บทที่ 1234 วิชาอภินิหารอย่างที่สี่
เดิมทีวิชาแห่งต้นกำเนิดก็ลึกล้ำสุดประมาณอยู่แล้ว มองไปทั่วทั้งห้วงจักรวาล คนที่สามารถควบคุมต้นกำเนิดได้ในท้ายที่สุดมีน้อยยิ่งกว่าน้อย และไม่ว่าใครก็ตามที่ควบคุมต้นกำเนิดได้ก็จะเข้าใจวิถีการเคลื่อนโคจรแห่งห้วงเอกภพ
รู้วิถีของหมื่นสรรพสิ่ง และคนผู้นั้นจะถูกขนานนามว่าผู้บงการ!!
ผู้บงการมีน้อยมาก ต่อให้นับหมดทั้งห้วงจักรวาลแห่งนี้ก็ยังหาได้ยากยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน หากในเผ่าพันธ์หนึ่งมีคนผู้หนึ่งกลายมาเป็นผู้บงการ ก็สามารถพูดได้ว่านั่นคือสัญญาณแห่งความเจริญรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์นั้น และหากมีผู้บงการปรากฏขึ้นสองคน เผ่าพันธุ์นี้ก็ย่อมต้องกลายมาเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดในห้วงจักรวาลแห่งนี้!
ต่อให้เส้นทางสายนี้จะอยู่ไกลห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนไปมาก เพราะอย่างไรเสียการแสวงหาเส้นทางของผู้บงการก็คือทิศทางที่ขอบเขตบุพกาลมุ่งหน้าไป แต่มันกลับไม่ส่งผลกระทบต่อป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ เพราะเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับต้นกำเนิดที่กระจ่างชัดยิ่งกว่าเดิมแล้ว
และต้นกำเนิดก็เป็นสิ่งที่ลึกล้ำมาก นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาอันเป็นเต๋าสูงสุดในบรรดาเต๋าทั้งหลายเลย สามารถพูดได้ว่าผู้บงการที่ประสบความสำเร็จด้วยต้นกำเนิดแห่งเวลา ต่อให้นับตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงทุกวันนี้ก็มีอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
คนผู้นี้ ก็คือเจ้าของสมบัติล้ำค่านาฬิกาทรายที่ถูกทิ้งไว้ชิ้นนี้!
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาฉายแววแห่งการกระจ่างแจ้ง คำถามทั้งหมดที่อยู่ในสมอง บัดนี้มีคำตอบแล้ว ทั้งร่างของเขาจึงค่อยๆ จมอยู่ในสภาวะเลื่อนลอย สิ่งที่สภาวะนี้ส่งผลกระทบไม่ได้มีเพียงความคิดของเขาเท่านั้น ยังมีเรือนกายที่อยู่บนโลกใบนี้ของเขาด้วย
จากความรู้และข้อพิสูจน์ก่อนหน้านี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจแล้วว่า เรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของเขาคือแรงกระตุ้นที่ทำให้ความว่างเปล่าบิดเบือน แล้วก็เป็นเพราะว่าเขาขยับเข้าใกล้ถึงทำให้ที่แห่งนี้เกิดแรงดึงดูด เป็นเหตุให้ความเร็วในการไหลหายไปของเวลาที่นี่แตกต่างกัน
ทว่าตอนนี้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนกระจ่างแจ้ง เมื่อเขาตกอยู่ในสภาวะเลื่อนลอย ร่างของเขาก็เหมือนค่อยๆ หมดสิ้นน้ำหนัก ไม่มีแสงเงา ร่องรอยทุกอย่างที่บอกถึงการดำรงอยู่ของเขาก็จางหายไปด้วย
การหายไปเช่นนี้ไม่ได้เป็นการถูกลบทิ้งตามความหมายที่แท้จริง แต่เป็นการหายไปสำหรับรอบด้าน หายไปสำหรับโลกใบนี้ และเมื่อเขาหายไป ต่อให้ร่างจริงของเขาจะยังคงนั่งเข้าฌานอยู่บนนาฬิกาทรายขนาดยักษ์ ทว่าแรงดึงดูดของที่แห่งนี้กลับค่อยๆ สลายหายไปอย่างเชื่องช้า ความเร็วในการไหลหายไปของเวลาในที่แห่งนี้ก็ค่อยๆ นิ่งสงบ จนกระทั่งจมอยู่ในสภาวะหยุดนิ่งเหมือนตอนที่เขายังไม่ได้มาเยือน
