Skip to content

A Will Eternal 1180

บทที่ 1180 วิญญาณวัตถุลงมือ

ท่ามกลางเวลาที่ผ่านพ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนตกอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าใกล้บ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าชีวิตของเขาทุกวันมีเพียงแค่การฝ่าด่านอย่างไม่หยุดยั้ง ฝึกตนและศึกษาไฟยี่สิบสามสีเท่านั้น

น้อยครั้งที่เขาจะกลับไปยังนครจักรพรรดิแส เวลาส่วนใหญ่ของเขาล้วนหมดไปกับการอยู่บนซากพัด ภายใต้การฝึกตนที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ได้ผลเก็บเกี่ยวในแต่ละด่านกลับมา ตบะของเขาอาจไม่ถึงขั้นเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน แต่ก็แทบจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

การฝ่าด่านของเขาก็ขยับเคลื่อนไปข้างหน้าจากด่านที่เก้าสิบเอ็ดก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นไปอย่างเชื่องช้าและลำบากยากเข็ญ แต่สุดท้ายแล้วเมื่ออยู่ภายใต้ความมานะไม่ย่อท้อ รวมไปถึงการฟื้นพลังของกล้ามเนื้อที่น่าตะลึง เขาจึงเริ่มค่อยๆ ฝ่าไปถึงด่านที่เก้าสิบหก เก้าสิบเจ็ด เก้าสิบแปด…

จนกระทั่งผ่านไปได้อีกหลายเดือน ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ผ่านด่านที่เก้าสิบแปดมาได้ และได้เข้าไปใน…ด่านที่เก้าสิบเก้า!!

ด่านก่อนๆ หน้านี้ วิญญาณวัตถุน้อยไม่เคยปรากฏตัว

แต่ยิ่งขยับไปด้านหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งหวาดระแวง เพราะเขารู้ดีว่าในอีกสองด่านสุดท้าย ย่อมต้องมีวันหนึ่งที่เจอกับการรบกวนของวิญญาณวัตถุน้อยแน่นอน ตามการวิเคราะห์ของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกฝ่ายน่าจะปรากฏตัวในด่านที่หนึ่งร้อยซึ่งเป็นด่านสุดท้าย แต่ในความเป็นจริงแล้ววินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวเข้าไปในด่านที่เก้าสิบเก้านั้น วิญญาณวัตถุน้อยที่เดิมทีหลับสนิทด้วยเหนื่อยล้าสุดขีดเพราะต้องทำให้ซากพัดแปล่งแสงเจิดจ้าเพื่อดึงแขนผู้บงการมา มาบัดนี้มันพลันฟื้นตื่น

“ด่านที่เก้าสิบเก้า!” วิญญาณวัตถุน้อยลืมตาโพลง ก่อนหน้าที่จะหลับสนิท มันทิ้งช่องโหว่อย่างหนึ่งไว้ในด่านที่เก้าสิบเก้า ซึ่งหากมีใครบุกเข้ามา มันก็จะต้องถูกบังคับปลุกให้ตื่นในทันที

เดิมทีมันไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพราะอย่างไรซะสำหรับมันแล้วการหลับสนิทก็ถือเป็นการฟื้นตัวอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้มันเสียพลังมากเกินไป การนอนหลับสนิทจึงมีความหมายมากสำหรับมัน ทว่ามันเกลียดแค้นป๋ายเสี่ยวฉุนฝังลึกถึงกระดูก ดังนั้นต่อให้ต้องฟื้นตื่นก่อนกำหนด มันก็ต้องทิ้งช่องโหว่นี้ไว้ให้ได้

“ป๋ายเสี่ยวฉุน นี่จะเป็นการขัดขวางครั้งสุดท้ายที่นายท่านวิญญาณวัตถุของเจ้ามีต่อเจ้าแล้ว หากครั้งนี้เจ้ายังผ่านมันไปได้…นายท่านวิญญาณวัตถุของเจ้าก็จะยอมเชื่อฟังชะตาฟ้าลิขิต”

วิญญาณวัตถุน้อยสูดลมหายใจเข้าลึก น้ำเสียงที่พูดค่อนข้างห่อเหี่ยว นั่นเป็นเพราะว่าลึกๆ ในใจมันไม่ค่อยมีความมั่นใจต่อการรบกวนครั้งนี้สักเท่าไหร่นัก เพราะอย่างไรซะในหลายๆ ครั้งที่มันคิดว่าจะต้องสำเร็จแน่นอน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มักจะทำให้มันรู้ว่า อะไรที่เรียกว่าคาดไม่ถึง อะไรที่เรียกว่าไร้ยางอาย และอะไรที่เรียกว่า…ขี้โกง!

