บทที่ 1017 ข้าก็ยังเกลียดท่านอยู่ดี
ราวกับว่าบทมิวางวายคือสุดยอดวิชาที่วิชาการหล่อหลอมเรือนกายทั้งหมดบนโลกใบนี้มิอาจทัดเทียมได้ ส่วนบทอมตะ…ก็เป็นวิชาการฝึกตนที่เหนือกว่าทุกวิชาอภินิหารบนโลกใบนี้เช่นกัน!
ต่อให้เป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเองเช่นเทียนจุน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าบทอมตะ เขาก็ยังได้แต่เงียบงัน…
จากร่างของบุรพาจารย์หันเหมินและตู้หลิงเฟยเองก็พอจะมองออกถึง…จุดที่น่าตะลึงของบทอมตะนี้ แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่เคยต่อสู้กับตู้หลิงเฟยมาก่อน แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของปราณอีกฝ่ายด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง
ตอนนี้เมื่อในร่างของตนก็มีปราณบทอมตะปรากฏขึ้นมาเช่นกัน ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถี่กระชั้นอย่างห้ามไม่ได้ ด้านหนึ่งก็เพราะคำพูดของคนเฝ้าสุสานน่าตื่นตระหนกเกินไป อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ว่าเมื่อพลังของบทอมตะเกิดขึ้นในร่างกาย พอพลังวิญญาณฟ้าดินที่อยู่ในโลกใบนี้มาอยู่ต่อหน้าเขากลับเหมือนว่าจะลดต่ำลงไประดับหนึ่ง!!
ทว่ามันไม่ได้แค่ลดต่ำกว่าระดับหนึ่งเท่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนยังค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดด้วยว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของอมตะ โลกใบนี้กลับเป็นเหมือนชาวบ้านธรรมดาที่เผชิญหน้ากับจักรพรรดิผู้สูงส่ง!
แค่ความคิดเดียวของป๋ายเสี่ยวฉุน แค่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการ ตบะของทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโลกใบนี้ก็จะมาผสานรวมเข้าในร่างของตนได้ในเสี้ยววินาที!
แม้จะไม่สามารถเพิ่มพูนตบะของตนได้ ทว่าวิธีการเช่นนี้กลับเป็นวิธีการควบคุมและการกำราบที่น่าทึ่งยิ่งนัก!
และเห็นได้ชัดว่า…ไม่ว่าจะเป็นตู้หลิงเฟยหรือบุรพาจารย์หันเหมินในอดีต การฝึกบทอมตะของพวกนางต่างก็ไม่ได้มีพลังที่เลิศล้ำเช่นนี้ นี่คือ…วิชาอภินิหารซึ่งคนที่ฝึกบทมิวางวายสำเร็จแล้วและฝึกบทอมตะต่อได้ครอบครอง!
เพราะอย่างไรซะ…หากดูตามคำบอกของคนเฝ้าสุสาน ก่อนหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ถ้าคนที่ฝึกได้ถึงระดับนี้ปรากฏตัวขึ้นมาก็น่าจะได้เป็นจักรพรรดิขุยของรุ่นใดรุ่นหนึ่ง!
“ส่วนวิธีที่สอง…” ท่ามกลางความตื่นตะลึงของป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงของคนเฝ้าสุสานที่แหบพร่าซึ่งเห็นได้ชัดว่าอ่อนกำลังเต็มทีก็ได้ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง
“นั่นก็คือ…พลังการต่อสู้ของเทียนจุน! ต่อให้ไม่ได้เป็นเทียนจุนที่แท้จริง แต่หากสามารถระเบิดพลังสะท้านฟ้าได้เท่าเทียมกับเทียนจุน ถ้าเช่นนั้นก็จะสามารถโจมตีโลกนี้ให้เปิดออก…ทำให้โลกใบนี้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ และเดินออกไปจากที่นี่!”
ท่ามกลางความสะท้านสะเทือนที่รุนแรงไม่หยุดของจิตวิญญาณป๋ายเสี่ยวฉุน ตบะของเขาได้ฝ่าทะลุไปอีกครั้ง ก้าวเข้าสู่ขอบเขตของก่อกำเนิดอมตะ
ตราผนึกที่สามแข็งแกร่งยิ่งกว่าสองผนึกแรก แต่เมื่ออยู่ภายใต้ตบะที่พัดโหมราวพายุกระหน่ำของป๋ายเสี่ยวฉุน ตราผนึกนั้นก็ยังถูกโจมตีจนพังราบป่นปี้!
