Skip to content

A Will Eternal 518

บทที่ 518 ทั้งหมดเพื่อผู้บังคับกองหมื่น!

ขณะที่ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน หรือถึงขั้นที่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ พวกเขาก็เริ่มพากันตึงเครียดนั้น ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่กลางวังใต้ดินใหญ่ยักษ์ในหลุมยิ่งเปล่งประกายวิบวับ หน้าของเขาบานเป็นกระด้ง

ยารวมวิญญาณของเขาถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว เวลาตลอดทั้งหนึ่งวันเผาผลาญยารวมวิญญาณไปหลายพันเม็ด ทำให้ปริมาณของวิญญาณพยาบาทที่เขาจับได้มีมากหลายสิบล้านตัว

ทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองลูกกลมวิญญาณหลายพันลูกที่เกิดจากการรวมตัวกันของวิญญาณพยาบาทหลายสิบล้านตัวในถุงเก็บของ เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงบันดาลใจที่มากมหาศาล ราวกับมองเห็นคุณความชอบในการรบจำนวนนับไม่ถ้วน

“ผู้บังคับกองหมื่น ข้าต้องกลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นให้ได้!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงคำรามกร้าว ในดวงตาของเขามีประกายแห่งความฮึกเหิมเต้นระริก หลังจากที่โยนยารวมวิญญาณหลายเม็ดชุดสุดท้ายออกไป เมื่อเสียงกัมปนาทดังกึกก้องเขาก็รีบเก็บเอาวิญญาณพยาบาทอีกหลายหมื่นดวงกลับมา ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำถุงเก็บของก่อนจะพบด้วยความไม่เต็มใจว่ายารวมวิญญาณของตน…หมดแล้ว

“ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรกข้าคงเตรียมมาให้เยอะกว่านี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองวิญญาณพยาบาทเบื้องหน้าที่ยังคงมีจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยความเสียดาย เขารู้สึกเหมือนตัวเองไปที่ภูเขาทองคำแต่กลับเป็นเพราะเตรียมการไม่พร้อมจึงขุดเอาทองมาได้แค่ปลายยอดเขาเท่านั้น

ความอาลัยอาวรณ์เช่นนั้น ความสับสนเช่นนั้น ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกันด้วยความเสียดาย

“ไม่สนแล้ว ตัวข้ายังถือว่าดีแต่ข้างกายยังมีพี่น้องอีกมากมายรอข้าอยู่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของพวกเขาด้วย…เอาเป็นว่ารีบกลับไปหลอมยารวมวิญญาณ แล้วข้าค่อยกลับมาคนเดียวอีกรอบ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด ตอนนี้เขารู้สึกไม่ยินยอมจนดวงตาแดงก่ำความมากมายของวิญญาณพยาบาทที่นี่มีเหลือเฟือให้เขากลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นได้อย่างสบายๆ ความรู้สึกที่ว่าแค่เอื้อมมือคว้าก็จะได้กลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเหิมห้าวอย่างรุนแรง

โดยเฉพาะนึกถึงความแตกต่างมากมายหลังจากที่ตนได้กลายเป็นผู้บังคับกองหมื่น หัวใจของเขาก็เต้นกระหน่ำรัวแรง เวลานี้หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกเขาก็พลันหมุนตัวกลับ บินทะยานออกไปนอกถ้ำ

ความเร็วมีมากจนทำให้ลอดผ่านทางเข้าถ้ำมายังด้านนอกในชั่วพริบตา

เพิ่งจะบินออกมา นักพรตนับพันที่อยู่ข้างนอกก็แสดงสีหน้าคึกคักทันทีพากันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียง รอฟังคำสั่งจากป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนผู้ฝึกวิญญาณเฒ่าคนนั้นตอนนี้ก็ตัวสั่นเทิ้มราวตะแกร่งร่อน ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจพลันบังเกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เขาได้เห็นในตอนนี้กลับ…ไร้ร่องรอยบาดเจ็บ แม้ว่าตาจะแดงก่ำดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่าอารณ์ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า นี่ทำให้ผู้ฝึกวิญญาณเฒ่ายิ่งแน่ใจในการคาดเดาของตัวเอง

