บทที่ 1176 สืบทอด
รอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยความอ่อนล้าแก่ชรา โดยเฉพาะบัดนี้ดวงตาข้างซ้ายของจักรพรรดิขุยกลวงโบ๋ ดูจากร่องรอยก็เหมือนว่าเขาจะควักลูกตาข้างนั้นออกด้วยตัวเอง และเดิมทีเขาไม่ควรจะแก่โทรมขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลาหลายปีที่กลายมาเป็นนักโทษชั้นล่าง องค์ชายใหญ่คงทำการศึกษาและใช้วิธีทารุณที่เหี้ยมโหดกับร่างของเขามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
จักรพรรดิขุยผู้ยิ่งใหญ่ แม้ตอนอยู่ในแดนทุรกันดารจะถูกต้าเทียนซือบงการ ทว่าภายนอกเขากลับยังคงเป็นจักรพรรดิเหนือหัวแห่งราชวงศ์จักรพรรดิขุย ยังคงเป็นบุคคลที่ไพร่ฟ้าเคารพกราบไหว้!
เพียงแต่ว่าวันนี้…เขากลับมีสภาพน่าสังเวช น่าหดหู่ถึงเพียงนี้ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้ม เขาอ้าปากแต่คำพูดกลับติดค้างอยู่ในลำคอ ในสมองมีภาพของจักรพรรดิขุยเมื่อครั้งอยู่ในแดนทุรกันดารลอยขึ้นมา เมื่อมาเปรียบเทียบกับวันนี้ เวลานี้ก็ราวกับเป็น…คนละคน
ลมปราณของป๋ายเสี่ยวฉุนยุ่งเหยิง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอจักรพรรดิขุยอีกครั้ง ที่นี่!
สังเกตเห็นคลื่นอำนาจจิตที่กระเพื่อมไหวของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาองค์ชายใหญ่เป็นประกายวาบ ในใจลำพองใจอย่างยิ่ง
เขาครุ่นคิดหาวิธีการมากมายมาเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุน เป้าหมายก็เพื่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทำความผิด เพราะอย่างไรซะตัวตนท่านทูตใหญ่นี้ก็เปราะบางมากเกินไป และหากป๋ายเสี่ยวฉุนกระทำผิดด้วยตัวเอง ทุกอย่างก็จะง่ายดาย
ซึ่งสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริงก็คือร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุน สามารถพูดได้ว่าสายเลือดของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นสิ่งที่องค์ชายใหญ่กระหายอยากครอบครองมานานมากแล้ว เขามีความมั่นใจว่าขอแค่ได้ร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนมา เขาก็จะสามารถไขความลับทางสายเลือดของผู้บงการขุยได้ และไม่เพียงแต่จะได้รับพรสวรรค์ด้านการหลอมพลังจิต ยังสามารถฝึกวิชาคาถาที่ผู้บงการขุยทิ้งเอาไว้ได้สำเร็จอีกด้วย!
วิชาอมตะมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่ความลับอะไรในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลอีกแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการฟื้นตัวที่เรียกได้ว่าสยบฟ้าของเขาที่ยิ่งทำให้คนมากมายสนใจ และตอนนี้ในมือขององค์ชายใหญ่ก็มีวิธีการฝึกวิชาอมตะมิวางวายเตรียมรอไว้อยู่แล้ว
เพียงแต่เขาไม่สามารถฝึกได้ เพราะต้องเป็นคนที่มีสายเลือดของโลกทงเทียนเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกวิชาอมตะมิวางวายได้สำเร็จ นี่คือเงื่อนไขที่เป็นพื้นฐานมากที่สุด
ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เขาเกิดความปรารถนาที่รุ่มร้อนต่อร่างกายป๋ายเสี่ยวฉุน!
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นไปตามจังหวะที่ตัวเองเตรียมไว้ องค์ชายใหญ่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหัวเราะร่าเสียงดัง
“ท่านทูตใหญ่ป๋าย เสี่ยวหวังสนใจด้านการหลอมพลังจิตอย่างมาก เจ้าเองก็รู้ว่าข้าคนนี้แสวงหาความสมบูรณ์แบบ อวัยวะทั้งในและนอกร่างจึงถูกเปลี่ยนจนเกือบจะครบรอบหนึ่งแล้ว”
“ข้าเองก็ไม่อยากปิดบังเจ้า ในร่างของข้ามีสายเลือดของโลกทงเทียนพวกเจ้าแล้วเสี้ยวหนึ่ง แล้วก็คลำจนเจอวิธีการหลอมพลังจิต ทว่าพลังของสายเลือดนี้ยังไม่พอ ยังอยู่ห่างไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก…”
“และตอนนี้ข้าก็ได้รับคำอนุญาตจากเสด็จพ่อให้ชุบหลอมจักรพรรดิขุยผู้นี้ทั้งเป็น เพื่อเอาเลือดเนื้อทั่วทั้งร่างของเขามาหลอมเป็นแขนข้างหนึ่งของข้า!”
