บทที่ 1181 เจ้าสาบานสิว่าจะไม่เปลี่ยนแซ่ของข้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดือดดาลร้องโหยหวนพลางถอยกรูดอย่างว่องไว ในใจสาปแช่งวิญญาณวัตถุน้อยระรัวดั่งน้ำป่าที่ไหลพรั่งพรูไม่ขาดสาย หากไม่เป็นเพราะตอนนี้ไม่สามารถจัดการกับเจ้าวิญญาณวัตถุน้อยนั่นได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมต้องจับอีกฝ่ายมาถลกหนังเลาะกระดูกไปแล้ว…
“ข้าเกลียดเจ้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบูดบึ้ง วินาทีที่เขาถอยหนี เท้าของชายวัยกลางคนที่ก้าวออกมาพลันสัมผัสพื้น มือขวาของอีกฝ่ายก็ยกขึ้น ทันใดนั้นฟ้าดินก็หม่นมัวไปด้วยแรงกดดันบีบคั้น ความว่างเปล่าเริ่มบิดเบือน ก่อนที่พายุลูกหนึ่งจะพวยพุ่งขึ้นอย่างน่าพรั่นพรึง!
พายุนี้เหมือนจะอ่อนกำลังลงกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังคงมีพลังของบุพกาลอยู่ดี เสียงกัมปนาทของมันสั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน
ขณะเดียวกันเมื่อชายวัยกลางคนปล่อยหมัดออกมาก็เหมือนว่าพายุลูกนี้จะพลิกภูเขาให้คว่ำซัดมหาสมุทรให้ตลบอบอวล ดั่งรวมพลังของทั้งโลกเอาไว้ให้ทะยานดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ทุกที่ที่ผ่าน ความว่างเปล่าแหลกสลายย่อยยับดั่งจะถูกเขมือบกลืน และเมื่อลมพายุขยับเข้ามาใกล้ ทุกอย่างที่อยู่ในฟ้าดินก็กลายมาเป็นเพียงความว่างเปล่า ทอดสายตามองไกลๆ พายุลูกนี้หมุนคว้างมืดฟ้ามัวดิน และเพียงแค่ชั่วพริบตาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวน เวลานี้เขาจนตรอกเต็มที ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงฉานอยู่นานแล้ว ลมหายใจของเขาหอบระรัว วินาทีที่พายุระห่ำขยับเข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันแผดเสียงคำราม ยกมือทั้งคู่ขึ้นแล้วตบลงไปบนพื้นดินเต็มแรง
ปากก็ยิ่งเปล่งคำสี่คำที่ดังอื้ออึงดุจพายุน้ำแข็งออกมา!
“เขตแดน ธารา!!”
เสียงตูมตามที่ต่อให้จะอยู่ภายใต้เสียงอึงคะนึงหวีดหวิวของพายุก็ยังดังสะเทือนไปทั่วทั้งกลุ่มตำหนักของพระราชวัง เห็นเพียงว่าอาณาเขตกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุดหรืออาจถึงขั้นพูดได้ว่าพื้นดินทั่วทั้งโลกเล็กๆ ใบนี้ที่มีป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นจุดศูนย์กลางต่างก็กลายมาเป็นหนองบึง!
เมื่อไอน้ำแผ่กำจาย เสียงคำราบแหบห้าวที่คล้ายดังมาจากกาลเวลาอันห่างไกลก็พลันก้องกังวานขึ้นมาในโลกเล็กๆ ใบนี้ อีกทั้งชั่วขณะที่เสียงคำรามดังขึ้นมา ยังมีหนามแหลมเรียงเป็นตับผุดจากใต้ดิน!
เขตแดนธาราอันเป็นท่าไม้ตายของป๋ายเสี่ยวฉุนเยื้องกรายลงมาบนโลกใบนี้อีกครั้ง!
