บทที่ 1175 เขาพลันคลี่ยิ้ม
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน เขาได้แต่เงียบเฉยเท่านั้น
มือที่จับจอกเหล้าสั่นอยู่ไม่กี่ที เขาก็สังเกตเห็นความเฉยชาของนักพรตทงเทียน สังเกตเห็นคนรอบด้านที่นอกจากกงซุนหว่านเอ๋อร์ซึ่งมีสีหน้าซับซ้อนแล้ว ทุกคนที่เหลือต่างเมินเฉย เขาพลันหลับตาลงช้าๆ
“ศักยภาพ…ศักยภาพที่มากพอ หากตอนนี้ข้าสามารถรบกับบุพกาลได้ ใครจะกล้ามาหยามเกียรติข้าเช่นนี้ ใครจะกล้ามาทารุณนักพรตแห่งโลกทงเทียนของข้าอย่างนี้!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหลับตาลงเพื่อปกปิดดวงตาสีแดงฉานที่ฉายแววดิ้นรน ทว่าทุกอย่างนี้ยังไม่สิ้นสุด มุมปากขององค์ชายใหญ่ยกยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอดทนได้ไหว ดวงตาของเขาก็มีความเย้ยหยันวาบผ่าน
“วันนี้สิ่งที่ข้าเตรียมไว้ให้ท่านทูตใหญ่ป๋ายมีเยอะนักล่ะ…” องค์ชายใหญ่หัวเราะร่า แล้วยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที
“ท่านทูตใหญ่ป๋าย เจ้าและข้าเพียงพบหน้าก็ถูกชะตาปานประหนึ่งมิตรที่รู้จักกันมานาน ซ้ำเจ้ายังเป็นตัวแทนของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง เอาอย่างนี้…วันนี้ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้าชิ้นหนึ่ง ของขวัญชิ้นนี้น่ะ…”
องค์ชายใหญ่พูดมาถึงตรงนี้ ก็ชี้นิ้วไปยังพวกศพหุ่นเชิดที่ยังคงเต้นระบำ
“ก็คือวิธีการชุบหลอมศพหุ่นเชิดพวกนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากที่ท่านทูตใหญ่กลับไปแล้วก็ย่อมสามารถลองชุบหลอม ทดลองลิ้มรสความรู้สึกได้ด้วยตัวเอง”
“ใช่แล้ว การชุบหลอมศพหุ่นเชิดเป็นสิ่งที่ข้าสรรค์สร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง”
องค์ชายใหญ่ไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตา หลังจากจบเสียงหัวเราะของเขาก็มีนักพรตสองคนเดินเข้ามาจากนอกประตูห้องโถงใหญ่ทันที พอคนทั้งสองขยับเข้ามาคารวะองค์ชายใหญ่แล้วก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ครั้นแล้วนักพรตสามคนก็พากันบินออกมาจากในถุงเก็บของของเขา!
นักพรตสามคนนี้ต่างก็มีตบะเป็นก่อกำเนิด แต่ละคนสลบไสลไม่ได้สติ ยืนนิ่งไม่ขยับ
“ท่านทูตใหญ่ป๋ายมองให้ดีล่ะ ตัวข้าจะชุบหลอมให้เจ้าดูกับตาตัวเองเสียเดี๋ยวนี้ จะได้สะดวกยามที่เจ้านำไปศึกษา”
รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์ชายใหญ่ยิ่งเจิดจ้า ทว่าในใจกลับเหี้ยมอำมหิต เป้าหมายของการจัดฉากเหล่านี้ของเขาก็คือ ป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะเขารู้สึกว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เดิมทีตนยังคิดไว้ว่าขอแค่อีกฝ่ายยอมแลกเปลี่ยนเรือนกายกับตน ตนก็จะพูดถึงอีกฝ่ายในทางที่ดีต่อหน้าเสด็จพ่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะใช้ชีวิตอยู่ในนครจักรพรรดิแสได้อย่างปลอดภัย
ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธ ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่ชอบ องค์ชายใหญ่ก็เตรียมจะชิงเอามาซึ่งๆ หน้านี่แหละ!
