Skip to content

A Will Eternal 814

บทที่ 814 มีปัญหา มาหาท่านปู่

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจสายตาของทุกคนที่มองมา

ตอนนี้ในสายตาของเขามีเพียงคนเฝ้าสุสานที่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจยิ่งกว่าต้าเทียนซือเสียอีก

ทว่าหลังจากการประจบเอาใจครึ่งเดือนติดต่อกันแล้วพบว่าคนเฝ้าสุสานยังคงไม่แยแสตน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าต่อให้ตัวเองจะเป็นกองไฟที่เร่าร้อนกองหนึ่ง มาตอนนี้ก็ยังสามารถมอดดับได้อยู่ดี

ครึ่งเดือนมานี้เขาเองก็รู้แล้วว่ามีเพียงตนและป๋ายฮ่าวเท่านั้นที่มองเห็นคนเฝ้าสุสานผู้นี้ คนอื่นสัมผัสไม่ถึงเขาแม้แต่น้อย อีกทั้งอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็เอาแต่ตกปลาตลอดเวลา ส่วนสิ่งที่เขาตกขึ้นมาได้นั้น ไม่ใช่ปลา แต่เป็นวิญญาณพยาบาทตัวแล้วตัวเล่าที่มาจากแม่น้ำอเวจี

ทุกครั้งวิญญาณพยาบาทจะต้องแย่งชิงกันหมายให้ติดเบ็ด ทว่าอย่างมากที่สุด วิญญาณพยาบาทที่ตกขึ้นมาได้ในแต่ละคืนก็มีแค่ตัวเดียวเท่านั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ มองคนเฝ้าสุสานแล้วมองไปยังแม่น้ำอเวจีด้วยใบหน้ายับยุ่ง ป๋ายฮ่าวที่อยู่ข้างกันเห็นว่าความพยายามตลอดครึ่งเดือนของอาจารย์ตัวเองไม่ได้ผลลัพธ์อะไรกลับคืนมาก็ได้แต่เอ่ยปลอบใจเบาๆ

“อาจารย์ ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ธรรมดา ท่านเองก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ…”

“ข้ารู้ว่าตาแก่นี่ไม่ธรรมดา วางใจเถอะ สำหรับการรับมือกับตาแก่นี่ อาจารย์มีประสบการณ์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันอย่างดึงดัน เขารู้สึกว่าตนใช้วิธีการผิด ดังนั้นเมื่อคืนวันที่สองมาถึง เขาจึงไปหาคันเบ็ดหนึ่งคันแล้วมานั่งตกปลาอยู่ข้างๆ ผู้เฒ่า

“มีเพียงปณิธานสอดคล้องต้องกันเท่านั้น ทุกปัญหาถึงจะแก้ไขได้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าตัวเองเข้าใจถูกแล้ว และภายใต้การจับตามองอย่างอึ้งงันของป๋ายฮ่าว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นั่งตกปลาอยู่กับคนเฝ้าสุสานไปอย่างนี้อีกครึ่งเดือน

เพียงแต่ว่าเวลาหนึ่งเดือนเต็มที่ผ่านไป ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะใช้วิธีการแบบไหน คนเฝ้าสุสานก็ยังไม่สนใจ มาถึงท้ายที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ แล้วล้มเลิกความตั้งใจไปเอง

“ฮ่าวเอ๋อร์ การกระทำของอาจารย์ได้ให้บทเรียนกับเจ้าอีกข้อหนึ่ง ต้องจำไว้ว่าหากใช้กับคนที่ถูก คำว่า ‘เมื่อมีความตั้งใจ ปัญหาใดๆ ก็ล้วนแก้ไขได้’ ถึงจะได้ผล แต่หากใช้กับคนผิด นั่นก็เท่ากับสิ้นเปลืองเวลาไปเปล่าๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าห่อเหี่ยว ป๋ายฮ่าวกะพริบตาปริบๆ อย่างตั้งใจ ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่พยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกข้าวสาร

เพียงแต่ว่าแม้ปากป๋ายเสี่ยวฉุนจะบอกว่ายอมแพ้ ทว่าลึกๆ ในใจกลับไม่ยินยอม แต่จะให้เสียเวลาไปอย่างนี้ เขาเองก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสเริ่มหลอมไฟสิบเก้าสีไม่ห่างไปจากริมแม่น้ำที่คนเฝ้าสุสานนั่งอยู่เท่าไหร่นัก