เป็นเหตุให้ถึงตอนนี้ วิญญาณวัตถุเริ่มจะเชื่อในชะตาลิขิตบ้างแล้ว

มันถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะขยับกายหายวับไปในซากพัด เมื่อปรากฏตัวก็มาอยู่ในด่านที่เก้าสิบเก้าแล้ว

ด่านนี้…ไม่ค่อยเหมือนกับทุกด่านก่อนหน้านั้น

เพราะด่านนี้มีพระราชวังขนาดใหญ่มหึมาหลังหนึ่งลอยอยู่บนฟ้า ขนาดของมันใหญ่โตมโหฬารอย่างถึงที่สุด พอจะมองเห็นได้ว่าตำหนักหลักที่ห่างไปไกลนั้นใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งได้เลย ซึ่งระหว่างนั้นยังพอจะมองเห็นรูปปั้นมหึมารูปหนึ่งได้ลางๆ อีกด้วย!

รูปปั้นนี้คือรูปปั้นของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สวมชุดเต๋า กำลังทอดสายตามองไปยังทิศไกล ต่อให้จะเป็นเพียงรูปปั้น ทว่าปราณที่แผ่ออกมาก็ยังเหนือกว่าบุพกาลไปไกลโข ให้ความรู้สึกลวงตาราวกับว่าเขาผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทั้งจักรวาลอย่างไรอย่างนั้น

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักค้าง แค่มองรูปปั้นนั้นปราดเดียวเขาก็รู้สึกสั่นสะเทือนไปทั้งหัวใจคล้ายเผชิญกับแรงกดดันที่มากเกินไป แรงกดดันนี้ทำให้เขาหายใจไม่ออก แม้แต่ตบะของเขาที่เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของรูปปั้นนี้ก็เริ่มไม่มั่นคงเช่นกัน

และตรงหว่างคิ้วของรูปปั้นนี้ จุดที่เว้าลงไปก็มีเก้าอี้ขนาดใหญ่ยักษ์อยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งเวลานี้บนเก้าอี้คล้ายจะมีนักพรตคนหนึ่งนั่งอยู่ เนื่องด้วยอยู่ห่างเกินไปจึงมองเห็นไม่ชัด ซ้ำสถานที่แห่งนี้ยังจำกัดการแผ่อำนาจจิต ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้พลังทั้งหมดก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัด

แต่เขากลับสัมผัสได้ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหว่างคิ้วของรูปปั้นต้องเป็นผู้บงการแน่นอน แล้วก็มีความเป็นไปได้สูงว่า…น่าจะเป็นผู้ที่สร้างซากพัดเล่มนี้ บุคคลผู้อยู่จุดสูงสุดซึ่งบรรลุวิชาต้นกำเนิดเต๋าเป็นตาย เพราะว่ามีเพียงนั่งอยู่ตรงนั้นเท่านั้นถึงจะสามารถมองกลุ่มตำหนักทั้งหมดได้เหมือนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่สูงที่สุด

ทว่าชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้านสะเทือนไปกับรูปปั้นและเงาร่างที่นั่งอยู่ตรงหว่างคิ้วของรูปปั้นนั้นเอง บนลานกว้างของตำหนักที่เขายืนอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา

“เลิกมองได้แล้ว”

“นั่นคือรูปปั้นของใต้เท้าผู้บงการ ส่วนตรงหว่างคิ้วของรูปปั้นก็คือเงาสะท้อนของใต้เท้าผู้บงการที่ยังเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ เขากำลังมองเจ้าอยู่! ในฐานะที่เป็นคนแรกซึ่งเดินมาถึงด่านนี้ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ต่อให้เจ้าไม่ได้มีสายเลือดของโลกแห่งเซียน แต่ขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกนิรันดร์กาลแห่งนี้ก็ล้วนสามารถได้รับการสืบทอดทั้งสิ้น”

“แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ว่า…เจ้าผ่านสองด่านสุดท้ายนี้ไปได้เท่านั้น!” เมื่อคำพูดนั้นดึงกึกก้อง ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหยุดชะงัก หันขวับกลับไปมองอย่างไม่ลังเล แล้วก็เห็นทันทีว่าห่างไปหนึ่งร้อยจั้งด้านหลังของตน ไม่รู้เมื่อไหร่ที่มี…ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งมายืนอยู่!