เป็นไปตามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคาดการณ์ไว้ทุกประการ ขอแค่เขามีพฤติการณ์ที่ผิดแผกออกไป เมื่ออยู่ในวังแห่งนี้ และอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิแส ต่อให้เป็นเรื่องเล็กแค่ไหนก็มากพอจะกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ได้ทั้งนั้น!
ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการก็คือทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทนไม่ไหว!
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเย็นชา องค์ชายใหญ่ปรี่ขึ้นหน้ามาแล้วเริ่มหลอมศพหุ่นเชิดต่อหน้าทุกคน ไม่นานเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดที่ดังออกมาจากปากนักพรตสามคนก็ดังก้องไปทั้งท้องพระโรง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มยิ่งกว่าเดิม เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขาไม่อยากหลับตา เขาอยากจะดู ดูให้เห็นอย่างชัดเจน!
“การหลอมศพหุ่นเชิดที่พิเศษเช่นนี้ มีอยู่ข้อหนึ่งที่ท่านทูตใหญ่ป๋ายต้องระวังให้มาก นั่นก็คือระหว่างขั้นตอนทั้งหมดนี้จะทำให้อีกฝ่ายตายไม่ได้เด็ดขาด ต้องใช้การทรมานทุกวิถีทางทำให้พวกเขาเจ็บปวด ทำให้พวกเขาร้องโหยหวน เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงจะทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาวะมีชีวิตชีวาเมื่อการชุบหลอมเสร็จสิ้นลง”
องค์ชายใหญ่หลอมศพพลางหันมาอธิบายกับป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยรอยยิ้ม วิธีการตลอดทั้งขั้นตอนการชุบหลอมนี้อำมหิตอย่างถึงที่สุด มากพอจะทำให้คนที่มองดูอกสั่นขวัญผวา
มือของป๋ายเสี่ยวฉุนเกร็งจิกที่เท้าแขนเก้าอี้แน่น เขาที่ตาแดงฉานจ้องมองภาพเหตุการณ์สะเทือนขวัญเบื้องหน้าด้วยท่าทางใกล้คลั่งเต็มที
ความโหดเหี้ยมเช่นนี้ทารุณยิ่งกว่าการถลกหนังคนทั้งเป็นหลายเท่าตัวนัก แทบจะเป็นการทำให้คนเป็นๆ คนหนึ่งเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ภายในสู่ภายนอกอย่างสิ้นเชิง หากเป็นเพียงแค่การกระทำอย่างเดียวก็ยังว่าไปอย่าง แต่นี่องค์ชายใหญ่ยังแนะนำแบบละเอียดยิบ และเพื่อยั่วโมโหป๋ายเสี่ยวฉุน เขายังเริ่มคลายผนึกการควบคุมออกจากนักพรตสามคนที่อยู่ในมือ ทำให้นักพรตเหล่านั้นคืนสติจนสามารถพูดได้อีกครั้ง
พอเป็นเช่นนี้ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานจึงยิ่งดังหวีดหวิว โดยเฉพาะชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในสามคนนี้ที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักป๋ายเสี่ยวฉุน ด้วยความทุกข์ทรมาน พอหันไปเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงร้องขอความช่วยเหลือทันที
“บรรพบุรุษขุย ช่วยข้า…ช่วยข้าด้วย…”
เสียงนี้ที่ดังออกมาทำให้สีหน้าของกงซุนหว่านเอ๋อร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้อีก นางรีบหันไปส่ายหัวปรามป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นบีบที่เท้าแขนเก้าอี้จนแหลกละเอียดกลายเป็นเศษไม้จำนวนนับไม่ถ้วนไปแล้ว พวกจักษุไพศาลเองก็หันมามองนิ่งพร้อมพลังอำนาจที่ทะยานขึ้นสูง
โทสะของเขาพุ่งสูงเทียมฟ้าถึงขั้นที่มิอาจทนข่มกลั้นได้ไหวอีกแล้ว ร่างของเขาสั่นเทิ้ม หัวใจเจ็บปวดเกินจะทานรับ เขายอมปล่อยให้เรือนกายเทียนจุนนี้ของตนถูกเศษไม้ทิ่มแทงเข้ามาในฝ่ามือยังดีกว่าให้ใจเจ็บปวด ด้วยข่มกลั้นจนถึงขีดสุดความอดทน เขาจึงถลันพรวดลุกขึ้นยืน!
แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาลุกขึ้นยืนนั้นเอง จักรพรรดิแสที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็ลืมตาขึ้นมาน้อยๆ พวกจักษุไพศาลพากันปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง แต่ละคนตั้งท่าเตรียมลงมือ
ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ กงซุนหว่านเอ๋อร์กลับยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ควันดำสามเส้นก็พลันพุ่งออกมาด้วยความรวดเร็ว องค์ชายใหญ่ที่เป็นครึ่งเทพมิอาจสกัดขวางได้ไหว ส่วนคนอื่นๆ ก็ทุ่มสมาธิไปอยู่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกันหมดจึงไม่ทันตั้งตัว พริบตานั้นควันดำทั้งสามเส้นนี้ก็ผสานรวมเข้าไปในร่างของนักพรตโลกทงเทียนทั้งสามคนที่กำลังร้องโหยหวนวิงวอนขอความช่วยเหลือ
ร่างของคนทั้งสามพลันสั่นสะท้าน สีหน้าฉายแววของการหลุดพ้น หลับตาลง ก่อนจะขาดใจตายไป!
“พอได้แล้ว!”
“องค์ชายใหญ่ ที่นี่คือวังหลวง การศึกษาพวกนี้ของเจ้า หากคิดจะเอามาทำที่นี่ก็อย่ามาทำต่อหน้าข้าผู้เป็นเทียนจุน ข้าเห็นแล้วสะอิดสะเอียนนัก!”
พอลงมือเสร็จ กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา เสียงของนางประหนึ่งลมวิเวกที่พัดโชยผ่านแล้วก้องกังวานอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ เรื่องแบบนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจทำได้ แต่นางที่เป็นเทียนจุนของราชวงศ์จักรพรรดิแสกลับทำได้ เพียงแต่ว่าผลลัพธ์ที่ตามมา ย่อมไม่ใช่เล็กๆ!
“เจ้า!” องค์ชายใหญ่หันขวับมามองกงซุนหว่านเอ๋อร์ ทุกคนใจหายวาบ ต่อให้เป็นพวกเทียนจุนที่เหลือก็ยังพากันขมวดคิ้วน้อยๆ ทว่าในเมื่อกงซุนหว่านเอ๋อร์ลงมือไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ควรพูดอะไรให้มากความอีก เพียงพากันถอนสายตากลับมาเท่านั้น
จักรพรรดิแสที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็เปิดเปลือกตาขึ้นน้อยๆ มองกงซุนหว่านเอ๋อร์เช่นกัน และในดวงตาของเขาก็เผยประกายดำมืดวูบหนึ่งจนแทบจะสังเกตไม่เห็น
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองนักพรตสามคนที่ตายไปด้วยสีหน้าพ้นทุกข์ก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงหันไปคารวะจักรพรรดิแสด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ฝ่าบาท ข้าผู้แซ่ป๋ายรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก ขอตัวลาไปก่อน!”
กล่าวจบเขาก็หมุนตัวเตรียมจะจากไป
องค์ชายใหญ่สีหน้ามืดคล้ำ ขมวดคิ้วเป็นปม ในใจแอบแค้นเคืองกงซุนหว่านเอ๋อร์ แล้วก็สาบานกับตนในใจว่า สักวันหนึ่งจะต้องจับเอากงซุนหว่านเอ๋อร์มาหลอมเป็นหุ่นเทียนจุนให้จงได้!
เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะจากไป มีหรือที่เขาจะยอมเลิกราง่ายๆ จึงรีบปรี่ขึ้นไปขวางหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ทันที
“ท่านทูตใหญ่ป๋าย องค์จักรพรรดิแสยังไม่ได้อนุญาตให้เจ้าจากไป งานเลี้ยงยังไม่จบ เจ้าจะจากไปได้อย่างไร อีกอย่างอันดับต่อไป ยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่ารออยู่”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมององค์ชายใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า จิตสังหารท่วมท้นขึ้นมาในใจอีกครั้งจนกระทั่งฉายออกมาทางดวงตา ซึ่งต่อให้เป็นองค์ชายใหญ่ พอได้เห็นก็ยังใจสั่นด้วยความหนาวสะท้าน
หากไม่เป็นเพราะสถานที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้มีการเข่นฆ่ากันเกิดขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนคงฆ่าองค์ชายใหญ่ทิ้งไปแล้ว
เขาไม่ได้สนใจองค์ชายใหญ่ที่มายืนขวางหน้า ยังคงเดินดุ่มออกไปนอกตำหนักดังเดิม พวกจักษุไพศาลดวงตาเป็นประกายด้วยความลังเล หันไปมองจักรพรรดิแสอีกครั้ง เมื่อพบว่าจักรพรรดิแสไม่ได้เอ่ยคำใด พวกเขาจึงยังนิ่งเฉย
องค์ชายใหญ่บัดนี้เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว ความอับอายพานมาเป็นความโกรธ พลันตบมือดังลั่น
ทันใดนั้นนอกตำหนักเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งทะยานเข้ามา ในรุ้งยาวนี้คือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีตบะเป็นครึ่งเทพเช่นกัน แต่เขาไม่ได้มาคนเดียว ในมือเขายังหิ้วคนอีกคนหนึ่งมาด้วย!
คนผู้นี้ก้มหน้าจึงมองไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริง ทว่าบนร่างกลับสวมชุดคลุมมังกร แม้ว่าบนศีรษะจะไม่ได้สวมมงกุฎจักรพรรดิ ทว่าชุดคลุมจักรพรรดินั่นเมื่อมาอยู่ในวังหลวงแห่งนี้กลับโดดเด่นและสะดุดตามากเป็นพิเศษ!!
“จักรพรรดิขุย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันชะงักฝีเท้า จิตใจสั่นสะท้าน ร้องอุทานออกมาเสียงหลง
บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ผู้ที่มีสิทธิ์สวมชุดคลุมมังกร…มีแค่สองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือจักรพรรดิแส อีกคนหนึ่งคือจักรพรรดิเซิ่ง ทว่าในความเป็นจริงแล้ว…ยังมีอีกคนหนึ่งที่มีสิทธิ์เท่าเทียมกัน!
คนผู้นี้ก็คือ…สายเลือดรุ่นหลังของผู้บงการขุย จักรพรรดิผู้สืบทอดระบบสันตติวงศ์ของโลกทงเทียนที่แท้จริง…จักรพรรดิขุย!!
หากจะบอกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอาศัยการต่อสู้กับนักพรตทงเทียนในคราวนั้น และอาศัยโชควาสนาที่คนเฝ้าสุสานมอบให้จึงกลายมามีสายเลือดของผู้บงการขุย กลายมาเป็นบรรพบุรุษขุย บวกกับที่ตบะของเขาคือเทียนจุน ตอนนี้จึงกลายมาเป็นจักรพรรดิในใจของนักพรตโลกทงเทียนทุกคน ถ้าเช่นนั้นอดีตจักรพรรดิขุย ก็ต้องเรียกว่า… เขาต่างหากที่เป็นผู้มีตัวตนสูงศักดิ์ที่สุดในโลกทงเทียนที่แท้จริง
โลกทงเทียนแหลกสลาย แม้ว่าจักรพรรดิขุยจะไม่ได้ตาย แต่ถูกราชวงศ์จักรพรรดิแสจับตัวมา ไม่รู้ว่าผ่านการทารุณกรรมมานานเท่าไหร่ จนกระทั่งความลับทั้งหมดถูกล้วงเอาไป และในวันนี้… ก็ได้ถูกคนหิ้วเข้ามาในวังหลวงราวกับสัตว์ตัวหนึ่ง มาปรากฎตัว…อยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน!
หลังจากได้ยินเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุน จักรพรรดิขุยที่สติพร่าเลือนก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองรอบด้านด้วยสายตาเลื่อนลอย จนกระทั่งมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน
เขาก็พลันคลี่ยิ้ม