“ต้องเป็นคนฟ้าแน่นอน…” ผู้ฝึกวิญญาณเฒ่าใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ในความคิดของเขา หากมีตบะต่ำกว่าคนฟ้าลงไป ด้วยกำลังของคนคนเดียวย่อมไม่มีทางยืนหยัดอยู่ในหลุมที่น่ากลัวนั่นได้นานถึงหนึ่งวันโดยที่ไม่มีแม้แต่บาดแผลเช่นนี้แน่นอน

“ในเมื่อเจ้าเป็นถึงคนฟ้าทำไมถึงต้องมารังแกข้าด้วย…” ผู้ฝึกวิญญาณเฒ่าคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันเศร้าอาลัย มองป๋ายเสี่ยวฉุนตาปริบๆ ในใจสิ้นหวังไปแล้ว

และขณะที่สายตาของทุกคนมารวมอยู่บนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โผล่พรวดมาอยู่ด้านหน้าทุกคน หลังจากที่ทิ้งร่องรอยง่ายๆ ไว้รอบๆ หลุมลึก เขาก็สะบัดปลายแขนเสื้ออยู่กลางอากาศ นัยน์ตามีเส้นเลือดฝอยแต่กลับฉายแสงคมกล้า

“กลับกำแพงเมือง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนัก เดินออกมาหนึ่งก้าว ก่อนจะห้อทะยานตรงไปยังทิศทางของกำแพงเมือง นักพรตนับพันนั้นรอกันมาหนึ่งวันเต็มๆ ตอนนี้พอได้ยินประโยคของป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็แอบผ่อนลมหายใจ

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทหารหาญ แต่อย่างไรซะที่นี่ก็ห่างจากกำแพงเมืองมาระยะหนึ่ง อีกทั้งความเคลื่อนไหวของที่นี่ก็รุนแรงมากเกินไป ต่อให้พวกเขาจะมองออกว่าที่นี่มีผนึกทางธรรมชาติดำรงอยู่จึงเป็นเหตุให้ทุกอย่างผิดปกติจนยากที่คนนอกจะสัมผัสถึงได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่อย่างไรซะพวกเขาก็เสียเวลาอยู่ที่นี่กันมาหนึ่งวันแล้ว ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปเท่าไหร่ความเสี่ยงภัยก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

หากมีขั้วอิทธิพลของแดนทุรกันดารมาเยือน ย่อมอันตรายมากอย่างแน่นอน

บัดนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนออกคำสั่ง ทุกคนจึงกระจายตัวกันออกไปรอบด้าน แยกย้ายกันไปแปดทิศ ก่อนจะตรงดิ่งไปยังกำแพงเมืองตามวิธีที่เคยทำมาก่อน

ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปพลางจดจำเส้นทางเงียบๆ ไปด้วย เดินออกมาไม่นานเท่าไหร่นัก เขาก็หันกลับไปมองหลุมลึกที่อยู่ด้านหลัง เมื่อมองไกลๆ ที่นั่นเต็มไปด้วยเทือกเขาทอดยาวคล้ายเงาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทับซ้อนกัน ใช้พลังธรรมชาติอำพรางร่องรอยทุกอย่างเอาไว้

แม้แต่เสียงก็ยังไม่ดังออกมามากนักราวกับถูกเทือกเขาแห่งนี้กักเสียง

ตอนนี้มืดมากแล้ว รอบด้านดำสนิท เมื่อมองไปก็ราวกับว่าที่นั่นมีเงาดำมากเกินจะนับดำรงอยู่ทำให้ใจคนหนาวสะท้านอย่างมิอาจห้ามปรามได้

“ผนึกของที่นี่เกิดจากธรรมชาติจริงๆ น่ะหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งในสมองก็มีภาพโครงกระดูกของจระเข้ตัวนั้นลอยขึ้นมา จากนั้นเขาก็หมุนตัวกลับเดินหน้าต่อไปท่ามกลางความเงียบงัน

ตอนที่มาจำเป็นต้องตรวจสอบเส้นทางอย่างระมัดระวัง ทว่าขากลับถึงแม้จะยังระวังเหมือนเดิม แต่สภาพจิตใจนั้นต่างออกไป อีกทั้งการเดินทางกลับครั้งนี้ยังราบรื่นมากด้วย แม้ว่าระหว่างทางจะเจอกับพวกวิญญาณพยาบาทกลุ่มเล็กๆ แต่กลับไม่ได้รับผลกระทบมากนัก หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม ในที่สุดคนกลุ่มของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นกำแพงเมือง

