Skip to content

A Will Eternal 1058

บทที่ 1058 กินไปแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนอดนึกถึงไก่หางวิเศษที่เคยกินในปีนั้นไม่ได้ ในใจก็ให้ปลงอนิจจัง ครุ่นคิดว่าไม่รู้ว่าบนแผ่นดินหย่งเหิงแห่งนี้จะมีไก่หางวิเศษแบบเดียวกันอยู่หรือไม่…

ราชาผียักษ์ที่อยู่ข้างๆ ถือก้างปลาไว้ชิ้นหนึ่ง ปากก็เคี้ยวดังแจ่บๆๆ หลังจากเหลือบมามองป๋ายเสี่ยวฉุนแวบหนึ่งก็โยนก้างปลาเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ ตามไปด้วย กำลังจะเอ่ยปากพูด ทว่าจู่ๆ ร่างกลับสั่นเยือก ไอร้อนขุมหนึ่งพลันระเบิดอยู่ในกาย ทำเอารอบกายเขามีควันขาวลอยกรุ่นขึ้นมา

“ปลาเซียนจริงๆ ด้วย!” ราชาผียักษ์ดีใจอย่างยิ่งยวด รีบนั่งขัดสมาธิเริ่มเข้าฌานทันที

เมื่อเห็นว่าพอราชาผียักษ์กินแล้วได้ผล ป๋ายเสี่ยวฉุนที่รออยู่พักใหญ่เริ่มงงงัน เขาพบว่าในร่างตัวเองกลับไม่มีไอร้อนอะไรแม้แต่นิดเดียว

“ไม่ถูกสิ ทำไมราชาผียักษ์กินแล้วได้ผล แต่ข้าถึงไม่ได้ผลล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองก้างปลาที่กินเหลือแล้ววางไว้บนพื้น ก่อนจะปรี่ขึ้นไปเก็บมาสองสามชิ้น ยัดใส่ปาก เคี้ยวจนละเอียดแล้วกลืนลงคอ จนกระทั่งกินไปเกือบหมด ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ว่ามีไอความร้อนขุมหนึ่งกำลังผุดพุ่งขึ้นมาจากในร่าง

ด้วยความปิติยินดี ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบหลับตารับสัมผัสกับไอความร้อนที่ระเบิดออกอย่างต่อเนื่องซึ่งสุดท้ายได้กลายมาเป็นคลื่นลูกยักษ์ที่ซัดครืนครั่นไปทั่วกายของเขา ทั้งยังผลักดันให้บทอมตะพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง

นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นทันควัน ก่อนจะพยายามสะกดกลั้นความฮึกเหิมเอาไว้แล้วปล่อยตัวปล่อยใจจมจ่อมอยู่กับตบะในร่างที่กำลังไต่ทะยาน เวลาล่วงผ่าน ป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์นั่งเข้าฌานอยู่ในลานของวิหารเซียนแห่งนี้นานติดต่อกันถึงสามชั่วยาม

สามชั่วยามให้หลัง ราชาผียักษ์ตื่นขึ้นมาเป็นคนแรก เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงหัวเราะดังกระหึ่ม ดวงตาของเขาฉายแสงคมกริบ ในใจยิ่งเปี่ยมล้นด้วยความยินดี เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเวลาเพียงแค่สามชั่วยาม ตบะของเขาก็ขยับเข้าไปใกล้ครึ่งเทพช่วงท้ายอีกไม่น้อยเลยทีเดียว

“น่าเสียดายก็แต่มีปลาแค่ตัวเดียว หากได้กินทุกวัน ข้าต้องฝึกได้ถึงครึ่งเทพขั้นสมบูรณ์แบบแน่นอน!” ขณะที่ราชาผียักษ์กำลังเสียดาย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ วินาทีที่ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง ในดวงตาของเขาก็มีผลึกแสงส่องประกายเจิดจ้า

แม้การฝึกตนของเขาครั้งนี้จะมีการพัฒนาได้ไม่มากเท่าราชาผียักษ์ แต่จะอย่างไรซะรากฐานของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แน่นหนามากกว่าคนอื่น ต่อให้ตอนนี้จะมีตบะเพิ่มขึ้นมาอีกเพียงแค่เสี้ยวเดียวก็ยังทำให้เขาตื่นเต้นได้มากอยู่ดี

เขาเข้าใจดีว่า คิดจะทำให้ตบะฝ่าทะลุสู่เทียนจุน จำเป็นต้องฝึกบทอมตะให้ได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบเสียก่อน ทว่าตอนนี้บทอมตะของเขายังอยู่ห่างจากขั้นสมบูรณ์แบบอีกระยะหนึ่ง อีกทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือบทอมตะของเขาไม่เหมือนกับบทมิวางวาย เพราะเขาไม่ได้ฝึกเอง แต่ถูกถ่ายโอนมาจากคนอื่น

แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะสร้างตะเกียงอมตะที่เป็นของตัวเองขึ้นมาจากวิชาอภินิหารของบทนี้ได้ แต่อันที่จริงแล้วเรื่องที่ว่าควรจะฝึกตนอย่างไรนั้น เขายังค่อนข้างสับสนเล็กน้อย

ต้องรู้ด้วยว่าหลังจากที่คนเฝ้าสุสานกรอกตบะให้เขา แม้ว่าเมื่อมาอยู่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีการพัฒนา แต่โดยภาพรวมแล้วกลับถือว่ายังติดขัดไม่ก้าวหน้า แม้จะเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจของเขาด้วย ทว่าเดิมทีเมื่อมาถึงขอบเขตนี้การฝึกฝนก็ลำบากทุกก้าวย่างอยู่แล้ว บวกกับที่เขาไม่ได้ฝึกบทอมตะด้วยตัวเอง ทุกอย่างนี้จึงกลายมาเป็นเหมือนพันธนาการไร้รูปลักษณ์สภาพคล้ายคอขวดซึ่งยากจะข้ามผ่านไปได้

ต่อให้มีพลังฟ้าดินมากพอ ต่อให้อยู่ภายใต้สารบำรุงจากปราณวิญญาณอันเข้มข้นของในนครจักรพรรดิเซิ่ง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนลองคำนวณดูก็พบว่าภายใต้การคลำทางและมีคอขวดกางกั้นอยู่นี้ อย่างน้อยตนต้องใช้เวลาถึงสิบปีตบะถึงจะมีการพัฒนาเทียบเท่ากับที่กินปลามังกรสวรรค์ไปเกินครึ่งตัวอย่างก่อนหน้านี้

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะสามารถฝ่าทะลุตบะครึ่งเทพ เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตมหายานเทียนจุนได้!

เดิมทีหากอิงตามแผนการของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็เตรียมที่จะทำความเข้าใจกับยาวิเศษในแผ่นดินเซียนนิรันดร์กาลก่อน แล้วตัวเองก็ลองหลอมออกมา เพื่อที่จะได้ทำให้ตบะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนนี้เมื่อมองไปยังก้างปลาบนพื้นที่เหลืออยู่อีกไม่มากก็เหมือนว่ามีประตูใหญ่บานใหม่เปิดออกตรงหน้าของเขา

“ปลาตัวหนึ่งเท่ากับการฝึกตนสิบห้าปี!!” หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเร่าร้อน ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายสีเขียวเป็นมันขลับราวกับหนูที่หิวโซมานานปีแล้วได้เห็นอาหาร

“หากมีปลามากพอ…การฝ่าทะลุคอขวดนี้ก็จะเป็นเรื่องง่าย และมันก็จะทำให้ตบะของข้าไต่ทะลุ การเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุนก็นับวันรอได้เลย!!”

คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งตื่นเต้น ยังไม่ต้องพูดถึงข้อที่ว่าเมื่อกลายเป็นเทียนจุนอายุขัยและพลังชีวิตจะระเบิดเพิ่มพูน หรือจะเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่คล้ายคลึงกับความเป็นอมตะอย่างที่บอกไว้ว่าหากมีเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าอยู่ก็สามารถถูกบุพกาลชุบชีวิตกลับมาได้ ลำพังเพียงแค่คิดจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในโลกที่ไม่คุ้นเคยใบนี้ก็มากพอจะทำให้ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้เต็มไปด้วยปลามังกรสวรรค์แล้ว

“ข้าจะกินปลา!!” ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองไปยังก้างปลาที่เหลืออยู่บนพื้นพวกนั้น ร่างของเขาก็พุ่งวูบออกไปหมายคว้ามันไว้ ทว่าราชาผียักษ์เองก็ตระหนักได้ถึงความมหัศจรรย์ของปลามังกรสวรรค์แล้วเช่นกัน

เข้าใจว่าต่อให้เป็นแค่ก้างปลาก็ยังเป็นของดี พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมจะแย่ง เขาก็คำรามดังลั่น ร่างทั้งร่างกระโจนออกไปแย่งชิงก้างปลากับป๋ายเสี่ยวฉุน

“ราชาผียักษ์ นี่คือของรางวัลที่จักรพรรดิเซิ่งมอบให้ข้า ท่านอย่าได้มาแย่ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา

“เจ้าเด็กบ้า ข้าผู้อาวุโสคือพ่อตาของเจ้า เจ้าย่อมต้องกตัญญูต่อข้า”

“นั่นมันของที่ข้ากินเหลือ ข้าเลียมาครบทุกชิ้นแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหจึงปล่อยหมัดเด็ดออกไปทันที!

