บทที่ 1167 ได้พบกันอีกครั้ง
พักผ่อนอยู่นานกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะฟื้นพลังได้เกินครึ่ง เมื่อนึกถึงระดับความยากของด่านที่เจ็ดสิบแปด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ
“ข้าพอจะสัมผัสได้ว่า ยิ่งเป็นด่านหลังก็ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น…”
“ยังดีที่ครั้งนี้ไม่ได้เจอเจ้าวิญญาณวัตถุน้อยนั่น หาไม่แล้วความหวังทุกอย่างคงต้องสูญสิ้น”
“หลังจากนี้ต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว จะต้องคอยประลองปัญญา ประลองความกล้าอยู่กับเจ้าวิญญาณวัตถุน้อยนั่น จะเปิดโอกาสให้มันไม่ได้เลย” ท่ามกลางการถอนหายใจอย่างปลดปลง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่กล้าฝ่าด่านต่อ แต่เลือกจะกลับไปที่นครจักรพรรดิแส
ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปได้ไม่นาน วิญญาณวัตถุบนซากพัดก็ฟื้นตื่น พอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าด่านจนเกือบถึงด่านที่แปดสิบ วิญญาณวัตถุก็คลั่งเจียนบ้า
มันรู้ดีว่าในด่านที่เป็นใบไม้นั่น เพื่อทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพ่ายแพ้ มันได้จ่ายค่าตอบแทนไปมหาศาล เป็นเหตุให้ด่านหลังๆ ลดระดับความยากลงไปจากเดิม
เพียงแต่ว่าการลดความยากนี้เป็นไปในระดับที่สมเหตุสมผล จากการวิเคราะห์ของมัน ต่อให้ความยากจะน้อยลงก็จริง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่น่าจะฝ่ามาได้ถึงด่านนี้
“ไม่ได้ ข้าต้องปรับด่านที่เหลือใหม่สักหน่อย บัดซบนัก อย่างมากข้าผู้อาวุโสก็ตัดด่านที่หนึ่งร้อยทิ้งไปซะ จะอย่างไรข้าก็ต้องขัดขวางเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายผู้นั้นให้จงได้!!” วิญญาณวัตถุคลุ้มคลั่งไม่น้อย มันกังวลมากว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ต่อให้มาถึงด่านที่หนึ่งร้อยซึ่งเป็นด่านสุดท้ายจริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะยังใช้วิธีการต่างๆ ที่ตนคิดไม่ถึงข้ามผ่านมันไปได้ บัดนี้มันจึงยอมดึงเอาด่านที่หนึ่งร้อยออกเพื่อแลกมาด้วยการฟื้นคืนระดับความยากในด่านก่อนหน้า!
เวลาเดียวกันนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กลับมาถึงสถานทูตใหญ่ในนครจักรพรรดิแสก็ลืมตาขึ้นในห้องลับ ก่อนจะก้มหน้าลงตบถุงเก็บของ หยิบเอาขวดยาสีฟ้าขวดหนึ่งออกมา
ในขวดยานี้ไม่มีเม็ดยา แต่มียาน้ำทั้งหมดเก้าหยด นี่ก็คือของรางวัลที่ได้มาจากด่านที่เจ็ดสิบแปด หนึ่งหยดเทียบเคียงได้กับโอสถแห่งเซียน ในบางระดับอาจยังถือเหนือกว่าด้วยซ้ำ
ซึ่งเหมาะสมให้เทียนจุนช่วงกลางนำมาใช้พอดี
มองขวดยา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าแม้ด่านที่เจ็ดสิบแปดจะยากมาก ทว่าผลเก็บเกี่ยวก็ไม่น้อยเช่นกัน ในฐานะที่เขาเป็นปรมาจารย์แห่งวิถีโอสถ ย่อมต้องมองออกถึงความไม่ธรรมดาของยาน้ำนี่อยู่แล้ว แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่รู้วิธีการหลอม แต่เขาก็พอจะวิเคราะห์วัตถุดิบส่วนหนึ่งออกมาได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบชนิดไหนก็แทบจะหายสาบสูญไปจากดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ถือเป็นหญ้าเซียนในตำนานแล้วทั้งสิ้น
มีเพียงวัตถุล้ำค่าอย่างเขามังกรวิเศษเท่านั้นที่มีอยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ทว่าราคาก็สูงลิ่วด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเห็นตอนอยู่ในนครจักรพรรดิเซิ่ง ราคาของมัน ต่อให้เป็นเทียนจุนอาวุโสที่คิดจะหาซื้อมาครอบครองก็ยังต้องเสียดายอยู่เป็นนาน
