บทที่ 1179 การพบเจอกันอีกครั้งก่อนที่พายุจะมาเยือน
การปรากฏตัวของไฟยี่สิบสองสีทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ จมจ่อมอยู่กับความทรงจำ อารมณ์จึงเริ่มหดหู่ ภาพเหตุการณ์ในอดีตลอยขึ้นมาในสมองของเขา ภาพเหตุการณ์ที่ป๋ายฮ่าวเคยช่วยชีวิตเขาตอนที่อยู่ในโลกทงเทียน
เผาไหม้ตัวเองให้กลายมาเป็นไฟที่ร้อนแรงที่สุดของโลก เพียงเพื่อช่วยเหลือตน…
ป๋ายเสี่ยวฉุนยอมรับว่าพรสวรรค์ด้านการหลอมไฟของตนสู้ลูกศิษย์ตัวเองไม่ได้
หรือถึงขั้นพูดได้ด้วยว่า หากไม่มีป๋ายฮ่าว บางทีป๋ายเสี่ยวฉุนก็อาจประสบความสำเร็จอย่างในวันนี้ เพียงแต่ว่าค่าตอบแทนและเวลาที่ต้องเสียไปย่อมเหนือกว่าตอนนี้ไปไกลโข
เป็นเพราะพรสวรรค์ของป๋ายฮ่าวที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนปลาได้น้ำยามหลอมไฟ แล้วก็เป็นเพราะการเสียสละของป๋ายฮ่าว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้พลิกชะตาฟ้า รอดพ้นมาจากความตายที่รออยู่ตรงหน้าได้อย่างหวุดหวิด
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกผิดต่อลูกศิษย์คนนี้ แต่ที่มากกว่านั้นคือความเจ็บปวดในหัวใจ ทุกครั้งที่นึกถึง ในสมองก็อดมีภาพที่คนทั้งสองเคยใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันตอนอยู่ในแดนทุรกันดารลอยขึ้นมาไม่ได้
เนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้พึมพำแผ่วเบา
“ฮ่าวเอ๋อร์ ใกล้แล้ว อีกไม่นานอาจารย์ก็จะสามารถทำให้เจ้าฟื้นคืนชีพท่ามกลางเปลวเพลิงได้แล้ว!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนเบามากจนคนนอกไม่ได้ยิน มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รับรู้ได้ ยามนี้เขาก้มหน้าลูบคลำตราประทับบนหลังมือของตัวเอง ครู่หนึ่งต่อมา เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้น เขาก็ไปจากซากพัดแล้วฝังกลบความทรงจำทั้งหมดไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
เพราะตอนนี้เขาไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลอย่างในอดีตอีกแล้ว บนร่างของเขาแบกรับแรงกดดันที่หนักอึ้ง ความอัปยศที่องค์ชายใหญ่กระทำต่อนักพรตโลกทงเทียนและจักรพรรดิขุยตอนอยู่ในวังหลวง
ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น สายตาที่ไม่ใช่การสืบทอดแต่เป็นยิ่งกว่าการสืบทอดของจักรพรรดิขุย ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจเมินเฉย
“ศักยภาพ ตบะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หลังกลับมาถึงห้องลับในสถานทูต เขาก็รีบนั่งลงขัดสมาธิ พอจัดระเบียบผลเก็บเกี่ยวที่ได้มาจากการฝ่าด่านเรียบร้อย เขาก็เริ่มปิดด่านฝึกตนทันที
ด่านในอันดับถัดไป ต่อให้วิญญาณวัตถุน้อยจะพูดว่าจะลงมือขัดขวางอีกแค่ครั้งเดียว แต่ด้านหนึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่สามารถเชื่ออีกฝ่ายได้เต็มที่ ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเขาเองก็เข้าใจดีว่ายิ่งเป็นด่านหลังๆ ก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตอนนี้เขามาถึงด่านที่เก้าสิบแล้ว ขาดอีกแค่สิบด่านก็จะทำสำเร็จได้อย่างแท้จริง
เขาจะล้มเหลวไม่ได้!
วิธีการเดียวที่มีก็คือทุกครั้งหลังจากฝ่าด่านสำเร็จ เขาจะต้องกินยาที่เป็นของรางวัลเพื่อให้ตบะไต่ทะยานไปได้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงจะสามารถคว้าความสำเร็จมาได้ในท้ายที่สุด!
และหากทำสำเร็จ ผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับจะมากมายแค่ไหน เขาก็พอจะจินตนาการได้ และนี่ก็เป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของป๋ายเสี่ยวฉุน
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ครึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่านตลอดเวลา ทั้งกายและใจจมจ่อมอยู่กับการฝึกตน เมื่อคอยกินยาที่ได้เป็นของรางวัลมาจากในซากพัดอย่างต่อเนื่อง ตบะของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ วัน แม้ว่าจะยังไม่ใช่เทียนจุนช่วงกลางระดับสูงสุด แต่ก็อยู่ห่างอีกไม่ไกลแล้ว
จนกระทั่งวันนี้มีคนสองคนมาเยือนสถานทูตใหญ่ ทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นผู้หญิง หนึ่งในนั้นเรือนกายสูงโปร่ง หน้าตางามล้ำ ตบะเทียนจุน เป็นเหตุให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงการมาของนางในทันที
“กงซุนหว่านเอ๋อร์?” ในห้องลับ ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันลืมตา หลังกวาดอำนาจจิตมองไปและเห็นหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายกงซุนหว่านเอ๋อร์อย่างชัดเจน
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัวสั่นเทิ้ม
“เสี่ยวเม่ย!!”