“แขนข้างนี้มีสายเลือดโลกทงเทียนที่สมบูรณ์แบบ แล้วก็ด้วยเหตุนี้ ข้าถึงสามารถควบคุม…ความลับของสายเลือดผู้บงการขุยได้ในระดับที่ลึกล้ำ!”
คำพูดขององค์ชายใหญ่ดังก้องกังวาน ดวงตาของเขาฉายแวววิปลาส คำพูดหรือแม้แต่ท่าทางของเขาก็ดูคลุ้มคลั่งไปหมด
ทว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่รอบด้านกลับคิดว่าทุกอย่างนี้เป็นเรื่องปกติ ครึ่งเทพบางคนยังฉายแววอิจฉาออกมาทางดวงตาด้วยซ้ำ
กล่าวมาถึงตรงนี้ องค์ชายใหญ่ก็พลันยกมือซ้ายขึ้นตัดแขนขวาของตนให้ขาด ไม่สนใจเลือดสดที่พุ่งทะลัก เพียงคว้าร่างของจักรพรรดิขุยมากดไว้บนบาดแผลของตัวเอง!
พริบตานั้นก็มีเนื้อจำนวนมากงอกขึ้นมา พวกมันเลื้อยขยุกขยิกอย่างน่าพิศวง ก่อนจะมุดลอดเข้าไปในร่างของจักรพรรดิขุยอย่างน่าขยะแขยง ร่างของจักรพรรดิขุยสั่นสะท้าน ทว่าดวงตาของเขากลับยังคงจ้องป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้สีหน้าของเขาจะบูดเบี้ยว แต่รอยยิ้มกลับยังคงอยู่ ทั้งยังเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ
“ดวงตาข้างซ้ายของเรา ซุกซ่อนความลับทางสายเลือดของผู้บงการขุยเอาไว้ ซึ่งไม่มีใครช่วงชิงมันไปจากข้าได้!”
“ในวันนี้ที่ถูกกำหนดมาว่าต้องถูกหยามเกียรติ ในช่วงเวลาที่พวกเขายังไม่รู้ความลับแห่งสายเลือดผู้บงการขุย ข้าจึงควักลูกตาข้างซ้ายของตัวเอง ความลับของสายเลือดผู้บงการขุยคือรากฐานของโลกทงเทียนเรา คือทุกอย่างของโลกทงเทียนเรา พวกเขา…ใครก็เอาไปไม่ได้!”
จักรพรรดิขุยพลันหัวเราะ ท่ามกลางเสียงหัวเราะนี้พละกำลังเฮือกสุดท้ายในร่างของเขาได้ระเบิดออกมา จนสามารถพูดประโยคเหล่านี้ต่อหน้าจักรพรรดิแสละขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชวงศ์
แต่เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้เขาไม่ได้พูดให้ใครอื่นฟัง แต่พูดให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังคนเดียวเท่านั้น!
เพราะเขารู้ดีว่า สายเลือดของป๋ายเสี่ยวฉุน หากว่ากันในบางความหมายแล้ว อาจไม่ใช่สายเลือดโดยตรงเฉกเช่นตน ทว่าหากจะพูดกันในระดับของความเข้มข้นแล้วกลับเหนือไปกว่าตน!
เขายิ่งเข้าใจด้วยว่า เขาคือจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ของโลกทงเทียน ต่อให้จะเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้าย แต่ก็ต้องแบกรับภาระหน้าที่ที่เป็นของตน วันนี้เขามิอาจแบกภาระนี้ไว้ได้อีกแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำให้ความลับทางสายเลือดของจักรพรรดิขุยหายไปจากมือของตัวเองได้!
และป๋ายเสี่ยวฉุน…ก็คือตัวเลือกของเขา!