เมื่อเสียงกัมปนาทดังเกริกก้อง เมื่อหนามแหลมพุ่งทะยานเทียมฟ้า ยอดเขาลูกแล้วลูกเล่าก็ทยอยกันโผล่พรวดขึ้นมาเรียงราย ขณะเดียวกันเสียงคำรามก็ยิ่งดังชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ ทั้งยังถึงขั้นชักนำให้โลกทั้งใบแผ่ริ้วคลื่นกระเพื่อมไปสี่ทิศ พริบตาเดียวก็ปะทะเข้ากับพายุหมัดบุพกาลที่พุ่งเข้ามาโดยตรง
เสียงกัมปนาทดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั้งฟ้าดิน ภายใต้การปะทะกันนี้ หนามแหลมและยอดเขาของเขตแดนธาราที่เจอกับพายุหมัดบุพกาลสั่นสะเทือนแล้วก็มิอาจต้านทานได้ไหว ไม่ได้ถูกโจมตีจนพังราบเป็นหน้ากลอง แต่ถูกกระเทือนจนพร่าเลือน ทำท่าว่าจะสลายหายไป
ทว่าเสี้ยววินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมเย็นๆ เข้าปอดดังเฮือกนั้นเอง หมัดพายุลูกนั้นก็คล้ายจะทะลุทะลวงเขตแดนธาราเข้ามา ครั้นแล้วเสียงร้องคำรามที่ดังอึงอลรุนแรงยิ่งกว่าเก่าซึ่งแฝงไว้ด้วยความไม่ยอมแพ้ก็พลันก้องกังวานไปทั่วโลกใบเล็กๆ นี้อีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้เขตแดนธารา…สองครั้งติดกัน!!
โฮก!!
ตามหลังเสียงร้องคำรามก็เหมือนว่าแผ่นดินสองผืนจะถูกดึงขึ้นมา และระหว่างแผ่นดินทั้งสองผืนก็เต็มไปด้วยยอดเขานับไม่ถ้วน เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าแท้จริงแล้วนั่นคือฟัน ส่วนแผ่นดินสองผืนก็คือปากยักษ์น่าสะพรึงกลัวของสัตว์แห่งชะตาชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุน!
รูปร่างคล้ายจระเข้ มันแผ่ปราณดุร้ายเหี้ยมอำมหิตเหนือล้ำเกินกว่าที่เคยเป็นมา เมื่อปรากฏตัวก็ตรงดิ่งเข้าหาหมัดพายุบุพกาล ชั่วขณะนั้นโลกทั้งใบราวกับจะระเบิดพลังทลาย…ทว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่บุพกาล ต่อให้เขตแดนธาราจะแกร่งกร้าวสักแค่ไหน ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยากที่จะประคับประคองไว้ได้ ในที่สุดท่ามกลางเสียงคำรามอย่างไม่ยินยอม เขตแดนธาราก็พลันสลายหายสิ้น
พายุหมัดบุพกาลยังคงซัดตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน!
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพลังอำนาจของหมัดนี้อ่อนด้อยกว่าหมัดก่อนหน้านั้นไม่รู้ต่อกี่เท่า และเขตแดนธาราก็ลดทอนพลังของมันไปอย่างมหาศาล!
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก แล้วเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขตแดนธาราจะต้านทานหมัดของบุพกาลได้เต็มร้อย ลมหายใจของเขาในเวลานี้แน่วนิ่ง ร้องคำรามพร้อมๆ กับที่ระเบิดพลังเรือนกายครบทุกด้าน ตบะเคลื่อนโคจร ขณะเดียวกันเนตรทงเทียนก็ปริออกตรงหว่างคิ้ว แสงสีม่วงเจิดจ้าแสบตาระเบิดพร่างพราว แล้วหม้อกระดองเต่าก็ออกมาปรากฏอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง!