เมื่อตราผนึกถูกทำลาย ตบะของเขาก็ยิ่งโคจรเร็วมากขึ้น ราวกับว่าร่างทั้งร่างเปลี่ยนมาเป็นโปร่งโล่งทะลุทั่วถึง เพียงแค่ความคิดเดียวก็ทำให้ลมและเมฆแปดทิศเปลี่ยนสี!
ร่างของคนเฝ้าสุสานสั่นสะท้าน ปราณของเขาเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ลมหายใจของเขาหอบหนัก ดวงตาของเขายิ่งขุ่นมัว แต่เขากลับยังมอบทุกอย่างของตัวเองให้ไหลทะลักทลายผ่านฝ่ามือไปสู่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน เพื่อประคองให้ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดและไต่ทะยานไปอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง!
ท่ามกลางเสียงอึกทึก ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานจากก่อกำเนิดอมตะ ขยับเข้าไปใกล้…ฟ้าอมตะมากขึ้นทุกขณะ!
“ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหนก็ล้วนทำให้โลกต้องพังทลายไปนับแต่นั้น ในนาทีที่โลกถล่มทลาย ทุกคน ทุกชีวิตที่อยู่ที่นี่…ล้วนต้องกระเด็นออกไปอยู่ในโลกใบใหญ่ด้านนอก…”
ท่ามกลางช่วงเวลาที่ชีวิตกำลังจะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า คนเฝ้าสุสานกัดฟันพูดด้วยความอ่อนแรง คล้ายกำลังอธิบายและแก้ต่างให้กับทุกสิ่งที่ตัวเองทำลงไป!
“มีเพียงสองวิธีนี้เท่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วเจ้าว่า…ควรหรือที่ข้าจะปล่อยให้เทียนจุนจากไปโดยใช้ค่าตอบแทนเป็นการส่งโลกทั้งใบไปสู่ความตายเช่นนี้!!
ส่วนมารดาแห่งผีนั้นก็เพราะว่ามีพิกัดของโลก ถึงได้พาพวกคนที่ตบะอ่อนแอจากไปได้ ซึ่งนั่นมันคนละหลักการกัน! เพราะหากจะพาเทียนจุนไป ย่อมไม่สามารถพ้นไปจากตาข่ายแห่งโลกได้!”
“ส่วนภารกิจของข้านั้นยังไม่จบสิ้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเทียนจุนซึ่งฝึกวิชาอมตะมิวางวายได้สำเร็จ หรือต่อให้เป็นแค่ว่าที่เทียนจุนปรากฏตัว…แล้วโลกต้องพังทลาย ข้าผู้อาวุโสจะยอมรับได้อย่างไร!!”
เมื่อเสียงของคนเฝ้าสุสานแทบจะกลายมาเป็นเสียงคำราม ร่างของเขาก็เริ่มจางหาย ปราณของเขาลดลงฮวบฮาบ แต่เขาก็ยังกัดฟัน แม้ว่าตบะและพลังชีวิตของตนจะแห้งขอด แต่เขาก็ยังเอาตัวเองเป็นสะพานเชื่อมโยงกับสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์จักรพรรดิขุย ทำให้พลังอาคมด้านในสมบัติที่แม้จะไม่บริสุทธิ์นัก แต่เมื่อผ่านการถ่ายโอนจากร่างกายเขาก็ทำให้มันกลายมาเป็นพลังอมตะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถดูดซับได้!
พริบตานั้นตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฝ่าทะลุไปอีกครั้ง
เลื่อนสู่ขอบเขตของฟ้าอมตะ ฟ้าอมตะ…ก็คือคนฟ้า ขอบเขตนี้เหนือเกินกว่าวิถีฟ้าของป๋ายเสี่ยวฉุน เหนือเกินกว่าทุกสิ่งอย่าง!
ขณะเดียวกันตราผนึกที่สี่ของบทอมตะก็พลัน…ระเบิดออกโดยตรง!
หลังจากฝ่าทะลุไปแล้ว พลังอมตะในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ถูกดึงกลับมา แต่กลับยังคงไต่ทะยานไปอย่างต่อเนื่อง!
และเป้าหมายของการจู่โจมในครั้งนี้ ก็คือ…เทพอมตะ!