“คุ้มแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ครั้นจึงเอาขวดยามาวางทาบตรงริมฝีปาก ไม่ได้กินมาก เพียงแค่สูดมาหยดเดียวเท่านั้น
ยาหยดนี้ไหลเข้าปากก็ละลายโดยพลัน จากนั้นเปลวเพลิงร้อนระอุขุมหนึ่งก็ระเบิดตูมอยู่ในกายของป๋ายเสี่ยวฉุนและแผ่ลามไปทั่วร่าง ลมหายใจของเขาถี่รัว นาทีนั้นตบะในร่างลิงโลดเดือดพล่าน ว่ายวนเร็วรี่เพื่อดูดเอาสารบำรุงที่อยู่ในยาหยดนั้นให้ซึมซับไปทั่วทุกอณูของเส้นชีพจร
เวลาแห่งการฝึกตนของป๋ายเสี่ยวฉุนล่วงผ่านไปช้าๆ เนื่องด้วยวิเคราะห์ได้ถึงการฟื้นตื่นของวิญญาณวัตถุ ช่วงที่ผ่านมาป๋ายเสี่ยวฉุนจึงล้มเลิกความคิดที่จะไปฝ่าด่านบนซากพัด ทุกวันเขาจะหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตน หวังพัฒนาตบะของตนให้เพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง
อันที่จริงประโยชน์ของยาน้ำเก้าหยดนั่นก็อยู่เหนือการคาดการณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนไปมาก เพราะเมื่อเขาดูดซับยาน้ำทั้งเก้าหยดไปจนหมด ตบะก็ได้เพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย แม้จะยังห่างจากเทียนจุนช่วงท้ายอีกระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะเหมือนตอนที่เพิ่งเลื่อนสู่เทียนจุนช่วงกลางอีกแล้ว
แล้วป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่ได้ใช้โอสถเทียนจุนด้วยซ้ำ ซึ่งโอสถเทียนจุนก็ถูกเขานำไปหลอมพลังจิต เตรียมไว้ใช้ตอนฝ่าทะลุขอบเขตในท้ายที่สุดเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จ
การพัฒนาเช่นนี้ หากคนอื่นรู้เข้าต้องตะลึงพรึงเพริดด้วยความเหลือเชื่อแน่นอน เพราะอย่างไรซะเทียนจุนในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็มีอยู่แค่สิบสองท่านเท่านั้น ในบรรดาคนเหล่านี้ นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ต้องอาศัยกาลเวลาและโชควาสนาในรูปแบบต่างๆ ถึงจะทำให้ตบะเพิ่มพูนได้
มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้นที่เพิ่มตบะได้เร็วสุดยอดเช่นนี้ เพราะอย่างไรซะสิ่งที่เขาได้ครอบครองก็คือสมบัติล้ำค่าแห่งการสืบทอดที่ผู้บงการน่าครั่นคร้ามสร้างขึ้นกับมือตัวเอง!
เพราะได้ครอบครองสมบัติชิ้นนี้ ถึงทำให้การฝึกตนของป๋ายเสี่ยวฉุนรุดหน้าก้าวกระโดดจนแทบจะไม่มีช่วงเวลาของการหยุดชะงัก และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะฝึกตนต่อไปนั้นเอง จู่ๆ วันนี้ก็มีคนรู้จักมาเยี่ยมเยียนเขา!
คนรู้จักที่ว่านี้ ก็คือ…จางต้าพั่ง!
อันที่จริงหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงนครจักรพรรดิแสก็เคยสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปสืบข่าวของจางต้าพั่ง จนได้รู้ว่าจางต้าพั่งที่อยู่ในนครจักรพรรดิแสมีฐานะไม่ธรรมดา และช่วงที่ผ่านมานี้อีกฝ่ายก็ออกไปข้างนอก ยังไม่กลับมา
ตอนนี้เวลาผ่านไปแล้วสองเดือน หลังจากจางต้าพั่งกลับมาก็รู้ข่าวการมาเยือนของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาดีใจสุดประมาณจึงรีบแล่นมาที่สถานทูตใหญ่ทันที
พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ข่าวก็รีบสาวเท้าเดินเร็วๆ ออกจากห้องลับ เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ เขาก็เห็นแผ่นหลังของผู้ชายที่มีเรือนกายผอมเพรียวคนหนึ่ง!
เงาร่างนี้แปลกตาสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่บ้าง ทว่าเมื่อคนคนนั้นสัมผัสได้ถึงการมาของเขาจึงค่อยๆ หันหน้ากลับมาทางป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสะท้านเยือกไปทั้งร่าง แล้วพริบตานั้นก็ปรี่ขึ้นหน้าไปโอบกอดผู้ชายที่แม้จะมีอายุขึ้นไม่น้อย ทว่าเค้าโครงและรูปหน้ากลับเห็นได้ชัดว่าคือจางต้าพั่ง!