แม้จะอยู่ในสภาวะเช่นนี้ แต่จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังคงอยู่ ราวกับว่าดวงจิตของเขาบินออกจากร่าง แล้วก้มลงมองพื้นดินจากฟ้าสูง เขามองเห็นนาฬิกาทรายใหญ่น้อยนับไม่ถ้วน มองเห็นทรายเม็ดละเอียดด้านในที่กำลังไหลกลิ้งลงมาอย่างต่อเนื่องราวกับว่าไม่มีวันจบสิ้น และทุกครั้งที่สายตาของเขาเพ่งมองไปยังนาฬิกาทรายชิ้นใดนานเป็นพิเศษ ความเร็วในการไหลหายไปของนาฬิกาทรายชิ้นนั้นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ท่ามกลางนาฬิกาทรายมากมายเหลือคณานับ ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเพ่งมองนาฬิกาทรายเกือบทุกชิ้นเป็นเวลานานมาก เขาลืมการไหลหายของเวลาไปแล้วอย่างสิ้นเชิง แล้วก็ไม่ได้สนใจ ไม่ได้สังเกต ปล่อยวางทั้งสมองและเรือนกายอย่างเต็มที่
และเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ในโลกภายนอกก็คลายใจได้ในที่สุด มันก้มลงมองโลกที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งพอป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไป เนื่องจากกาลเวลาของโลกใบนั้นเปลี่ยนแปลงจึงมีริ้วคลื่นบิดเบือนปรากฏขึ้น เป็นเหตุให้มันมองเห็นได้ไม่ชัด แต่ในความรู้สึกของวิญญาณวัตถุน้อย มันรู้ดีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนปลอดภัยดี
“ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้เขาจะอยู่ข้างในนั้นนานเท่าไหร่ หวังว่าจะไม่นานมากนัก หาไม่แล้ว หากวิญญาณวัตถุของสมบัติชิ้นนี้ตื่นขึ้นมาล่ะก็ซวยแน่” วิญญาณวัตถุน้อยถอนหายใจ คิดว่าจะนั่งเข้าฌานรอป๋ายเสี่ยวฉุนไปเรื่อยๆ แล้วก็คิดไว้ด้วยว่าหากนานเกินควร ตนจะเข้าไปเตือนอีกฝ่าย เพราะมันเองก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานนัก
ส่วนในโลกนาฬิกาทรายเวลานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงทำความเข้าใจต่อไป ดวงตา สมองและความคิดของเขาถูกนาฬิกาทรายจำนวนนับไม่ถ้วนยึดครองไปอย่างสมบูรณ์แบบ ความเร็วในการไหลหายไปของนาฬิกาทรายเหล่านั้นกลายมาเป็นหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา
ไม่มีความคิด ซ้ำยังไม่มีการพิจารณาใดๆ มีเพียงการเพ่งมองไปยังนาฬิกาทรายเหล่านั้นเหมือนคนเหม่อลอย หวังนาบประทับภาพของพวกมันไว้ในความทรงจำ จนกระทั่งเวลาที่ยาวนานได้ผ่านพ้นไป ท่ามกลางนาฬิกาทรายเหลือคณานับที่ถูกนาบตรึงลงไปในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน จู่ๆ กลับมีนาฬิกาทรายชิ้นหนึ่งขาดหายไป
และไม่นานก็หายไปอีกชิ้น ตามมาติดๆ ด้วยนาฬิกาทรายชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ลดหายไปอย่างต่อเนื่อง ทว่าทุกครั้งที่นาฬิกาทรายชิ้นหนึ่งหายไป ชิ้นที่เหลืออยู่กลับเหมือนจะฝังลึกแน่นลงในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมากยิ่งขึ้น
ปรากฎการณ์เช่นนี้ไม่มีใครรับรู้ได้ ต่อให้เป็นตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังไม่ตระหนักถึง จนกระทั่งนาฬิกาทรายลดหายไปเรื่อยๆ และในที่สุดวันหนึ่ง…นาฬิกาทรายแทบทั้งหมดในสมองของเขาได้หายวับไป เหลือไว้เพียงแค่…นาฬิกาทรายชิ้นเดียว!!
