดียวดีกว่า ฮี่ๆๆๆ

“โอ้ นายท่านกลับมาแล้ว!?” พ่อบ้านหวงไท่หั่ว (黄泰火) พ่อบ้านประจำตระกูลหวงอุทานอย่างแปลกใจ เขากะว่าคงอีกสักเดือนหรือสองเดือนกระมังนายท่านจึงจะกลับจากเมืองหลวง หวงห้าวหยางมองพ่อบ้านหวง “เจ้าจะตกใจอะไร? หรือว่าตอนที่ข้าไม่อยู่เจ้าแอบไปทำเรื่องเลวร้ายลับหลังข้า?”

“ไม่ใช่ๆ” พ่อบ้านหวงรีบโบกมือปฏิเสธ “ข้าน้อยแปลกใจที่ท่านกลับมาเร็วกว่ากำหนดขอรับ”

“นี่หลานข้า” หวงห้าวหยางแนะนำ พ่อบ้านหวงมองเด็กชายข้างกายนายท่านเขม็ง “ลูกของคุณหนู?”

“หึ! ถ้าไม่ใช่ลูกของนางจะเป็นหลานข้าได้อย่างไร ก็ลูกนางนั่นแหละ ลูกที่สาวใช้ส่งข่าวมาบอกเมื่อคราวนั้นนั่นแหละ” หวงห้าวหยางพูดอย่างโมโหนิดๆ เขาหรือก็รออยู่ตั้งนานว่าลูกสาวจะพาหลานมาเยี่ยมท่านตาบ้าง แต่รอมาจน 6 ปีกว่าแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววเลย เขาจึงได้จัดการงานต่างๆ แล้วถ่อสังขารไปถึงเมืองหลวงเชียวนะเพื่อไปเยี่ยมลูกอกตัญญูกับหลานที่ไม่กลับมาเยี่ยมท่านพ่อเสียที

“อ่อๆ” พ่อบ้านหวงพยักหน้าหงึกๆ เขารู้ว่านายท่านคิดถึงคุณหนูมากขนาดไหน ทุกวันจะเฝ้ารอจดหมายจากเมืองหลวงกับรอว่าเมื่อไหร่ลูกสาวจะกลับมาเยี่ยมพ่อบ้าง นายท่านไปคราวนี้กลับมาพร้อมกับหลานชายคงไม่ใช่ว่านายท่านลักพาตัวหลานชายกลับมาหรอกนะ “…”

“นี่ๆ เจ้าไม่ต้องมองข้าเช่นนั้นเลยนะ ข้าไม่ได้ลักพาเขากลับมาด้วย เป็นอิ๋งเอ๋อร์กับลูกเขยอนุญาตให้ข้าพาเขากลับมาเอง” หวงห้าวหยางพูดอย่างโมโหนิดๆ พ่อบ้านหวงพยักหน้าหงึกๆ “ขอรับๆ ท่านไม่ได้ลักพาเขากลับมา”

“ท่านตา ข้าอยากถ่ายเบา” เฉินมู่อิ๋งบอกพลางกระตุกมือท่านตายิกๆ หวงห้าวหยางจึงส่งหลานให้พ่อบ้านหวง สั่งว่า “พาเขาไปที”

“ขอรับ” พ่อบ้านหวงยื่นมือไปจับมือคุณชายน้อย แต่เฉินมู่อิ๋งไม่จับมือพ่อบ้านหวง เขาเอามือไพล่หลัง ยืดตัวตรง บอกว่า “นำทางด้วย”

“ขอรับ” พ่อบ้านหวงจึงนำทางไป เขาคิดในใจสมกับเป็นลูกของคุณหนูจริงๆ รู้จักวางตัวตั้งแต่เล็กๆ เชียว จนกระทั่งถึงห้องปลดทุกข์เฉินมู่อิ๋งก็เดินเข้าไปข้างใน จัดการปลดทุกข์เบาแล้วล้างมือจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยจากนั้นก็เดินออกไป พ่อบ้านหวงมองอย่างเอ็นดู “เชิญขอรับ”

“ขอบคุณท่านมาก” เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ เพราะพ่อบ้านหวงอายุมากกว่าตัวเองมากนัก เขาถูกสอนมาให้เคารพผู้อาวุโส อีกทั้งผู้คนส่วนใหญ่ก็ชมชอบผู้มีสัมมาคารวะ พ่อบ้านหวงอึ้งไป ไม่เคยมีเจ้านายคนไหนกุมมือคารวะเขาเช่นนี้ เขารีบกุมมือตอบ “คุณชายน้อย ต่อไปท่านไม่ต้องคารวะข้าน้อยหรอกขอรับ ข้าน้อยเป็นบ่าว คุณชายน้อยเป็นนาย นายไม่คารวะบ่าวขอรับ”