“ศิษย์พี่ใหญ่!!”
จางต้าพั่งก็ดีใจมากเช่นกัน เรือนกายของเขาสั่นสะท้าน พอถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกระโจนเข้ามากอด เขาก็กอดรัดป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไปแรงๆ ไม่ต่างกัน
“เสี่ยวฉุน!!”
อารมณ์ของคนทั้งสองเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นตื้นตัน ต่างคนต่างมองหน้ากัน ภาพความทรงจำในอดีตทั้งหลายทั้งแหล่ก็พากันลอยขึ้นมาในสมองอย่างห้ามไม่ได้ ตั้งแต่ที่ครัวไฟของสำนักธาราเทพ มาถึงสำนักสยบธาร จากนั้นก็สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา สุดท้ายคือบนเรือรบของมารดาผี ที่นับแต่นั้นมาคนทั้งสองก็อยู่ห่างไกลกันคนละโลก
“เสี่ยวฉุน ข้านึกว่าข้าจะไม่ได้พบพวกเจ้าอีกแล้ว…”
“เสี่ยวฉุน เจ้ายังจำตอนอยู่บนมหาสมุทรทงเทียนแล้วข้าเล่าให้เจ้าฟังเรื่องความฝันของข้าได้หรือไม่…”
“มันเป็นเหมือนฝันจริงๆ หลายปีก่อนหน้าที่ผ่านมานี้ ข้าคิดมาโดยตลอดว่าทุกอย่างล้วนเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น…โลกที่ข้าใช้ชีวิตอยู่กลับเป็นเรือนกายของยักษ์ตนหนึ่ง ตอนนั้นข้าไม่อยากเชื่อเลย…”
“จนกระทั่งข้าได้ยินว่าโลกทงเทียนพังทลาย…” จู่ๆ จางต้าพั่งก็ร้องไห้โฮ เขามีคำพูดมากมายอยากจะเอ่ย ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้กลับไม่เคยมีโอกาสได้พูดมันออกมา สำหรับเขาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่เป็นศิษย์น้องของเขาเท่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นพี่น้องที่รักอย่างสนิทใจของเขาด้วย
ฟังคำของจางต้าพั่ง หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันวูบไหว ย้อนทวนความทรงจำในอดีต โดยเฉพาะทุกเรื่องราวในฝ่ายครัวไฟ จนกระทั่งนึกถึงการได้พบเจอกันอีกครั้งในวันนี้หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายปี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้แต่ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง
เนิ่นนานที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและจางต้าพั่งนั่งลงจับเข่าคุยกันถึงเรื่องราวของแต่ละฝ่ายหลังจากแยกย้ายกันมา พวกเขามีเรื่องให้ต้องพูดคุยกันเยอะแยะ ทั้งในสถานทูตใหญ่แห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีตำแหน่งสูงสุด แน่นอนว่าย่อมสั่งให้ลูกน้องจัดเตรียมเหล้าและอาหารเลิศรสมาให้ จากนั้นก็เปิดใช้ค่ายกลของสถานทูต ทำให้ทุกคลื่นอำนาจจิตมิอาจกล้ำกรายเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้
“ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการไปเรือผีครั้งนั้น…จะทำให้ต้องจากลากัน…”
“หลังจากที่ข้าโดยสารเรือผีมาถึงที่นี่ ได้เห็นฟ้าดินที่แปลกตา ได้เห็นนครที่ไม่คุ้นเคย พบเจอผู้คนแปลกหน้า…เสี่ยวฉุน เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นข้าโดดเดี่ยวมากแค่ไหน” จางต้าพั่งยกกาเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่น
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน ยกเหล้าขึ้นดื่มเช่นกัน จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก
“ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าจากมาไว จึงไม่ได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลัง…สำนักสยบธารไม่มีแล้ว แดนทุรกันดารไม่มีแล้ว ทุกอย่างสูญสิ้น…ฮ่าวเอ๋อร์ลูกศิษย์ของข้าไม่อยู่แล้ว คนเฝ้าสุสานตายไปแล้ว โลกทั้งใบ…ทลายสิ้นแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไปพูดมา น้ำเสียงก็เริ่มเศร้ารันทด