ยามนี้แสงอรุณของวันที่สามสาดส่องมาจากขอบฟ้า แม้ท้องฟ้าจะมืดดำแต่แสงของม่านแสงค่ายกลบนกำแพงเมืองก็ยังทำให้กำแพงเมืองดูเหมือนมังกรยักษ์ตัวหนึ่งที่นอนทอดตัวยาวอยู่ตรงนั้น ปลดปล่อยพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ทำให้ทุกคนที่มองเห็นจิตใจสะท้านไหว

พวกกลุ่มของป๋ายเสี่ยวฉุนยังถือว่าดีเพราะคุ้นชินแล้ว แต่สำหรับผู้ฝึกวิญญาณเฒ่าคนนั้น เวลานี้กลับยิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ทว่าต่อให้เขาจะดิ้นรนเช่นไร ไม่นานเมื่อผ่านการตรวจสอบป้ายตัวตน กลุ่มของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินผ่านประตูเล็กๆ กลับเข้าไปในกำแพงเมืองกันทั้งหมด

ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ผู้ฝึกวิญญาณเฒ่าก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากที่ทุกคนกลับมาถึงก็มีคนพาตัวเขาไปยังสถานที่กักตัวเชลยทันทีที่นั่นจะมีนักพรตที่รับหน้าที่สอบสวนและยืนยันตัวตนโดยเฉพาะ

ส่วนนักพรตนับพันที่ติดตามตนไปข้างนอกครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ขี้เหนียว หยิบเอาลูกกลมวิญญาณหนึ่งพันลูกออกมามอบเป็นรางวัลให้กับทุกคน

สำหรับทุกคนแล้ว คุณความชอบในการรบซึ่งได้จากวิญญาณพยาบาทหนึ่งหมื่นดวงนั้นไม่ถือว่าเยอะมากเท่าใดนัก แต่ทุกคนก็ล้วนรู้ดีว่าจำนวนรวมที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอาออกมาครั้งนี้เท่ากับวิญญาณพยาบาทสิบล้านดวง ของรางวัลก้อนใหญ่ขนาดนี้ตลอดทั้งในกำแพงเมือง ต่อให้เป็นแม่ทัพใหญ่ของห้ากองทัพอย่างพวกป๋ายหลินก็ไม่สามารถเอาออกมามอบให้ได้แต่ละคนจึงซาบซึ้งใจกันอย่างยิ่ง

“พี่น้องทั้งหลาย ติดตามข้า ทุกคนมีเหล้าร่วมดื่ม มีเนื้อร่วมกิน มีเรื่องอะไรดีๆ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนมีหรือจะลืมทุกคน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือกล่าวด้วยความใจกว้าง ทำให้ตอนที่ทุกคนมองมายังเขาก็ยิ่งมากด้วยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง และไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวเตือนอะไร พวกเขาก็เข้าใจดีว่าเรื่องที่ออกไปพบเจอครั้งนี้หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาต้องปิดปากกันให้สนิท

ไม่ได้เสียเวลามากนัก หลังจากที่ตบรางวัลให้กับทุกคนแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้พักผ่อน แต่ตรงดิ่งไปยังที่พักของตัวเองด้วยความฮึกเหิม เริ่มจมจ่อมอยู่กับการหลอมยาทั้งกายและใจอีกครั้ง ช่วงชิงเวลาเพื่อให้ตัวเองหลอมยารวมวิญญาณออกมาได้มากที่สุดในเวลาที่เร็วที่สุด

ส่วนภารกิจเรื่องเขาวิญญาณนั้นแน่นอนว่าย่อมให้พวกจ้าวหลงเป็นคนเอาไปส่งให้ไม่นานนัก เมื่อทำภารกิจสำเร็จ คุณความชอบในการรบหนึ่งล้านคะแนนก็เข้ามาอยู่ในป้ายตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุน แสงสีแดงบนป้ายเขาก็หายวับไป ป้ายกลับคืนสู่ความปกติอีกครั้ง

พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วสามวัน สามวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาแดงฉาน กำลังหลอมยาอย่างบ้าคลั่ง เมื่อยารวมวิญญาณเตาแล้วเตาเล่าถูกเขาหลอมออกมา บวกกับยาที่เหลืออยู่ของก่อนหน้านี้หลังจากเอามารวมกันแล้วได้ห้าพันกว่าเม็ด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่รออีกต่อไป

“ค่ำคืนยาวนานฝันก็ยิ่งเยอะ ยิ่งถ่วงเวลาล่าช้ามากเท่าไหร่ความเป็นไปได้ที่สถานที่แห่งนั้นจะถูกเปิดเผยก็มีมากขึ้นเท่านั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน ตอนนี้การที่เขาจะได้เป็นผู้บังคับกองหมื่นกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งทุ่มเทสุดกำลัง เขาเตรียมการอย่างรัดกุม คืนวันที่สามจึงออกมาจากค่ายทหาร ไม่ได้บอกกล่าวผู้ใด และก็ไม่ได้พาลูกน้องไปด้วยแม้แต่คนเดียว แต่ร่ายใช้วิชาอภินิหารที่คล้ายคลึงกับผนึกมิวางวายซึ่งเขาบรรลุหลังจากขยายเอ็นคงกระพันไปได้ทั่วตัวโดยการก้าวออกมาหนึ่งก้าว

พริบตาเดียวร่างของเขาก็หายวับไป ความรู้สึกที่เหมือนร่างกายจะแตกสลายออกจากกันเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ดิ้นรนอยู่นานมาก เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาอยู่บนสนามรบนอกกำแพงเมือง เขาไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย พอปรากฏตัวก็ทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ห่างออกไปไกล

หน้ากากสวมอยู่บนหน้าเขาเรียบร้อย ร่ายความเร็วสุดกำลังไปตลอดทาง อีกทั้งยังแผ่คลื่นจิตวิญญาณออกมา ตลอดร่างอบอวลไปด้วยปราณดุร้าย ทำให้พวกชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณที่พบเจอระหว่างทางแค่มองไกลๆ มาเห็นเขาก็มีความรู้สึกว่าไม่กล้ามีเรื่องด้วยจึงพากันถอยห่างออกไป

ในที่สุดภายใต้ความเร็วสุดขีดของป๋ายเสี่ยวฉุน มองไกลๆ ไปเห็นเทือกเขาทับซ้อนราวกับพื้นที่มืดมิดแห่งความชั่วร้ายในใจของเขาก็ร้อนฉ่า หลังจากตรวจสอบดูรอบด้านจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญาจริงๆ จึงห้อทะยานเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว

แต่ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็หน้าเปลี่ยนสีเขาตามหาไปทั่วอยู่นานมากแต่กลับหาหลุมที่ตัวเองเข้าไปเมื่อก่อนหน้านั้นไม่เจอ!

“ข้าแน่ใจว่ามันอยู่ที่นี่…แต่ทำไมถึงหาไม่เจอ หรือว่า…สาเหตุเป็นเพราะตราผนึกนั่น?” ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจอย่างมาก หลังจากที่เดินวนรอบด้านครบหนึ่งรอบ ดวงตาเขาก็เปล่งแสงวาบ ทำท่าทางครุ่นคิด ก่อนที่จะเปิดดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้วออก ตบะในร่างไหลกรากออกมา ทว่าเมื่อเปิดเนตรทงเทียนมองรอบด้านอย่างละเอียดแล้วก็ยังคงไม่พบเจอต้นสายปลายเหตุอยู่ดี

นี่หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น นอกจากแน่ใจมากว่าต้องเป็นสถานที่นี้แล้ว มิฉะนั้นคงไม่มีใครอยู่ที่นี่นาน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถือโอกาสตามหาไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง คอยร่ายใช้เนตรทงเทียนอยู่เป็นระยะ จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วยาม เมื่อแสงอรุณแรกมาเยือน เงาของเทือกเขาที่ทับซ้อนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงราวกับทุกเทือกเขาผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้เห็นสิ่งที่ต่างออกไปทันที

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีหน้าฮึกเหิมทันใด!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version