“ช่วยไม่ได้ พึ่งคนอื่นไม่สู้พึ่งตนเอง ในเมื่อตาแก่นี่ดื้อดึงนัก ข้าก็ได้แต่อาศัยวิธีการหลอมไฟมาทำให้ตบะของตัวเองฝ่าทะลุ เลื่อนสู่คนฟ้า…และข้าก็จะสามารถข้ามผ่านแดนทุรกันดารกลับไปบ้านได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังอยู่ในใจ เพียงแต่ว่าถึงแม้ไฟสิบเก้าสีจะยังอยู่ในขอบเขตของชั้นดิน ทว่าป๋ายฮ่าวกลับยังศึกษาตำรับหลอมไฟไม่สำเร็จ

ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอเวจีจึงทำเหมือนคนเฝ้าสุสานไม่มีตัวตน เขาเอาแต่ปรึกษาเรื่องการหลอมไฟและศึกษาตำรับหลอมไฟสิบเก้าสีร่วมกับป๋ายฮ่าว

ป๋ายฮ่าวมีทฤษฎี ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีการปฏิบัติจริง ภายใต้ความพยายามของคนทั้งสอง อีกทั้งไฟสิบเก้าสีนี้ก็มีแนวทางการหลอมแบบเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยหลอมไปก่อนหน้านั้น ดังนั้นถึงแม้การพัฒนาจะไม่เร็วมากนัก แต่ก็ไม่นับว่าช้า

ทว่ากลับมีจุดสำคัญอยู่หลายจุดที่ทำให้คนทั้งสองติดขัด ราวกับว่าหากแก้ไขไม่ได้ก็ยากที่จะดำเนินไปได้ต่อ

“ไม่ได้นะ การหลอมไฟสิบแปดสีของข้า ข้าได้แต่ทำสำเร็จในขอบเขตสามจั้ง แต่หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ถ้าในการหลอมไฟสิบเก้าสียังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เกรงว่าคงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีสันอย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อมันอยู่ในขอบเขตหนึ่งจั้งหรืออาจเล็กกว่านั้นเข้าไปอีก”

“ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ยากที่จะทำสำเร็จได้ แทบจะไม่มีทางเป็นจริงได้เลย”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ป๋ายฮ่าวเองก็คิดหนัก

“เว้นเสียแต่ว่ามีวิธีการใดที่ทำให้สีสันนั้นเปลี่ยนแปลงช้าลง…เกรงว่านี่คงจำเป็นต้องใช้พลังภายนอกถึงจะได้” นัยน์ตาของป๋ายฮ่าวเผยการอนุมาน แต่คิดอยู่นานมากก็ยังคิดไม่ออก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เค้นสมองคิดอย่างหนัก ทว่าตอนนี้เขากลับหาวิธีอะไรดีๆ ไม่เจอ

เวลาล่วงผ่าน จนกระทั่งผ่านไปอีกเจ็ดวัน ปัญหานี้ก็ยังคงติดขัดอยู่ต่อหน้าอาจารย์และศิษย์สองคน จนกระทั่งกลางดึกวันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มเกิดความคิดจะถอดใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาคิดว่าไฟสิบเก้าสีนี้คงต้องค่อยๆ พิจารณาใคร่ครวญกันไป แต่จู่ๆ คนเฝ้าสุสานที่ไม่เคยปริปากพูดคำใดมาตลอดทั้งเดือน บัดนี้กลับเปล่งเสียงแหบพร่าออกมาจากลำคอ

“เหตุใดพวกเจ้าจะต้องคิดให้สีเปลี่ยนแปลงช้า เหตุใดไม่คิดว่าควรจะแยกสีที่เพิ่มขึ้นมาออกเป็นหลายๆ ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้ อัตราในการเปลี่ยนแปลงก็จะเพิ่มมากขึ้น” คนเฝ้าสุสานเอ่ยเนิบช้า

ประโยคนี้ดังออกมากะทันหันราวสายฟ้าที่พุ่งเข้ามาผ่าเปรี้ยงในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าว อาจารย์และศิษย์สองคนอึ้งงันกันไปครู่ ก่อนที่ดวงตาของคนทั้งสองจะเริ่มฉายแสงเจิดจ้า!