“ของที่เจ้ากินเข้าไปก่อนหน้านี้ ข้าผู้อาวุโสก็เคยเลียมาแล้วทั้งนั้น ไม่เป็นไร พวกเราสองพ่อลูกไม่รังเกียจกัน!” ราชาผียักษ์ไม่ยอมแพ้ พุ่งเข้าไปใกล้ก้างปลาที่อยู่บนพื้นแล้วถุยน้ำลายออกไปคำใหญ่…

ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะราชาผียักษ์เคยฝึกวิชาอภินิหารประเภทนี้มาก่อนหรือเปล่า น้ำลายคำนี้ของเขาถึงได้เหมือนน้ำที่สาดจากอ่างซึ่งกระจายคลุมไปทั่วพื้น…

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเซ่อไปทันที ยืนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นว่าราชาผียักษ์ใช้วิธีการต่ำช้าถึงเพียงนี้ แม้เขาจะปากคอเราะร้ายมากแค่ไหน แต่หากวัดระดับความหนาของหนังหน้าแล้ว ถือว่ายังสู้ราชาผียักษ์จิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้ไม่ได้ แถมตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังสงสัยอย่างหนักว่าน้ำลายคำนี้ของราชาผียักษ์ เหตุใดถึงได้ถ่มออกมาได้มากขนาดนี้…

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยิ้มแหยพลันเกิดความลังเล ส่วนราชาผียักษ์ก็สะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้างม้วนตลบเอาก้างปลาพวกนั้นมาไว้ในมือ ก่อนจะมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างลำพองใจ ถ่มน้ำลายลงบนก้างปลาอีกหลายคำแล้วค่อยเก็บมันลงถุงเก็บของ

“จะมาสู้กับข้า ไอ้หนู เจ้ายังอ่อนหัดเกินไป” ราชาผียักษ์หัวเราะร่าด้วยความพึงพอใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด ขณะที่กำลังจะอ้าปากกลับนิ่วหน้าแล้วหันมองไปยังด้านนอกของวิหารเซียน ราชาผียักษ์ก็สัมผัสได้เช่นเดียวกันจึงมองไปแทบจะเวลาเดียวกับเขา ไม่นานนัก นอกประตูใหญ่ของวิหารเซียนก็มีเสียงดังกังวานเสียงหนึ่งดังลอยมา

“เจ้าพระยาทงเทียน เฉินซูขอเข้าพบ”

นี่คือคนแรกที่มาเยี่ยมเยียนหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงนครจักรพรรดิเซิ่ง หลังจากสัมผัสได้ว่าผู้ที่มามีตบะถึงเทียนจุน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ใคร่รู้ก็ยิ่งไม่กล้าชักช้า รีบเดินเร็วๆ ไปที่หน้าประตู ยกมือขวาขึ้นโบกให้ประตูใหญ่ของวิหารเซียนเปิดออก นั่นจึงทำให้เห็นผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่นอกประตู

ผู้เฒ่าคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีฟ้า มองดูแล้วเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นเซียน ยังไม่ทันเอ่ยอะไรก็ส่งยิ้มมาให้แล้วกุมมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน

“ก่อนหน้านี้ข้าผู้แซ่ป๋ายยังใคร่รู้อยู่ทีเดียว เพราะวันนี้ตอนเช้าได้ยินเสียงนกกางเขนร้อง จึงรู้ว่าต้องมีแขกสูงศักดิ์มาเยือน ไม่คิดว่าจะเป็นสหายนักพรตเฉิน เชิญเร็วเข้า”

ป๋ายเสี่ยวฉุนคลี่ยิ้มน้อยๆ เจรจาพาทีด้วยถ้อยคำงดงาม บนร่างไม่เหลือสภาพกระเซอะกระเซิงเหมือนตอนที่แย่งก้างปลากับราชาผียักษ์อย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว

เฉินซูหัวเราะฮ่าๆ คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนสบายหูเขาอย่างยิ่ง จึงพยักหน้ารับพลางเดินเข้าไปในวิหารเซียน

ราชาผียักษ์เองก็แปลกใจเล็กน้อย ต้องรู้ว่าพวกเขาสองคนไม่ใช่นักพรตดั้งเดิมของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ถือเป็นคนนอกด้วยซ้ำ แม้จะมีตำแหน่งขุนนาง ทว่าตามที่ข้อมูลที่เขาไปสืบและทำความเข้าใจมา พวกชนชั้นสูงของนครจักรพรรดิเซิ่งต่างก็ดูแคลนและวางตัวห่างเหินกับพวกเขาทั้งสองคน