“นับตั้งแต่นาทีที่ข้าควักตาข้างซ้ายของตัวเอง ข้าก็ไม่ใช่จักรพรรดิขุยอีกต่อไปแล้ว วันนี้คนที่ต้องมาตายอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่จักรพรรดิขุย แต่เป็นเพียงครึ่งเทพธรรมดาคนหนึ่งของโลกทงเทียนเท่านั้น!”
จักรพรรดิขุยแหงนหน้าหัวเราะร่า ไม่สนร่างที่สั่นเทา ต่อให้ร่างกายจะถูกเนื้อที่งอกออกมาใหม่ขององค์ชายใหญ่มุดทะลวงเข้ามาอย่างสมบูรณ์แบบ ท่ามกลางการเลื้อยกระดืบยั้วเยี้ยของก้อนเนื้อ ร่างของเขาก็เหี่ยวเฉาลงไปอย่างเห็นได้ชัด ร่างทั้งร่างเหมือนเทียนไขที่กำลังละลาย มองดูแล้วพิลึกพิลั่นอย่างถึงที่สุด!
ทว่าเสียงของเขากลับยังดุเดือด ต่อให้จะอ่อนแอแค่ไหน เสียงนั้นก็ยังคงดังก้องอยู่ในวังหลวงแห่งนี้
“ข้า ไม่ใช่จักรพรรดิขุยอีกต่อไปแล้ว จักรพรรดิขุยที่แท้จริง…ได้ปรากฎตัวขึ้นแล้ว นับตั้งแต่นาทีที่โลกทงเทียนแตกสลาย!”
เสียงหัวเราะของจักรพรรดิขุยแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ทว่าดวงตาข้างขวาของเขากลับเป็นประกายเจิดจ้าซึ่งจ้องนิ่งไปยังทิศทางเดียวตลอดเวลา จ้องนิ่งไปที่คนคนเดียวตลอดเวลา!
ทิศทางนั้น ก็คือตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ คนคนนั้น…ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!
เขายังไม่ทันพูดจบ ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหรือทุกคนในวังหลวงต่างก็เข้าใจดีว่า จักรพรรดิคนใหม่ที่จักรพรรดิขุยพูดถึง…ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!
แทนที่จะพูดว่าครั้งนี้องค์ชายใหญ่ชุบหลอมจักรพรรดิขุย ก็ไม่สู้พูดว่า…นี่คือการแลกเปลี่ยนและมอบการสืบทอดระหว่างจักรพรรดิขุยคนเก่ากับจักรพรรดิขุยคนใหม่โดยมีคนทั้งราชวงศ์จักรพรรดิแสเป็นประจักษ์พยาน!!
การสืบทอดตำแหน่ง จักรพรรดิขุย!!
เมื่อคำพูดของเขาดังก้อง เรือนกายที่แก่เสื่อมโทรมของจักรพรรดิขุยก็ยิ่งอ่อนระโหยโรยแรง ท่ามกลางความเจ็บปวดนี้ ดวงตาข้างขวาของเขาหลับลงช้าๆ ทว่ามุมปากของเขากลับยกยิ้ม เผยสีหน้าผ่อนคลายราวกับได้ปลดวางภาระทั้งหมดลง
ป๋ายเสี่ยวฉุนฝืนข่มกลั้นอาการสั่นสะท้านของร่างกาย สายตาพร่าเลือนด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ ครั้นแล้วจึงโค้งตัวลงต่ำก้มคำนับอดีตจักรพรรขุย!!
การคำนับครั้งนี้ คำนับให้แก่องค์จักรพรรดิขุยรุ่นก่อน!
การคำนับครั้งนี้ คำนับให้แก่วีรบุรุษท่านหนึ่ง!!
วีรบุรุษผู้แก่ชรา…บางทีเขาในอดีตอาจไม่ใช่วีรบุรุษ ทว่าเวลานี้ เขากลับเป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง!
เรื่องนี้ต่อให้เป็นองค์ชายใหญ่ก็ยังคาดไม่ถึง เมื่อเห็นว่าเรื่องลุกลามมาจนถึงขั้นนี้ เขาที่อับอายจนพานมาเป็นความโกรธ จึงคำรามกร้าวแล้วเพิ่มความเร็วในการดูดซับ ทันใดนั้นเรือนกายของอดีตจักรพรรดิขุยก็กลายมาเป็นกองเลือดเนื้อกองหนึ่งที่ดิ้นกระดุบกระดิบอย่างน่าขนลุก ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเขาจะหลอมละลาย และก่อตัวเข้าด้วยกัน กลายมาเป็น…แขนข้างหนึ่ง!!