เป็นเช่นนี้จริง ตอนที่หลอมไฟสิบแปดสี สีที่สิบแปดซึ่งเพิ่มขึ้นมามีเพียงเส้นเดียว แต่หากทำให้สีแบบเดียวกันนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกสิบเส้นหรืออาจถึงร้อยเส้น ถ้าเช่นนั้นต่อให้การเปลี่ยนแปลงจะเร็วแค่ไหนก็ยังทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความมั่นใจมากพอ และต่อให้เสี่ยงดวงหลอมก็ยังอาจทำสำเร็จได้!

“ถูกต้อง เป็นแบบนี้แหละ อาจารย์ พวกเราสามารถปูทางสำหรับขั้นตอนต่อไปได้ตั้งแต่ตอนหลอมไฟสิบห้าสีโดยการเพิ่มสีที่ต้องปรากฏในไฟสิบเก้าสีลงไป เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้สีที่สิบเก้าในทะเลเพลิงมีจำนวนเส้นเพิ่มมากกว่าเดิม!!” ป๋ายฮ่าวทั้งตะลึงทั้งดีใจ แสงแห่งการอนุมานในดวงตาของเขาเปล่งประกายรวดเร็วถึงขีดสุด ลมหายใจก็ถี่รัว วิธีการเช่นนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เขาอย่างใหญ่หลวง

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตื่นเต้นมาก เรื่องนี้มองดูเหมือนง่าย พอถูกเปิดเผยออกมา ทุกคนล้วนเข้าใจได้ทันที ทว่าเมื่อเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ หากไม่มีคนเอ่ยเตือน เกรงว่าพวกเขาคิดจะตระหนักได้ถึงข้อนี้คงต้องใช้เวลาอีกนานโข

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที เขาหันไปคารวะคนเฝ้าสุสาน แม้แต่ป๋ายฮ่าวก็ยังรีบร้อนคุกเข่าคำนับ ส่วนคนเฝ้าสุสานที่พอพูดประโยคนั้นแล้วก็ไม่ได้เอ่ยคำใดอีก เพียงตกปลาของตัวเองต่อไป

ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่มีเวลามาสนใจคนเฝ้าสุสานอีกแล้ว เขารีบทำการศึกษาร่วมกับป๋ายฮ่าวต่ออีกครั้ง หลายวันให้หลัง ในที่สุดพวกเขาก็แก้ไขปัญหาข้อนี้ได้ แม้ว่าเรื่องนี้จะช่วยการหลอมไฟสิบเก้าสีได้เพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทุกขั้นตอน ทว่ากลับช่วยในการหลอมไฟสิบแปดสีของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมหาศาล!

หรือถึงขั้นพูดได้ว่า หากใช้วิธีนี้ไปหลอมไฟสิบแปดสี อัตราความสำเร็จของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า เพียงแต่ว่าขีดจำกัดเดียวก็คือการหลอมไฟสิบแปดสีจำเป็นต้องใช้ไฟสิบเจ็ดสี ไม่สามารถเอาของที่คนอื่นหลอมเสร็จมาใช้ได้ ต้องให้เขาหลอมด้วยตัวเองเท่านั้น

หรือหากจะให้แม่นยำตามข้อกำหนดก็ต้องเริ่มทำตั้งแต่ไฟสิบห้าสี

สำหรับป่ายเสี่ยวฉุนแล้วนี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แม้ว่าในด้านการเตรียมการจะใช้เวลามากกว่าเดิมหลายเท่า แต่ทำให้อัตราความสำเร็จในการหลอมไฟสิบแปดสีเพิ่มขึ้นมาก เดิมทีนี่ก็นับว่าคุ้มค่ามากพออยู่แล้ว

เพราะอย่างไรซะทุกครั้งที่การหลอมไฟสิบแปดสีล้มเหลวก็ต้องสิ้นเปลืองมากมหาศาล

เมื่อเห็นว่าปัญหาที่รบกวนใจอาจารย์และศิษย์สองคนมานานได้รับการแก้ไขเพียงเพราะประโยคเดียวของคนเฝ้าสุสาน ป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าวที่มองหน้ากันก็ยิ่งพากันมาปรึกษาปัญหาสำคัญในการหลอมไฟสิบเก้าสีอีกหลายข้อต่อหน้าคนเฝ้าสุสานถี่ยิ่งกว่าเดิม