“คนตายไปมากมาย…มากมายยิ่งนัก…ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนักพรตทงเทียนคนเดียว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่น กำหมัดแน่น จางต้าพั่งที่อยู่ข้างๆ ก็อารมณ์หดหู่ไม่ต่างกัน
ไม่นานเวลาก็ล่วงมาถึงกลางดึก พวกเขาคุยกันมาทั้งคืน พูดถึงเรื่องในอดีต พูดถึงเรื่องราวทุกอย่าง น้ำตาก็หลั่งรินไปแล้ว ทอดถอนใจก็ทำไปแล้ว เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นแล้ว ท่ามกลางเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ ท่ามกลางเสียงถอนใจทอดอาลัย ท่ามกลางการย้อนทวนความทรงจำก็ราวกับว่าคนทั้งสองได้หวนกลับคืนไปในอดีต ได้กลับไปอยู่ในฝ่ายครัวไฟ กลับไปอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่มีความทุกข์ ไร้ซึ่งความกังวลอีกครั้ง…
จางต้าพั่งในเวลานั้นฮึกเหิมห้าวหาญ
ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานั้นภาคภูมิลำพองใจ ใฝ่ฝันว่าวันใดวันหนึ่งตนจะได้เป็นอมตะ
ทว่าตอนนี้ เมื่อกาลเวลาผันผ่าน พวกเขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอย่างในอดีตอีกต่อไป พวกเขาเติบโตแล้ว และบนไหล่ของพวกเขาก็มีภาระและหน้าที่อันหนักอึ้งโผล่ขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว
“หลังจากที่ข้ารู้ว่าโลกทงเทียนแตกสลายก็เริ่มทำการค้นหาอย่างลับๆ …ทว่าข้าตัวคนเดียวไม่มีพรรคพวก แม้จะเป็นคนกลุ่มแรกที่มาอยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้ ทั้งยังได้รับตำแหน่งหน้าที่ที่สำคัญในราชวงศ์จักรพรรดิแสเพราะหลอมพลังจิตเป็น แต่ต่อให้ข้ามีใจก็ยังไร้เรี่ยวแรง…เสี่ยวฉุน ขนาดการที่จะไปจากที่นี่แล้วไปหาเจ้า ข้าก็ยังทำไม่ได้”
“เว้นเสียแต่ว่าข้าสามารถบินไปที่ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง หาไม่แล้ว ทุกค่ายกลนำส่ง ข้าก็มิอาจใช้ได้” จางต้าพั่งกล่าวอย่างขมขื่น ทว่าพอพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ดวงตาของเขาก็เผยความตื่นเต้นและฮึกเหิม
“แต่เสี่ยวฉุน แม้ข้าจะถูกจำกัดในหลายๆ เรื่อง ทว่าข้าก็ยังได้ช่วยเหลือคนมากมายจากโลกทงเทียน โดยเฉพาะ…ข้ายังเจอบุรพาจารย์ธาราเทพ เจออาจารย์อาหลี่ชิงโหว เจอลูกศิษย์ของสำนักสยบธารอีกหลายคน!!” จางต้าพั่งเพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นสะท้านรุนแรงอย่างที่มิอาจควบคุม เขาเงยหน้าพรวดแล้วคว้าแขนจางต้าพั่งบีบไว้แน่น ลมหายใจก็ถี่รัวเร็วแรง
“เจ้าเจอท่านอาหลี่ของข้ารึ!! ยังเจอบุรพาจารย์ธาราเทพด้วย? แล้วก็คนของสำนักสยบธารเราด้วยรึ? พวกเขาอยู่ที่ไหน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวว่าตัวเองจะฟังผิดไป ต้องรู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาที่อยู่ในนครจักรพรรดิเซิ่งเคยระดมกำลังทั้งหมดเพื่อตามหา ทว่ากลับไม่ได้ผลพวงใดๆ และตอนนี้คำพูดของจางต้าพั่งก็เป็นดั่งสายฟ้าแห่งความโสมนัสสำหรับเขา
“หาเจอแล้ว แต่ข้าไม่กล้าไปพบพวกเขา กลัวว่าร่องรอยของพวกเขาจะถูกเปิดเผย แต่ข้ารู้ว่าตอนนี้พวกเขาปลอดภัยอย่างมาก อยู่ในดินแดนเซียนแห่งนี้นี่แหละ!” จางต้าพั่งรู้ดีว่าคลื่นอารมณ์ป๋ายเสี่ยวฉุนรุนแรงมากแค่ไหน จึงรีบบอกทุกเรื่องที่ตนเองรู้ออกมาอย่างไม่กล้าปิดบัง
“ยังไม่ได้เจอหรือ…ถ้างั้นก็ดี ขอแค่ปลอดภัย ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่…แค่นั้นก็ดี แค่นั้นก็ดีแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามปรับลมหายใจให้สงบ ค่อยๆ ผ่อนแรงมือที่จับแขนจางต้าพั่งลง ชั่วขณะนั้นเบื้องหน้าเขาก็มีสายตาเมตตาปราณีที่ซ่อนอยู่ในท่าทางเคร่งขรึมของหลี่ชิงโหวลอยขึ้นมา น้ำตาจึงพลันเอ่อคลอในกรอบดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ท่านอาหลี่…”