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น หายตัวไปในชั่วพริบตา เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ตรงหน้ากงซุนหว่านเอ๋อร์และโหวเสี่ยวเม่ยแล้ว เขาเหม่อมองหญิงสาวตรงหน้าที่มีตบะเป็นคนฟ้าด้วยใจที่สั่นสะท้านมากขึ้นทุกขณะ
คนที่มากับกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็คือโหวเสี่ยวเม่ย ซึ่งนับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงดินแดนเซียนนิรันดร์กาล นางก็ปิดด่านมาโดยตลอด
ไม่เจอกันนานหลายปี หน้าตาของโหวเสี่ยวเม่ยเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะวิชาการฝึกตน นางถึงดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากขึ้น โดยเฉพาะทั่วร่างที่แม้จะแผ่ปราณเยียบเย็นคล้ายคลึงกับกงซุนหว่านเอ๋อร์
ทว่าสายตาของนางที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเผยความปิติยินดีและตื่นเต้นอย่างเร่าร้อน
ซ้ำจุดลึกในดวงตาทั้งคู่ยังมีประกายของความอ่อนโยนแฝงเร้น ความอ่อนโยนนี้เหมือนจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์กาล ไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลงจากที่เคยเป็นตอนอยู่ในแผ่นดินทงเทียน กลายเป็นว่ายิ่งจากไกลกัน กลับยิ่งเข้มข้น ดั่งกลายมาเป็นกองไฟกองหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานเข้ากับความเยือกเย็นบนร่าง ความรู้สึกที่มีทั้งเร่าร้อนและเย็นชาในเวลาเดียวกันจึงยิ่งทำให้เสน่ห์ของโหวเสี่ยวเม่ยไต่ทะยานขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด
“พี่เสี่ยวฉุน!” กรอบตาของโหวเสี่ยวเม่ยแดงก่ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ตรงหน้านางต่างไปจากในอดีต เหมือนว่าจะมีความอาวุโสเพิ่มมากขึ้น คนนอกอาจมองไม่ออก แต่สำหรับคนทั้งสองที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังอยู่ในฝ่ายครัวไฟของสำนักธาราเทพแล้ว การเปลี่ยนแปลงของป๋ายเสี่ยวฉุน โหวเสี่ยวเม่ยกลับมองออกเพียงแค่ปราดเดียว
นางรู้สาเหตุดี หลังจากที่ออกจากด่าน ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ อาจารย์ของนางได้บอกเล่าทุกอย่างให้นางฟังหมดแล้ว เพียงรับฟังเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านั้นนางก็ยากที่จะทำใจยอมรับได้ แต่ก็จำต้องยอมรับมันให้ได้ มองดูเหมือนจะเข้มแข้ง แต่ในความเป็นจริงแล้วหัวใจของนางกลับเปราะบางยิ่งนัก
จนกระทั่งนางได้ยินอาจารย์บอกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาอยู่ที่นครจักรพรรดิแสเหมือนกัน อารมณ์ของโหวเสี่ยวเม่ยก็มิอาจสงบลงได้ แล้วก็ไม่ต้องรอให้นางร้องขอ กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็พานางมาที่นี่ด้วยตัวเอง
ยามนี้ได้พบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน โลกของโหวเสี่ยวเม่ยก็ไม่เหลือใครอื่นอีกต่อไป นางเดินขยับไปข้างหน้าช้าๆ เอื้อมมือไปโอบกอดป๋ายเสี่ยวฉุนเบาๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ก้มหน้าซุกลงบนศีรษะนาง คนทั้งสองโอบกอดแนบแน่น
ไม่มีใครพูดคำใด การจากลาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเหมือนจะเพียงแค่เพื่อรอคอยอ้อมกอดในยามที่ต่างฝ่ายต่างได้มาพบกันอีกครั้งเฉกเช่นตอนนี้
ดวงตาของกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่มองภาพเหตุการณ์นี้อยู่ข้างๆ ฉายความซับซ้อน ก่อนจะถอยออกมาเงียบๆ ด้วยไม่อยากรบกวนความอบอุ่นที่โอบล้อมไปทั่วคนทั้งสอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงการถอยออกไปของกงซุนหว่านเอ๋อร์ จึงเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาซาบซึ้ง เขาซาบซึ้งที่กงซุนหว่านเอ๋อร์ปกป้องโหวเสี่ยวเม่ย แล้วก็ซาบซึ้งที่กงซุนหว่านเอ๋อร์พาโหวเสี่ยวเม่ยมาที่นี่ในเวลานี้