“ท่ามกลางการผสานรวมไฟสิบแปดสีสิบกอง คลื่นที่ส่งออกมาจากในนั้นไม่มั่นคง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวของมัน…”

“การบีบอัดและการย่อให้เล็กลงหลังจากการผสานรวมก็เป็นปัญหาใหญ่มากเหมือนกัน จะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างขีดจำกัดให้กับมัน ตบะของข้าในตอนนี้ถึงพอจะทำได้สำเร็จอย่างถูไถ…”

“อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าไฟสิบเก้าสีจะมีทัณฑ์อสนีหรือไม่…”

ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ดังออกมาจากปากของอาจารย์และศิษย์สองคนอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่พูดออกมาพวกเขาจะต้องแอบเหลือบมองไปทางคนเฝ้าสุสาน หากคนเฝ้าสุสานไม่เอ่ยคำใด พวกเขาก็จะพูดคุยปรึกษากันโดยการวนทวนอยู่รอบๆ คำถามนั้นซ้ำไปซ้ำมา

จนกระทั่งคนเฝ้าสุสานเหมือนจะระอาใจถึงได้เอ่ยชี้แนะสองสามคำ ทุกครั้งที่เขาพูดออกมาจะต้องทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าวยินดีอย่างบ้าคลั่ง ทุกปัญหาที่มีเหมือนว่าจะคลี่คลายได้หมดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนเฝ้าสุสาน

อีกทั้งเมื่อคิดตามแนวทางที่คนเฝ้าสุสานเสนอมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกด้วยว่าพรสวรรค์ด้านการหลอมไฟของตนเพิ่มสูงขึ้นอีกไม่น้อย ส่วนป๋ายฮ่าวที่เดิมทีทฤษฎีของเขาก็แน่นปึ้กอยู่แล้ว พอเป็นเช่นนี้แรงบันดาลใจของเขาจึงสูงยิ่งกว่าป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกประโยคของคนเฝ้าสุสานประหนึ่งสายฟ้าที่ทำให้เขาสรุปจากเรื่องหนึ่งและอนุมานไปยังเรื่องอื่นๆ ได้ การสร้างตำรับหลอมไฟสิบเก้าสีจึงยิ่งราบรื่นมากขึ้น ตำรับที่คิดขึ้นมาก็สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถึงขั้นคลำทางจนเจอขอบเขตที่สามารถสร้างสรรค์ตำรับไฟได้ตามความพิเศษเฉพาะบุคคล ตำรับที่เขาสร้างมาล้วนสอดคล้องกับตบะ อำนาจจิตและความได้เปรียบของป๋ายเสี่ยวฉุน กลายมาเป็นตำรับของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยเฉพาะ

สามารถพูดได้ว่าตลอดทั้งแดนทุรกันดารก็มีเพียงแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่สามารถหลอมตามตำรับนี้ได้ ต่อให้คนอื่นๆ จะได้ตำรับนี้ไปก็ไม่สามารถหลอมไฟออกมาได้

ไม่นานเวลาก็ล่วงผ่านไปแล้วหลายเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่ท่ามกลางการหลอมไฟ เขากับป๋ายฮ่าวสองคนแทบจะลืมกินลืมนอน ขณะเดียวกันพรสวรรค์การหลอมไฟของพวกเขาก็เพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ วัน!

การหลอมไฟของอาจารย์และศิษย์สองคนนี้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด เวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือน ผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับกลับมากจนมิอาจบรรยายได้ แม้ว่าคนเฝ้าสุสานจะยังมีสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าจุดลึกในดวงตาที่ไม่มีใครมองเห็นกลับมีรอยยิ้มวาบผ่าน หลายวันมานี้แม้มองภายนอกเหมือนเขาจะไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนกับป๋ายฮ่าว แต่ในความเป็นจริงแล้วเวลาส่วนใหญ่จิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่การตกปลา แต่อยู่ที่การจับสังเกตป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าวต่างหาก

เขามองเห็นว่าเวลาที่อาจารย์และศิษย์สองคนปรึกษากัน ป๋ายฮ่าวจะเผยความเคารพเลื่อมใสและความรักฉันท์ญาติออกมาต่อป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันเขาก็มองเห็นความรักและความเอ็นดูที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อศิษย์ของตัวเองจากในถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้รอยยิ้มในดวงตาของคนเฝ้าสุสานเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version