ทว่านี่เพิ่งจะผ่านไปได้แค่คืนเดียวกลับมีคนมาเยือนถึงที่ อีกทั้งคนที่มายังเป็นเฉินซูซึ่งคือหนึ่งในสี่ราชาแห่งราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งที่มีตำแหน่งทัดเทียมกับกู่เทียนจวิน นี่จึงยิ่งทำให้ราชาผียักษ์ตกตะลึง รีบคารวะอีกฝ่ายทันทีที่ได้เห็น

เฉินซูพยักหน้าให้ราชาผียักษ์ จากนั้นก็ไม่ได้สนใจเขาอีก พอมายืนอยู่ในลานกว้างก็มองประเมินไปรอบด้านพลางพูดคุยพาทีกับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไม่รีบไม่ร้อน พักใหญ่เขาถึงกระแอมหนึ่งครั้งแล้วพลันถามขึ้นว่า

“สหายนักพรตป๋าย ปลามังกรสวรรค์ตัวนั้นที่ฝ่าบาทประทานให้เจ้าเล่า?”

“ปลามังกรสวรรค์?” ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังแปลกใจว่าเฉินซูมาหาเขาด้วยเรื่องอันใด ตอนนี้พอได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงปลามังกรสวรรค์ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อึ้งงันไปทันที

“ใช่สิ ปลามังกรสวรรค์ตัวนั้นนั่นแหละ ไม่ทราบว่าสหายนักพรตป๋ายจะพอตัดใจแบ่งให้ได้หรือไม่ ข้าผู้แซ่เฉินอยากทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า” ดวงตาของเฉินซูที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนฉายประกายแห่งความกระตือรือร้นอันเร่าร้อน ต่อให้เขาเป็นถึงเทียนจุน ทว่าที่บ้านก็ยังมีปลามังกรสวรรค์อยู่แค่ไม่ตัว เพราะอย่างไรซะนี่ก็ถือเป็นของส่วนตัวของจักรพรรดิเซิ่ง น้อยครั้งนักที่จะประทานเป็นของรางวัลให้แก่เหล่าขุนนาง ซึ่งตลอดทั้งราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ปลาที่เคยถูกประทานออกไปก็มีแค่ไม่กี่ร้อยตัวเท่านั้น

อีกทั้งทุกตัวยังล้ำค่าไม่ธรรมดา แต่ละตัวจึงมีการทำสัญลักษณ์เอาไว้ หากจะบอกว่ามันเป็นสมบัติแห่งชาติก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย อีกทั้งหากเอาไปไว้ในราชวงศ์จักรพรรดิแสยังมีราคาสูงลิ่วจนแทบจินตนาการไม่ออก เพราะอย่างไรซะเลือดของปลามังกรสวรรค์นี้ก็ถือเป็นวัตถุดิบเซียนขั้นดีเยี่ยมในการนำมาหลอมโอสถเซียน

เขาไม่คิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะปฏิเสธ เพราะเพิ่งมาถึงราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งได้ไม่นาน อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางเบาปัญญาจนถึงขั้นกล้าล่วงเกินตนที่เป็นเทียนจุนเพียงเพราะปลาตัวเดียวแน่นอน

“เอ่อ…สหายนักพรตเฉินเจ้ามาช้าไปแล้ว ปลาตัวนั้น ข้ากินไปแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเฉินซู

ได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน เฉินซูก็อึ้งงัน พอเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายลูกตาของเขาก็ถลึงโตทันที รีบถามซ้ำอีกครั้งคล้ายไม่แน่ใจ

“เจ้าบอกว่า…กินไปแล้ว?”

“อืม กินแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ พยักหน้ารับคำพูดของตัวเอง

“สหายนักพรตป๋าย เจ้าคิดว่าข้าผู้แซ่เฉินเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร หากไม่อาจตัดใจแบ่งให้ได้ก็บอกมาตามตรง ปลามังกรสวรรค์เป็นดั่งสมบัติแห่งชาติ ความล้ำค่าของมันยากที่จะจินตนาการได้ ใครบ้างที่ได้เป็นของรางวัลแล้วจะตัดใจกินมันลง ทุกคนต่างก็เลี้ยงมันไว้เพื่อเอาเลือดมันมาใช้กันทั้งนั้นแหละ!” เฉินซูไม่สบอารมณ์ทันใด เขารู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่พูดบ่ายเบี่ยงไปอย่างนั้นเอง น้ำเสียงที่เขาใช้จึงพลันเย็นเยียบ สะบัดปลายแขนเสื้อเตรียมจะจากไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ มองราชาผียักษ์แวบหนึ่ง ราชาผียักษ์จึงหยิบเอาก้างปลาออกจากมาในถุงเก็บของอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก

“สหายนักพรตเฉิน นี่คือก้างปลา…”

เฉินซูได้ยินอย่างนั้นก็อดเหลือบมองมาไม่ได้

“…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version