แขนข้างนี้ถูกก้อนเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนที่งอกออกมากระชากรั้งให้พุ่งเข้าไปผสานรวมกับบาดแผลขององค์ชายใหญ่!!
พลังแห่งสายเลือดของโลกทงเทียนขุมหนึ่งพลันแผ่ออกมาจากแขนข้างขวา องค์ชายใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นรับสัมผัสอยู่ชั่วครู่ก็พลันกำหมัดหัวเราะร่า
“ท่านทูตใหญ่ป๋าย เจ้าลองดูแขนข้างนี้ของข้าสิว่าเป็นอย่างไร? ข้าสัมผัสได้ถึงปราณแห่งการหลอมพลังจิตที่เข้มข้นอย่างยิ่ง!”
องค์ชายใหญ่หรี่ตาทั้งคู่ลงมองป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ยังคงก้มคำนับอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเขาเป็นสีแดงฉานดั่งจะหลั่งออกมาเป็นหยดเลือด เลือดร้อนๆ ขุมแล้วขุมเล่าที่เกิดจากความพลุ่งพล่านตีขึ้นสมองจนศีรษะของเขาแทบระเบิด
เขาไม่สามารถตอบคำถามขององค์ชายใหญ่ เพราะว่าจิตสังหารในใจของเขาเวลานี้ท่วมทะยานเต็มที หากมันระเบิดเมื่อไหร่ ไฟแห่งโทสะและจิตสังหารนั้นอาจจะเผาผลาญนภากาศทั้งผืนให้มอดไหม้เป็นจุณก็เป็นได้
เขาพลันเงยหน้าขึ้น มององค์ชายใหญ่ด้วยดวงตาที่แดงฉานครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปมองจักรพรรดิแส
“จักรพรรดิแส ข้าผู้แซ่ป๋ายเป็นทั้งคนของโลกทงเทียน แล้วก็เป็นทั้งทูตใหญ่แห่งราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง หากไม่นับที่ตัวตน ก็ถือเป็นหนึ่งในสิบสองเทียนจุนของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล งานเลี้ยงครั้งนี้ องค์ชายคนหนึ่งที่เป็นเพียงครึ่งเทพหยามเกียรติข้าผู้แซ่ป๋ายถึงเพียงนี้ นับว่าเกินกว่าเหตุไปแล้ว ข้าผู้แซ่ป๋ายขอบอกไว้ตรงนี้ก่อนว่า หากยังมีครั้งหน้า ก็อย่ามาโทษถ้าข้า……ฆ่าคน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบก็หมุนกายเตรียมจากไป
องค์ชายใหญ่พลันใจสั่นสะท้าน สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อครู่นี้ดุดันยิ่งกว่าช่วงแรกๆ มากนัก จนถึงขั้นที่ตรึงลึกลงไปถึงขั้วจิตวิญญาณของเขา
แต่ยังไม่ทันรอให้องค์ชายใหญ่พูดอะไร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หลับตา หมุนกายเดินออกไปนอกวังทันที!
จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกไปจากท้องพระโรงแล้ว องค์ชายใหญ่ถึงคืนสติจากความตกตะลึงก่อนหน้านี้ ในใจทั้งเจ็บแค้นทั้งอับอายอย่างถึงที่สุด ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าอันดับต่อไปควรจะทำเช่นไร จักรพรรดิแสก็ส่ายหน้าน้อยๆ จุดลึกในดวงตามีแววดูหมิ่นอย่างที่คนนอกมองไม่ออก เขาทั้งดูแคลนป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็ดูถูกองค์ชายใหญ่ไปพร้อมๆ กัน
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงลุกขึ้นและขยับกายหายไปจากวังหลวง เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิแสจากไปแล้ว พวกจักษุไพศาลก็พากันลุกขึ้นยืน ในใจต่างก็รู้ดีว่า คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนถือว่าหลบพ้นเคราะห์ไปได้แล้ว!
มาถึงท้ายที่สุด ตลอดทั้งท้องพระโรงใหญ่ก็เหลือแค่องค์ชายใหญ่เพียงคนเดียว สีหน้าของเขาเริ่มบูดเบี้ยว ดวงตาเผยความบ้าคลั่ง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าเป็นของข้า ข้าจะต้องเอาร่างของเจ้ามาครองให้จงได้!!”
องค์ชายใหญ่ร้องคำราม ก่อนจะสะบัดแขนแรงๆ เดินจากไปอย่างเจ็บแค้น