“เทพอมตะ…เทพอมตะ…” คนเฝ้าสุสานหัวเราะ ต่อให้เสียงหัวเราะนั้นจะแผ่วเบาแค่ไหน ต่อให้ร่างของเขาจะพร่าเลือนไปแล้ว หรือถึงขั้นแสดงให้เห็นถึงความแห้งเหี่ยวโรยราอย่างสุดขีด ทว่าเสียงหัวเราะของเขากลับยังคงแฝงไว้ด้วยความยินดี แฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ แฝงไว้ด้วยความปลงอนิจจังอย่างไร้ซึ่งความเสียดายและความหลุดพ้น!
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ให้ข้าผู้อาวุโส…ได้ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายมาช่วยให้เจ้า…กลายเป็นเทพอมตะเถิด!”
“ข้าผู้อาวุโสเสียดายก็เพียงแต่ว่า สารบำรุงของโลกใบนี้ไม่สามารถประคับประคองให้เจ้าอาศัยวิชาอมตะมิวางวายเลื่อนสู่ขอบเขตของเทียนจุนได้อย่างแท้จริงอีกแล้ว…แต่…หากจะกลายมาเป็นว่าที่เทียนจุนนั้น ยังถือว่ามากพอ!” คนเฝ้าสุสานหัวเราะเสียงดังลั่น ครั้นจึงยกมือซ้ายขึ้นแล้วทำมุทราชี้ไปยังความว่างเปล่า
“สมบัติจักรพรรดิขุย!”
เสียงอึกทึกดังก้องกังวาน นครจักรรพดิขุยสั่นสะเทือน ต้าเทียนซือก็ดี จักรพรรดิขุยก็ช่าง รวมไปถึงสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่และพวกพระยาสวรรค์ เจ้าพระยาสวรรค์ล้วนพากันตะลึงพรึงเพริด!
ขณะเดียวกัน เจดีย์พระยาสวรรค์ เจดีย์เจ้าพระยาสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่ในนครจักรพรรดิขุยก็ได้ล่มสลายอย่างพร้อมเพรียงกันในนาทีนั้น!
ตามมาด้วยพลังอันน่าตะลึงขุมหนึ่งที่ระเบิดตูมออกมาจากในสามนครด้านใต้ซึ่งหลังจากกระแทกเข้าไปในร่างคนเฝ้าสุสานแล้วก็ทำการถ่ายโอนอยู่ในเรือนกายที่พร่าเลือนของเขา ครั้นจึงกรอกเทเข้าสู่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนมีสายฟ้าระเบิด ลมหายใจของเขายิ่งนานก็ยิ่งหอบหนัก ร่างสั่นสะท้าน เมื่อพลังมหาศาลนี้ไหลบ่าเข้ามา พลังอมตะของเขาก็แผ่ไพศาลเปี่ยมล้น ท่ามกลางเสียงเกริกก้องกังวาน ตบะก็ฝ่าทะลุขอบเขต เวลาเพียงพริบตาเดียว เขาก็เลื่อนจากคนฟ้าช่วงต้นเข้าสู่คนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบ!
จากนั้นพลังอมตะทั้งหมดก็มารวมตัวกันแล้วทำการฝ่าทะลุขั้นเป็นครั้งสุดท้าย!
ตูมๆๆ!
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงว่าโลกพลิกกลับ ฟ้าดินเหมือนจะพังถล่มทลาย เสียงอสนีบาตในจิตวิญญาณดังครืนครั่นไม่หยุด จนกระทั่งเสียงหนึ่งที่เป็นเหมือนเสียงกัมปนาทแหวกฟ้าผ่าดินดังขึ้นมา ร่างของเขาก็พลันสั่นเทิ้ม ตบะ…ฝ่าทะลุออกไป!!
สู่เทพอมตะ!!
ขั้นสุดท้ายของบทมิวางวาย!
วินาทีที่ตบะฝ่าทะลุ พันธนาการสุดท้ายของบทอมตะก็พลันพังพินาศเป็นหน้ากลอง เมื่อมันแหลกสลายไป ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ความรู้สึกทะลุปรุโปร่งนั้นขยายไปถึงขีดสุด ราวกับว่าร้อยเส้นชีพจรล้วนเชื่อมถึงกันหมด ร้อยช่องโพรงในร่างล้วนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!