ทุกอย่างนี้พูดแล้วยาว แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วกะพริบตา ทันใดนั้นหมัดพายุบุพกาลก็กระแทกลงบนเรือนกายเบื้องหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน เลือดเนื้อของเขาเหมือนถูกฉีกทึ้ง ตบะก็ยิ่งคล้ายจะดับสิ้น เลือดสดพ่นพรวดพรั่งพรู แสงสีม่วงของเนตรทงเทียนก็ได้แค่ทำให้พายุหมัดนั้นชะงักไปเพียงเสี้ยวลมหายใจเท่านั้น
สุดท้ายหมัดนี้ก็ยังกระแทกลงมาบนหม้อกระดองเต่าเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ลำพังเพียงแค่เสียงก็ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน เลือดสดของป๋ายเสี่ยวฉุนไหลทะลัก ร่างก็ยิ่งปลิวคว้างไปด้านหลังราวว่าวที่สายป่านขาด อวัยวะภายในเหมือนจะแหลกละเอียด พลังการฟื้นตัวโคจรอย่างบ้าคลั่งถึงขีดสุดในนาทีนี้เช่นกัน ทว่าหมัดนี้ยังไม่สิ้นสุด มันยังคงทะยานเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถอยร่นไม่เป็นท่า แล้วกระแทกโจมตีลงมา ต่อให้พลังจะถูกลดทอนไปมากแล้ว แต่กลับยังน่ากลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
หม้อกระดองเต่าที่เนื่องจากถูกป๋ายเสี่ยวฉุนฝืนเรียกออกมาใช้อีกครั้ง บวกกับที่มีอาการบาดเจ็บและได้รับผลกระทบจากพายุบุพกาลจึงไม่หวนกลับเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ถูกต่อยจนปลิวกระเด็นไปไกล ก่อนจะถูกแสงอ่อนโยนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาห้อมล้อมเอาไว้
แสงนุ่มนวลนี้มาจากวิญญาณวัตถุ!
“ป๋ายเสี่ยวฉุน หากครั้งนี้เจ้ายังผ่านด่านไปได้ นับแต่นี้ไปข้าผู้อาวุโสจะยอมก้มหัวศิโรราบให้แก่เจ้า!” วิญญาณวัตถุน้อยที่มองภาพเหตุการณ์อยู่ก็ใจสั่นสะท้านไปเหมือนกัน เวลานี้จึงแผดเสียงคำรามอื้ออึงไปทั้งโลก
“ก้มหัวกะผีเจ้าน่ะสิ วิญญาณวัตถุ ข้าฝากไว้ก่อนเถอะ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถอยร่นมาอย่างยากลำบากไม่สนใจจะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าวิกฤตความเป็นความตายมารออยู่ตรงหน้าจนเขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ดังนั้นชั่วขณะที่หมัดพายุนั้นพุ่งมาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คลุ้มคลั่งบ้างแล้วเหมือนกัน
“สู้โว้ย!!” ท่ามกลางเสียงคำรามกร้าว ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ถอยหนีกลับรุดเข้าใส่ ระเบิดชนาเขย่าภูเขาโดยตรง ยังไม่สิ้นสุด ยังปลุกเสกความเร็วด้วยผนึกมิวางวาย ขณะเดียวกันมือขวาของเขาก็ยกขึ้นกำเป็นหมัดแล้วระเบ็งเสียงดังสนั่น
“หมัดจักรพรรดิมิดับสูญ!”
เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว ด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันมีเงาของจักรพรรดิใหญ่ยักษ์เผยกาย ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ระเบิดพลังของหมัดจักรพรรดิไปกี่เท่าแล้ว แต่สรุปก็คือวิกฤตครั้งนี้กระตุ้นให้เขาระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มที่ เสียงกัมปนาทดังเกริกก้อง ร่างทั้งร่างของเขาเป็นดั่งดาวตกดวงหนึ่งที่พุ่งเข้าชนกับหมัดพายุ
เสียงดังสะเทือนราวแก้วหูจะดับกระเทือนไปทั่วฟ้าดิน แรงโจมตีมหาศาลน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งซัดตะลุยไปทั่วจนแม้แต่กลุ่มตำหนักในโลกใบนี้ก็ยังต้านรับไม่ไหว พากันถล่มทลายลงมาเป็นวงกว้าง พริบตาเดียวสิ่งปลูกสร้างเพียงหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้ก็มีเพียงรูปปั้นของผู้บงการที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของพระราชวัง!
หมัดพายุนั้นที่ผ่านการลดทอนพลังครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้จึงแหลกสลายลงไปในที่สุด เลือดสดของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้กระอักออกมากี่คำแล้ว เขารู้สึกเพียงว่ามีพลังขุมหนึ่งที่ราวกับจะดับทำลายทุกอย่างของตัวเองกำลังระเบิดกลืนกินเรือนกายของตนอย่างบ้าคลั่ง วิกฤตคับขัน เขาจึงพลันร่ายใช้วิชาพิฆาตเทพ!