“ข้าไม่ได้คารวะที่ท่านเป็นบ่าว แต่ข้าคารวะที่ท่านอาวุโสกว่าข้า เอาเถอะหากท่านไม่ชอบก็คิดเสียว่าเมื่อกี้ข้าคารวะลมก็ได้” เฉินมู่อิ๋งพูดแล้วเดินไป พ่อบ้านหวงตะลึงงัน ฝีปากคุณชายน้อยช่างน่าทุบ! จริงๆ เขาเดินตามคุณชายน้อยไป เฉินมู่อิ๋งเดินกลับไปที่ห้องโถง เห็นท่านตานั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานเขาก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัว หวงห้าวหยางสั่งพ่อบ้านว่า “เรียกประชุมตระกูลพรุ่งนี้ตอนเย็น”

“ขอรับ” พ่อบ้านหวงรับคำสั่ง หวงห้าวหยางลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปจูงมือหลาน “ไปๆ ตาจะพาไปกินข้าว”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า หวงห้าวหยางก็พาหลานเดินเข้าไปด้านใน พ่อบ้านหวงสั่งบ่าวแล้วเดินตามนายท่านไป

คนตระกูลหวงได้รับเทียบเชิญให้เข้าประชุมตระกูลตอนเย็นวันพรุ่งนี้ก็สงสัยกันถ้วนหน้า “หือ? ท่านลุงใหญ่เรียกประชุมเรื่องอะไรรึ?”

“เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงไม่ใช่รึ?”

“หรือว่าท่านลุงใหญ่จะให้ของจากเมืองหลวง?”

ฯลฯ ผู้คนคาดเดากันไปต่างๆ นานา

เย็นวันถัดมา ห้องโถงของจวนตระกูลหวงก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มาชุมนุมกันตามคำสั่งของหวงห้าวหยาง ทุกคนล้วนพูดคุยกันเสียงดังอื้ออึง จนกระทั่งหวงห้าวหยางจูงหลานเดินเข้าไปในห้องโถง สายตาของทุกคนจับจ้องที่หวงห้าวหยางกับเด็กชายตัวน้อยข้างกายหวงห้าวหยางเป็นตาเดียว “หือ? เด็กนั่นเป็นใคร?”

“นั่นลูกใครรึ? ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย”

“ท่านลุงใหญ่”

“พี่ใหญ่”

“ท่านลุงหยาง”

ฯลฯ เสียงพูดคุยเสียงทักทายดังไม่ขาดสาย หวงห้าวหยางจูงหลานเดินไปนั่งที่เก้าอี้ประธาน เขานั่งลงแล้วบอกทุกคนว่า “เอ้าๆ นั่งก่อนๆ ข้ามีเรื่องจะบอกพวกเจ้าทุกคน”

ทุกคนจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ พวกเขายังพูดคุยกันอย่างสงสัย “พี่ใหญ่เรียกพวกเรามาทำไมรึ?”

เฉินมู่อิ๋งยืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ของท่านตาอย่างสงบ เขามองทุกคนในห้องอย่างพินิจพิจารณา เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว หวงห้าวหยางจึงบอกว่า “นี่คือลูกชายของอิ๋งเอ๋อร์”

“อ่อ ที่แท้ก็ลูกชายของหวงม่านอิ๋งนี่เอง”

“แล้วหวงม่านอิ๋งล่ะ?”

“นั่นซิ นางอยู่ไหน? กลับมาแล้วก็น่าจะออกมาเจอญาติๆ ซิ แต่งออกไปอยู่ไกลถึงเมืองหลวงไม่เคยกลับมาเลยนี่นา”

“หรือว่านางไม่สบายอีกแล้วจนต้องอยู่แต่ในห้อง?”

ฯลฯ เสียงผู้คนถามถึงกันอื้ออึง หวงห้าวหยางจึงบอกว่า “นางไม่ค่อยสบายไม่อาจเดินทางกลับมาได้ ข้าจึงพาหลานกลับมาคนเดียว ส่วนลูกเขยข้าทุกคนก็รู้ว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนัก ไม่อาจปลีกตัวมาได้”

“พี่ใหญ่ ถึงเขาจะมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีก็เถอะ แต่อย่างไรการกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมภรรยาก็สมควรทำไม่ใช่หรือ นี่อะไร ไม่เคยมาเลยนับตั้งแต่ที่แต่งงานกันไปจนถึงป่านนี้น่ะ ถึงเขาจะส่งของจากเมืองหลวงมาให้ท่านตั้งมากมายทุกปีๆ ก็จริงอยู่ แต่ไม่พาอิ๋งเอ๋อร์กลับมาเยี่ยมบ้านเดิมเลยใช้ได้ที่ไหน!” หวงเสี่ยวฉี (黄小淇) น้องชายคนรองของหวงห้าวหยางตำหนิออกมา

“เป็นอิ๋งเอ๋อร์ไม่แข็งแรงไม่อาจเดินทางไกลได้ ไม่ใช่ว่าลูกเขยข้าไม่อยากพามา แต่อิ๋งเอ๋อร์ไม่มาเองต่างหาก เจ้าอยากเจอนางมากเช่นนี้ ครั้งหน้าข้าไปหานางจะพาเจ้าไปด้วยล่ะกัน” หวงห้าวหยางพูดตรงๆ หวงเสี่ยวฉีรีบโบกมือ “เอ่อ ข้ามีงานต้องจัดการมากนัก ไม่อาจทิ้งงานไปนานๆ ได้”