นาฬิกาทรายชิ้นนี้ไม่ใหญ่นัก สูงแค่พอๆ กับตัวคนเท่านั้น แต่กลับเหมือนจะกลายมาเป็นสมบัติของป๋ายเสี่ยวฉุนเพียงผู้เดียว เพราะมันได้เชื่อมโยงจิตวิญญาณ กายเนื้อ หรือแม้แต่เมล็ดพันธ์แห่งเต๋าของเขา…ให้กลมกลืนเป็นร่างเดียวกับมันแล้ว!
ไม่อาจลบเลือน ยิ่งไม่อาจทำลายทิ้ง
ซ้ำหากจะว่ากันในบางความหมายแล้ว นาฬิกาทรายชิ้นนี้ยังเหมือนกลายมาเป็นเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าเมล็ดที่สองของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกด้วย!!
และชั่วขณะที่ในสมองของเขาเหลือนาฬิกาทรายชิ้นนี้เพียงแค่ชิ้นเดียวนั้นเอง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะท้านเยือก ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมาเล็กน้อย บัดนี้ในดวงตาที่เลื่อนลอยของเขามีริ้วคลื่นแผ่ออกมา ก่อนที่เขาจะเห็นว่าบนพื้นผิวของนาฬิกาทรายที่อยู่ในสมองมีอักขระที่แฝงความหมายเร้นลึกตัวแล้วตัวเล่าผุดขึ้นมา อักขระเหล่านี้ ไม่ว่าตัวใดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ล้วนไม่เคยรู้จักมาก่อน ทว่าเขากลับคิดจินตนาการถึงพวกมันขึ้นมาได้
ภายในอักขระซ่อนความเข้าใจที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อเวลาและต้นกำเนิดเอาไว้ ซึ่งบัดนี้จิตสำนึกที่ไม่อาจอธิบายด้วยถ้อยคำของเขาได้กลายมาเป็นอักขระที่ค่อยๆ แผ่ปกคลุมไปทั่วนาฬิกาทราย ครั้นแล้วจึงส่องแสงแรงกล้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ส่งผลให้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มรุนแรง ลมหายใจยิ่งหอบหนัก และเมื่ออักขระเหล่านี้ส่องแสงพร่างพราว มือขวาของเขาก็ยกขึ้นแล้วโบกเบาๆ เหมือนไร้เรี่ยวแรงไปยังความว่างเปล่าด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว!
การโบกครั้งนี้ทำให้ความว่างเปล่าเบื้องหน้าของเขาถล่มครืนลงมาในชั่วพริบตา ก่อนจะตามมาด้วยห้วงมิติที่บิดเบือน แล้วแรงดึงดูดก็ผุดขึ้นทันใด จากนั้นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันก็คือการไหลหายของเวลาในพื้นที่นี้!!
หากวิญญาณวัตถุน้อยมาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ต้องเบิกตาถลน ร้องอุทานเสียงหลงแน่นอน
“เวทแห่งเต๋าต้นกำเนิด!!”
นี่ก็คือเวทแห่งเต๋าต้นกำเนิด ต่อให้ยังเป็นเพียงแค่โครงร่างหยาบๆ แต่ก็ถือว่าได้เหยียบเข้ามาในประตูแห่งต้นกำเนิดครึ่งก้าวแล้ว และเมื่อเวลาของพื้นที่นี้ถูกเปลี่ยนแปลง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเยือกอีกครั้ง ริ้วคลื่นในดวงตากระเพื่อมรุนแรง ก่อนที่แววแห่งสติจะค่อยๆ ฉายชัด
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าพรวด เขาตื่นแล้ว เหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน และพอเขาคืนสติ พื้นที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าซึ่งถูกเปลี่ยนแปลงก็ได้สลายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าทุกอย่างที่อยู่ในความฝันกลับฝังลึกลงในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุนแม้ยามที่ตื่นคืนสติเต็มที่
“เมื่อครู่นี้ข้า…” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววเหลือเชื่อ เขาก้มหน้าลงมือมองของตัวเอง เนิ่นนานต่อมาเขาก็ยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง ผสานอำนาจจิตเข้าไปยังนาฬิกาทรายที่นาบประทับอยู่ในสมอง แล้วจึงโบกมือข้างนี้เบาๆ
ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วก็เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด เขาถลันลุกขึ้นยืน ครั้นแล้วจึงหลับตาลงรับสัมผัสกับพลังอันน่าครั่นคร้ามของวิชาอภินิหารชนิดนี้อย่างละเอียด
“ข้าสามารถเปลี่ยนแปลงความเร็วในการไหลหายของเวลาในพื้นที่หนึ่ง…
ขณะเดียวกันหากจักรพรรดิแสมาต่อสู้กับข้าอีกครั้ง ข้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้แสงแห่งบุพกาลอีกต่อไป แต่สามารถใช้วิชานี้มาทำให้เวลาในพื้นที่ที่จักรพรรดิแสอยู่ไหลหายไปอย่างเชื่องช้า ส่วนข้านั้นรักษาความเร็วปกติเอาไว้ แต่เนื่องจากความเร็วของจักรพรรดิแสช้าลง เขาจึงจะ…มองว่าความเร็วของข้าอยู่เหนือเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ถึง!!”