เสียงโครมครามอื้ออึง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นหมอกเลือดที่กลิ้งตลบไปด้านหลัง และพอมารวมตัวกันในจุดที่ห่างไปไกลก็เหมือนว่าจะยังไม่สามารถระบายพลังแห่งการทำลายล้างนี้ลงไปได้จึงพังทลายต่ออีกครั้ง ครั้นแล้วก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่ เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาเจ็ดแปดรอบ จนกระทั่งรวมตัวใหม่อีกคำรบ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกระอักเลือดเป็นสาย นอนแผ่อยู่ตรงนั้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ทว่าเสียงหัวเราะของเขากลับก้องกังวานไปสี่ทิศ
“ข้าผ่านด่านแล้ว!!”
“เป็นไปไม่ได้!!” กลางอากาศ วิญญาณวัตถุอ้าปากตาค้างมองป๋ายเสี่ยวฉุน มันปรารถนาที่จะทำลายและขัดขวางการฝ่าด่านของป๋ายเสี่ยวฉุนมาโดยตลอด ไม่นึกเลยว่าด่านที่ยากปานนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับจะยังผ่านไปได้สำเร็จ!
โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เขาไม่ได้พึ่งพาหม้อกระดองเต่าอย่างเดียวเท่านั้น ถึงขั้นพูดได้เลยว่า ต่อให้เป็นเทียนจุนคนอื่นที่ได้ครอบครองหม้อกระดองเต่าใบนั้นก็ไม่มีทางต้านทานได้ไหวแน่นอน
ในใจลึกๆ ของวิญญาณวัตถุน้อยพลันเกิดความเลื่อมใสในตัวป๋ายเสี่ยวฉุน แต่พอมันคิดถึงชะตาของตัวเองในอนาคตก็เริ่มงุ่นง่าน คำรามออกมาอย่างไม่ยอมแพ้
“เจ้าสาบาน สาบานต่อหน้าผู้บงการเลยว่าหลังจากกลายเป็นเจ้านายของข้าแล้ว เจ้าจะไม่เปลี่ยนแซ่ของข้า…”
“อะไรของเจ้า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนงงงัน
“เจ้าสาบานสิ!”
“ระยำ ข้าผู้อาวุโสไม่สาบานหรอก ข้าจะเปลี่ยนแซ่เจ้าแล้วจะทำไม!”
พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงเรื่องที่วิญญาณวัตถุน้อยก่อกวนทำร้ายตนในด่านต่างๆ ก็พลันถลึงตาใส่
“อ๊ากๆๆ!” แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนคาดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่ประโยคเดียวของเขากลับเหมือนเป็นการยั่วยุที่รุนแรงต่อวิญญาณวัตถุ มันถึงได้กรีดร้องเสียงแหลมอย่างเจ็บปวดใจ
ขณะเดียวกันชายวัยกลางคนที่ต่อยหมัดพายุก็เดินออกมาอีกครั้ง มองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วยกมือขวาขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาจนดวงตาแทบถลนออกมาจากเบ้า เขารู้ดีว่าหากอีกฝ่ายต่อยออกมาอีกหมัดตนต้องพิการแน่ ร่างของเขาพลันสั่นสะท้าน รีบอ้าปากหมายปลอบโยนเอาใจเจ้าวิญญาณวัตถุน้อย
ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ เงาร่างนักพรตที่เดิมทีนั่งอยู่กลางหว่างคิ้วของรูปปั้นผู้บงการซึ่งยืนตระหง่านเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ก็พลันยืนขึ้นช้าๆ ก่อนที่น้ำเสียงซึ่งดังเกินอสนีบาตประหนึ่งความยิ่งใหญ่เกรียงไกรแห่งกฎเกณฑ์ซึ่งซุกซ่อนอานุภาพน่าเกรงขามไร้ที่สิ้นสุดก็ดังก้องไปทั้งฟ้าดิน
“เจ้าเด็กงี่เง่า พอได้แล้ว!”
“ผู้ฝ่าด่าน ด่านนี้…เจ้าผ่านแล้ว!”