หวงห้าวหยางมองคนอื่นๆ ทุกคนล้วนหุบปากเงียบไม่กล้าตำหนิติเตียนอะไรสองผัวเมียคู่นั้นอีกเลย ใครจะกล้าล่ะ ถึงหวงม่านอิ๋งจะไม่ค่อยแข็งแรง แต่นางก็ร้ายกาจไม่ใช่น้อย ถามดูซิมีใครในตระกูลบ้างที่ไม่ถูกนางเล่นงานทั้งต่อหน้าและลับหลัง พวกเขาล้วนดีใจจะตายที่นางแต่งออกไปอยู่ถึงเมืองหลวง

“ข้ามีเรื่องจะบอกทุกคนว่า ข้าเจอไพลินฟ้าครามแล้ว” หวงห้าวหยางบอก ทุกคนตื่นตัวทันที “โอ? เจอแล้ว ดีจริงๆ”

“แต่ไพลินฟ้าครามอยู่ที่หลานชายข้าแล้ว ข้าไม่อาจถอดออกมาได้ ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องให้เขาเข้าทดสอบเป็นเจ้าตระกูลหวง” หวงห้าวหยางบอกพลางชี้ไปที่หูหลานชาย สายตาทุกคนมองหูข้างนั้นเป็นตาเดียว พวกเขาเห็นไพลินฟ้าครามอยู่บนหูเด็กคนนั้นจริงๆ

“อา จริงซิ ตอนนั้นคนที่เข้าทดสอบเจ้าตระกูลเป็นคนสุดท้ายก็คืออิ๋งเอ๋อร์นี่นา นางเก็บไพลินฟ้าครามไว้ไม่ได้คืนมานี่เอง พวกเราตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ ที่แท้ไพลินฟ้าครามก็อยู่กับนาง” หวงเสี่ยวฉีตบหน้าผากตัวเองทีหนึ่ง หวงห้าวหยางกุมมือขึ้น “ข้าขอโทษแทนอิ๋งเอ๋อร์ด้วยที่นางไม่คืนไพลินฟ้าคราม ทำให้พวกเราต้องตามหากันให้วุ่นวายเชียว”

“เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ ก่อเรื่องไม่หยุดไม่หย่อนจริงๆ” หวงเสี่ยวเย่า (黄小耀) น้องชายคนที่สามของหวงห้าวหยางบ่นขึ้นมา หวงเสี่ยวฉีรีบสะกิดแขนน้องสามยิกๆ ทำให้หวงเสี่ยวเย่ารีบหุบปากฉับ หลานสาวคนนี้เป็นดวงใจของพี่ใหญ่ ถูกเลี้ยงตามใจมาตั้งแต่เล็กๆ จึงร้ายกาจไม่น้อย ความร้ายกาจนี้สืบทอดมาจากพี่ใหญ่นั่นแหละ

“ว่าแต่ถ้าเขาเกิดตายในห้องนั่นล่ะ?” หวงเสี่ยวฉีถามอย่างเป็นกังวล เคยมีคนตายในการทดสอบหลายคนแล้วนะ ทุกคนที่ตายล้วนหลับตาย แต่หากผ่านการทดสอบก็จะได้เป็นเจ้าตระกูลได้รับมรดกล้ำค่าที่อยู่ในห้องนั้น หากไม่ตายก็จะลืมความทรงจำช่วงที่อยู่ในห้องไป เสมือนหนึ่งนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา เฉินมู่อิ๋งมองทุกคนแล้วพูดอย่างฉะฉานว่า “ข้าอยากทดสอบขอรับ”

“นี่ๆ เจ้าหนู การทดสอบไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ เคยมีคนตายตั้งหลายคนแล้วนะ” หวงเสี่ยวเย่าเตือน เจ้าเด็กนี่ก็เหมือนลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือนั่นแหละ ไม่รู้ซึ้งถึงอันตรายที่อยู่ในห้องนั้นจึงได้พูดออกมาอย่างไร้ความกลัวเช่นนี้ได้ หวงเสี่ยวฉีก็เตือนอีกคน “หลานชาย การทดสอบมีอันตราย เจ้าอาจต้องทิ้งชีวิตไว้ในห้องนั้นก็ได้ หากเจ้าตายไปเจ้าจะไม่ได้เจอพ่อแม่เจ้าอีกเลยนะ”

“ข้ารู้ว่าความตายหมายถึงอะไร ข้าอยากทดสอบขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพูดอย่างมุ่งมั่น หวงเสี่ยวเย่าจึงมองพี่ใหญ่ “พี่ใหญ่ ท่านจะให้เขาเข้าทดสอบจริงๆ หรือ?”

“อืม” หวงห้าวหยางพยักหน้า “เอาล่ะ ข้าจะพาเขาไปทดสอบเลย วันนี้เป็นวันเพ็ญพอดี หากไม่ทดสอบวันนี้ก็ต้องรอเดือนหน้า”

ติดตามอ่านตอนต่อไปเล่ม 2 นะคะ

ผิดพลาดประการใดไรท์ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version