ท่ามกลางความตื่นเต้น ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากมั่นใจว่าความคิดนี้ของตนถูกต้อง เขาจึงมองวิชาอภินิหารที่ตนบรรลุมาได้หลังจากทำความเข้าใจกับต้นกำเนิดของเวลาเป็นวิชาอภินิหารวิชาที่สี่ของตัวเอง ส่วนชื่อนั้น…
“เวลามีความสัมพันธ์กับแรงดึงดูด ถ้าเช่นนั้นวิชาอภินิหารนี้ของข้า ก็ให้ชื่อว่า…ล่อสังหาร!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายวาบ แม้เขาจะไม่ชอบรบราฆ่าฟันกับใคร แต่ก็เข้าใจมานานแล้วว่า วิธีที่จะปกป้องตัวเองและราชวงศ์จักรพรรดิขุยเอาไว้ได้นั้นก็คือ…ต้องแข็งแกร่งเหนือกว่าทุกคน ทำให้ทุกคนเกิดความเคารพยำเกรง นั่นถึงจะทำให้เรื่องเข่นฆ่าเอาชีวิตค่อยๆ หยุดชะงักลงได้!
“อักขระความทรงจำของคัมภีร์แห่งอดีตกาล ประตูเกิดและตายของคัมภีร์แห่งปัจจุบันกาล ดอกพลับพลึงแห่งชะตาชีวิตของคัมภีร์แห่งอนาคตกาล รวมถึงล่อสังหารอันเป็นวิชาอภินิหารอย่างที่สี่…ข้าในเวลานี้ ต่อให้ไม่มีแสงแห่งบุพกาล ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวบุพกาลคนใดทั้งสิ้น!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่อท้นไปด้วยความมั่นใจอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะเมื่อเขาค้นพบว่าภายใต้โชควาสนาในครั้งนี้ ตบะของเขาฝ่าทะลุจากเทียนจุนช่วงท้ายสู่เทียนจุนขั้นสมบูรณ์แบบโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ความมั่นใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มพูนทบทวี
ไม่ได้รีบร้อนจากไป หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอาศัยความสามารถในการควบคุมกาลเวลาในโลกนาฬิกาทรายใบนี้ได้เล็กน้อยมาฝ่าคอขวดของไฟยี่สิบเจ็ดสีไปได้สำเร็จ จนมั่นใจว่าตำรับไฟยี่สิบเจ็ดสีสมบูรณ์แบบดีแล้ว เขาถึงได้ลุกขึ้นยืนช้าๆ ครั้นแล้วก็หันไปโค้งตัวคำนับต่ำๆ ให้แก่นาฬิกาทรายจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในโลกใบนี้ด้วยความอาลัยอาวรณ์และซาบซึ้งในบุญคุณ!
เขาซาบซึ้งในสถานที่แห่งนี้ ยิ่งซาบซึ้งในตัวของผู้บงการที่แม้ว่าจะไม่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับเขาโดยตรง แต่ก็มีพระคุณในการชี้ทางสว่าง ขณะเดียวกันความคิดที่จะเก็บเอาสมบัติชิ้นนี้ไปเป็นของตนก็ได้ปลาสนาการหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่า…หากตนยังไม่ได้เป็นผู้บงการ เขาก็ไม่มีทางจะเก็บเอาสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไปครองได้!