ชายผู้นี้สวมใส่อาภรณ์เรียบง่าย มองดูแล้วธรรมดาอย่างมาก ทว่าเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับเหมือนผสานรวมกับโลกทั้งใบ ต่อให้จะยืนเอามือไพล่หลัง แต่บนร่างของเขาก็ยังเหมือนมีหลุมดำหลุมหนึ่งที่สามารถดูดเอาปราณทั้งหมดที่อยู่แปดทิศไปได้

“ข้าผู้แซ่หลินไม่ใช่ผู้แข็งแกร่ง เป็นเพียงแค่บุพกาลเท่านั้น วันนี้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่ร่างจริง เป็นเพียงแค่ร่างแยกที่ไม่อาจออกไปจากโลกใบนี้ได้เท่านั้น”

“ผู้ฝ่าด่าน ขอแค่เจ้าสามารถทนรับหนึ่งหมัดของข้าได้โดยที่ไม่ตายไปเสียก่อน ก็จะถือว่าเจ้า…ผ่านด่านนี้ไปได้!” ชายวัยกลางคนพูดมาถึงตรงนี้ก็ไม่คิดจะถามไถ่ความสมัครใจของป๋ายเสี่ยวฉุน เพียงเดินพรวดออกมาหนึ่งก้าว ยกมือขวาขึ้นแล้วเหวี่ยงหมัดใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านอากาศที่ยังห่างเป็นร้อยจั้ง!

พอหมัดนี้ปล่อยออกมา ตลอดทั้งโลกในด่านที่เก้าสิบเก้าพลันเปลี่ยนมาเป็นหนักอึ้งด้วยความกดดันอย่างถึงที่สุด ปราณบุพกาลขุมหนึ่งที่เหนือกว่าเทียนจุนแผ่อวลอล ทั้งบนร่างของเขายังมีคลื่นขุมหนึ่งที่คล้ายจะบดขยี้ทุกชีวิต ฉีกกระชากความว่างเปล่าระเบิดออกมา ก่อนจะกลายมาเป็นพายุลูกใหญ่ที่พัดเข้าเขมือบกลืนป๋ายเสี่ยวฉุน

“บุพกาล!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดหายใจดังเฮือก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าด่านนี้จะเป็นด่านที่ให้ตนแบกรับหมัดจากบุพกาลโดยที่ไม่ตาย!

ยามนี้เขาไม่มีเวลามามัวคิดมาก ซ้ำยังไม่มีเวลาให้พิจารณาอะไรมากนัก พลานุภาพสยบที่มาจากชายวัยกลางคนกลายมาเป็นวิกฤตแห่งความเป็นความตายที่แทบจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนขวัญบิน พลังกล้ามเนื้อของเขาระเบิดออกมาครบถ้วนตามสัญชาติญาณป้องกันตัวเองในระดับสูงสุด ขณะเดียวกันมือทั้งคู่ก็ทำมุทรา ตบะไต่ทะยานสูงถึงขีดสุด พริบตานั้นรอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีหินยักษ์จำแลงขึ้นมาหลายก้อน คาถาคนขุนเขาก่อตัวสำเร็จ เขากลายร่างมาเป็นมนุษย์หินยักษ์ ยังไม่สิ้นสุด

บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนตามมาติดๆ ท่ามกลางเสียงตูมตามที่ดังกึกก้อง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันระเบิด ทว่าเวลามีน้อยนิด ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้เพียงเท่านี้ พายุที่เกิดจากหมัดของชายวัยกลางคนก็ทะยานมาถึงแล้ว

หมัดนี้บุกราบเป็นหน้ากลอง แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจที่ราวกับจะบดขยี้และดับทำลายทุกอย่างให้สิ้นซาก เมื่อเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนในระยะสิบจั้ง เสียงตูมตามก็ดังลั่นไปทั่วทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน และเป็นครั้งแรกที่คาถาคนขุนเขาระเบิดทลายกลายมาเป็นเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนที่สาดกระเซ็นด้วยมิอาจต้านทานได้

เป็นครั้งแรก เรือนกายที่ร่ายด้วยคาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนก็ไม่สามารถยืนหยัดได้นานเช่นกัน ตอนที่พายุซึ่งเกิดจากหมัดอันน่าครั่นคร้ามอยู่ห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนไปประมาณแปดจั้ง เรือนกายของบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนก็แหลกสลายไม่เหลือดี!

ทว่าท่ามกลางขั้นตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เลือดสดไหลซึมออกมาตรงมุมปากได้ยกมือทั้งคู่ขึ้นร่ายตะเกียงอมตะเตรียมรอไว้ก่อนแล้ว!

พริบตาเดียวรอบกายเขาก็มีตะเกียงอมตะผุดขึ้นมาเหลือคณานับ แม้แต่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังกลายมาเป็นตะเกียงอมตะ ต่อให้เป็นฟ้าดินแห่งนี้ก็ยังไม่ยกเว้น!

ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้หมัดนั้นก็ยังคงเป็นเหมือนตั๊กแตนที่ขวางอยู่หน้ารถ ขณะที่อยู่ห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแค่ห้าจั้ง ตะเกียงอมตะทั้งหมดล้วนถูกฉีกทึ้งให้แหลกลาญ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ถูกกระแทกชนอย่างแรง เลือดสดพุ่งทะลักทลาย ดวงตาทั้งคู่แดงฉานเป็นสีเลือด ถอยกรูดไปข้างหลังหนึ่งก้าว ครั้นแล้วกระบี่ใหญ่สายเหนือก็ถูกเขาหยิบออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดร้องคำรามพลางเงื้อกระบี่ฟันใส่หมัดที่พุ่งมาใกล้อย่างแรง!