เพียงแต่ว่า…ถึงเวลาที่คนเฝ้าสุสานต้องคืนสู่ความว่างเปล่าแล้ว ยามนี้มือขวาของเขาค่อยๆ สลายไป กลายมาเป็นเถ้าธุลี และในที่สุดพลังของสมบัติราชวงศ์จักรพรรดิขุยที่แปรเปลี่ยนมาเป็นพลังอมตะก็ไม่เพียงพออีกต่อไป…
บทอมตะของป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานมาถึงแค่ครึ่งเทพช่วงต้น มิอาจไต่ทะยานขึ้นไปได้อีก แต่กระนั้นก็ไม่ได้หยุดนิ่ง กลับกันคือมันหอบเอาตบะทั้งหมดที่ต่ำกว่าครึ่งเทพของป๋ายเสี่ยวฉุนให้เริ่มผสานรวมเข้ากับพลังกล้ามเนื้อบทมิวางวายในร่างของเขา…เป็นขั้นสุดท้าย!
การผสานรวมนี้ก็คือการผสานรวมวิชาอมตะกับวิชามิวางวายให้เป็นหนึ่งเดียว!
หากเปลี่ยนมาเป็นการฝึกตน ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องผสานรวมอย่างในเวลานี้ แต่นี่เป็นเพราะบทอมตะของป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ทางลัดให้สำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้…การผสานรวมจึงสำคัญอย่างถึงที่สุด
ในร่างสั่นสะเทือนเหมือนฟ้ากับดินปะทะกัน สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเครียดขรึม เขามิอาจขยับตัวได้ แม้แต่จิตวิญญาณของเขาที่อยู่ภายใต้การผสานรวมวิชาอมตะมิวางวายนี้ก็ยังค่อยๆ จมดิ่ง จิตสำนึกเริ่มพร่าเลือน ประหนึ่งวิชาอมตะมิวางวายในร่างได้กลายมาเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ที่เตรียมจะดูดทุกอย่างของเขาเข้าไป และนาทีที่เปลือกทั้งหมดถูกกะเทาะออกมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะ…กลายมาเป็นผู้สืบทอดของบทอมตะมิวางวายที่แท้จริง!
เขาไม่ใช่จักรพรรดิขุย แต่กลับเหนือกว่าจักรพรรดิขุย!
ท่ามกลางจิตสำนึกที่พร่าเลือน ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนซับซ้อน เขาพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าร่างคนเฝ้าสุสานที่กำลังจางหายไปต่อหน้าต่อตาตัวเองคล้ายจะคลี่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นอาจส่งมาให้กับตนหรืออาจไม่ใช่ก็เป็นได้
คนเฝ้าสุสานแย้มยิ้ม ร่างของเขาในเวลานี้คล้ายถูกมือข้างหนึ่งที่มองไม่เห็นกำลังลบเลือนทุกร่องรอยการดำรงอยู่ของเขาไปอย่างรวดเร็ว
“ตัวข้าได้ทำ ภารกิจ…สำเร็จแล้ว…” คนเฝ้าสุสานพึมพำเบาๆ มองป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นครั้งสุดท้าย ไม่นานก็หันไปคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง
เขาละอายใจต่อป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เขากลับไม่ละอายต่อใจของตัวเอง เขารู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วนักพรตทงเทียนจะต้องรู้วิธีการที่แท้จริงในการออกไปจากที่นี่ ก็เหมือนศึกล้างเผ่าพันธุ์ในเวลานี้ที่ทำให้โลกเกิดลางว่าจะแตกสลายแล้ว
และภาระหน้าที่ของเขาก็คือทำให้คนผู้หนึ่งซึ่งฝึกวิชาอมตะมิวางวายได้จนถึงขอบเขตเทียนจุน หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นว่าที่เทียนจุนปรากฎตัวขึ้นมา…ก่อนที่โลกใบนี้จะพังทลาย
เขาไม่สามารถขัดขวางนักพรตทงเทียน สิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียงทิ้งความหวังเอาไว้ สร้างว่าที่เทียนจุนขึ้นมายามที่โลกกำลังจะแหลกสลาย ไม่ใช่มีไว้เพื่อต่อต้านนักพรตทงเทียน แต่เพื่อทำภารกิจในการเขาดำรงอยู่ของเขาให้สำเร็จ
ดังนั้นเขาถึงได้ใช้ทุกคนที่สามารถใช้ได้…
การคำนับครั้งนี้…เขานิ่งค้างไม่ได้ลุกขึ้นมาอีก เรือนกายที่แก่ชราของคนเฝ้าสุสานกลายมาเป็นฝุ่นผง…ที่หายไปจากสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน
“แต่ข้าก็ยัง…เกลียดท่านอยู่ดี!” เนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้พึมพำเบาๆ ขณะที่จิตสำนึกของเขาผสานรวมกับวิชาอมตะมิวางวายในร่างโดยที่ไม่อาจควบคุม