นางเป็นกังวลว่าการโจมตีทางจิตใจที่ได้รับตอนอยู่ในวังหลวงจะกระตุ้นให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเรื่องอะไรบ้าๆ ดังนั้นถึงได้พาโหวเสี่ยวเม่ยมา หมายจะให้โหวเสี่ยวเม่ยช่วยปลอบใจป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เข้าใจดีว่า เมื่อเทียบกับการมาอยู่ข้างกายตน สำหรับโหวเสี่ยวเม่ยแล้วการอยู่กับกงซุนหว่านเอ๋อร์ต่อไปย่อมปลอดภัยกว่า ยามนี้จึงทำได้เพียงกระซิบบอกเล่าความทรงจำในอดีตให้โหวเสี่ยวเม่ยฟังเบาๆ ที่ข้างหูของนาง
เวลาล่วงเลยจนมาถึงกลางดึก สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปล่อยให้โหวเสี่ยวเม่ยกลับไปกับอาจารย์ของนาง
“เสี่ยวเม่ย รอข้าหน่อย…อีกไม่นาน ข้าจะไปรับเจ้ากลับมา…อีกไม่นาน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองตาโหวเสี่ยวเม่ยพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
โหวเสี่ยวเม่ยไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่รู้ประสาอย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์บนเกาะเทียนจุนหรือประสบการณ์ที่ได้รับหลังจากติดตามกงซุนหว่านเอ๋อร์ นางจึงรู้ดีว่าในเวลาอย่างนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ควรมีภาระหรือพันธนาการที่มากเกินจำเป็น และความปลอดภัยของตนก็ถือเป็นความมั่นคงที่สุดสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน
ต่อให้นางจะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังจูบลาป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งน้ำตาแล้วหมุนกายจากไป
สัมผัสถึงกลิ่นหอมและความอบอุ่นที่ยังคงเหลืออยู่บนริมฝีปาก ป๋ายเสี่ยวฉุนมองแผ่นหลังของโหวเสี่ยวเม่ยที่จากไปอยู่เนิ่นนาน ครั้นแล้วดวงตาของเขาก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว!
“ตบะ ศักยภาพ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนกายเดินกลับเข้าไปในห้องลับ เมื่อปรากฏตัวก็มาอยู่บนซากพัดแล้วเริ่มฝ่าด่านต่อไป จากด่านที่เก้าสิบเป็นต้นมา ไม่ว่าด่านไหนก็ยากมากพอที่จะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งกว่าจะผ่านไปได้
และระดับความยากเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้วิญญาณวัตถุน้อยยื่นมือเข้ามารบกวน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่สามารถก้าวก่ายได้สักเท่าไหร่ เพราะหากจะว่ากันในบางระดับ อำนาจของมันกับป๋ายเสี่ยวฉุนถือว่าอยู่กันคนละชั้นกันมานานแล้ว
ที่ก่อนหน้านี้มันบอกว่าจะรบกวนอีกแค่ครั้งเดียวคือเรื่องจริง เพราะอำนาจที่มันมีอยู่ในมือตอนนี้ก็เอามาใช้หลังจากด่านที่เก้าสิบได้แค่ครั้งเดียวจริงๆ!
เวลาแต่ละวันล่วงเลยผ่านไป ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่กับการฝ่าด่านอย่างเต็มที่ และทุกครั้งที่พักผ่อน เขาก็ไม่ยอมปล่อยเวลาให้เสียเปล่า จะต้องศึกษาไฟยี่สิบสามสีไปพลาง
แล้วก็เป็นอย่างนี้จนผ่านไปได้ครึ่งปี
ครึ่งปีมานี้ไม่รู้ว่าทำไมองค์ชายใหญ่ถึงสงบเสงี่ยมลงได้ไม่น้อย เขาไม่ได้มาหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนอีก ส่วนเทียนจุนคนอื่นๆ ที่หลังจากเกิดเรื่องในวังคราวนั้นก็เพิ่มความระวังต่อป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็ไม่มีใครคิดจะล่วงเกินเขา เพราะอย่างไรซะตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าองค์ชายใหญ่แสดงตนเป็นศัตรูกับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเต็มที่ พวกเขาแค่รอดูเรื่องสนุกก็พอ
ที่สำคัญที่สุดก็คือทางฝ่ายของจักรพรรดิแสที่เหมือนจะกำลังฝึกวิชาบางอย่างที่สำคัญมากจึงเลือกปิดด่าน แม้ว่าจักรพรรดิแสจะปิดด่านอยู่เป็นประจำ แต่คราวนี้เหมือนจะต่างไปจากทุกครั้ง ก่อนจะปิดด่านเขาถึงได้ออกคำสั่งว่าหากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของราชวงศ์จักรพรรดิแสแล้วก็ห้ามใครรบกวนเขาเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ ตลอดทั้งนครจักรพรรดิแสจึงสงบสุขลงได้ไม่น้อย เพียงแต่คนบางคนที่ช่างสังเกตมากพอก็ยังค้นพบได้ไม่ยากว่า ภายใต้ความเงียบสงบนี้ดูเหมือนจะมีพายุสะเทือนฟ้าลูกหนึ่งกำลังก่อตัว และอาจระเบิดปะทุได้ทุกเมื่อ!