เสียงอึกทึกกึกก้องดังสนั่นไปทั้งชั้นฟ้า เพียงแต่ว่ากระบี่ใหญ่สายเหนือที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยใช้ไม่ได้ผล คราวนี้ยังไม่ทันสัมผัสเข้ากับหมัดของชายวัยกลางคน เพียงแค่ขยับเข้ามาใกล้หนึ่งจั้งก็มิอาจทานรับ แรงดีดกลับที่ยากจะบรรยายขุมหนึ่งระเบิดย้อนกลับมากระเทือนไปทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้านอย่างดุเดือด เลือดคำใหญ่กระอักออกจากปาก กระบี่ใหญ่สายเหนือดีดผึงหลุดจากมืออย่างที่มิอาจควบคุมได้อีก ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเพียงเวลาชั่วสายฟ้าแลบจนไม่ทันมองเห็นอย่างชัดจน เพียงชั่วกะพริบตา…หลังจากกระบี่ใหญ่สายเหนือกระเด็นออกไป พายุที่เกิดจากหมัดนั้นก็เหมือนกลายมาเป็นน้ำวนที่เขมือบกลืนทุกสิ่งซึ่งกระแทกลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างจัง

แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่พายุระห่ำที่กระแทกลงมา แสงสีดำพลันเปล่งวาบ หม้อกระดองเต่าเผยกายขัดขวางอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ท่ามกลางเสียงกัมปนาทกึกก้องไปทั้งชั้นฟ้าราวกับว่าโลกทั้งใบจะระเบิดแหลกลาญ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกถึงเพียงพลังมหาศาลที่เกินจะพรรณนาขุมหนึ่งซึ่งคล้ายจะฉีกกระชากเรือนกายและตบะทั้งหมดของตน บัดนี้การฟื้นฟูของเนื้อหนังมังสาเขาได้ระเบิดเหนือเกินกว่าขีดจำกัด หม้อกระดองเต่าสกัดกั้นไปพลาง กล้ามเนื้อก็ฟื้นตัวไปพลาง พร้อมๆ กับที่เลือดสดพุ่งทะลักต่อเนื่อง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเหมือนว่าวที่สายป่านขาดซึ่งปลิวลิ่วไปไกล

อวัยวะภายในของเขาเหมือนจะแหลกยับ ต่อให้มีหม้อกระดองเต่าช่วยต้านทานเอาไว้ แต่กระดูกทั่วร่างก็ยังแตกหักไปเกินครึ่ง ตอนที่ร่างทั้งร่างกระแทกลงบนพื้นเสียงดังปัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามืดดำ เหมือนคนที่เพิ่งไปเดินผ่านหน้าประตูผีมารอบหนึ่ง! หากไม่เป็นเพราะพลังการฟื้นตัวน่าครั่นคร้าม เกรงว่าบัดนี้เขาคงแหลกสลายไปทั้งกายและจิตแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าเขาต้านรับหมัดนี้ของชายวัยกลางคนไว้ได้สำเร็จ!

ส่วนหม้อกระดองเต่าที่สกัดหมัดนี้ไปได้แล้วก็กลายร่างเป็นแสงสีดำที่หายเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนใหม่อีกครั้ง และไม่สามารถเรียกออกมาได้อีกในเวลาสั้นๆ นี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนหอบฮักๆ ฝืนตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนเพื่อมองไปยังชายวัยกลางคน แล้วจึงเห็นว่าชายวัยกลางคนก็กำลังมองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เช่นกัน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เก็บหมัดกลับคืนไป

“เจ้าผ่าน…” มุมปากของชายวัยกลางคนยกยิ้มพึงพอใจ แต่เพิ่งจะพูดมาได้ถึงตรงนี้ ดวงตาเขาพลันฉายแววเลื่อนลอย ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเช่นนั้นหัวใจก็กระตุกรัวแรง ชั่วขณะที่สังหรณ์ร้ายผุดขึ้นมากลางใจ น้ำเสียงของชายวัยกลางคนที่เปลี่ยนทำนองก็ดังก้องขึ้นมารอบทิศ

“ผู้ฝ่าด่าน ขอแค่เจ้าสามารถทนรับหนึ่งหมัดของข้าได้โดยที่ไม่ตายไปเสียก่อน ก็จะถือว่าเจ้า…ผ่านด่านนี้ไปได้!” พูดจบ ชายวัยกลางคนก็กำหมัดอีกครั้ง!

“วิญญาณวัตถุ เจ้าโผล่ออกมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะซัดเจ้าให้ตายเลย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเดือดดาลอย่างเจ็บแค้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version