บทที่ 1236 ที่ฝังศพในห้วงจักรวาล
ไม่มีเวลาไปสนใจว่าราชินีเซียนที่วิญญาณวัตถุน้อยพูดถึงคืออะไร ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้รู้สึกชาไปทั้งหนังหัว เขามองออกว่าแม่เฒ่าผีผู้นั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เพราะพอผิวหนังชั้นนั้นของนางถูกตนทำลายไปแล้วกลับยังสามารถระเบิดออกมาเป็นทะเลเพลิงสีดำที่น่าครั่นคร้ามได้อีก
และทุกที่ที่ทะเลเพลิงซัดผ่านไป ทั้งๆ ที่ไม่มีอุณหภูมิความร้อนใดๆ ส่งออกมา ทว่าในอำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกว่าแม้แต่ห้วงจักรวาลก็คล้ายจะถูกเผาไหม้จนสิ้นซากไปด้วย
นี่จึงทำให้หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมาจากหน้าอก ได้แต่รีบควบคุมพัดวิเศษให้ห้อทะยานไปอย่างเอาเป็นเอาตาย ยังดีที่สภาพของแม่เฒ่าผีในเวลานี้ไม่มั่นคงมากนัก จึงไม่ได้ไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนมา นั่นถึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีเวลามากพอให้เผ่นหนีไปไกล
การหนีครั้งนี้ใช้เวลาสามเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กล้าหยุดพักแม้แต่นาทีเดียว ทุกครั้งที่หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาก็จะต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกลัดกลุ้ม
ส่วนวิญญาณวัตถุน้อย ตลอดเวลาสามเดือนมานี้มันกลับเงียบเสียเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งก็หันกลับไปมองด้านหลังด้วยสีหน้าซับซ้อน มากด้วยความเศร้าอาลัย
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นอยู่ในสายตา สุดท้ายอดไม่ไหวจึงต้องถามขึ้นมา
“เสี่ยวชือ ราชินีเซียนที่เจ้าพูดถึงคือของเล่นอะไรงั้นรึ?”
“ห้ามเจ้าใช้ถ้อยคำที่ทำให้ราชินีเซียนแปดเปื้อน!!” วิญญาณวัตถุน้อยคำรามใส่หน้าป๋ายเสี่ยวฉุนตรงๆ อย่างที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากถลึงตาปรามอีกฝ่าย แต่พอเห็นตาแดงๆ คล้ายเสียใจของวิญญาณวัตถุน้อยจึงแค่ทำเสียงหึในลำคอ แต่ไม่ได้ถลึงตาใส่
“ราชินีเซียน คือคู่บำเพ็ญตนของนายท่าน…” เนิ่นนาน วิญญาณวัตถุน้อยที่เหม่อมองไปยังห้วงอวกาศด้านหลังถึงได้พึมพำตอบมาแผ่วเบา
“ข้าไม่เคยเจอราชินีเซียนมาก่อน เพียงแต่ว่ายามใดที่นายท่านอยู่เพียงลำพังก็มักจะเหม่อมองภาพวาดของราชินีเซียนเป็นประจำ สีหน้าที่เจ็บปวดรวดร้าวของเขาแฝงไว้ด้วยการครุ่นคิด แฝงไว้ด้วยการย้อนทวนความทรงจำ นั่นจึงทำให้ข้าเริ่มจดจำหน้าตาของราชินีเซียนจากภาพวาดได้…”
“ผู้หญิงคนก่อนหน้านี้ก็คือราชินีเซียน” วิญญาณวัตถุน้อยยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลง ทว่าสายตาของมันกลับยังคงทอดมองไปเบื้องหลัง คล้ายจะมองไกลๆ ไปให้เห็นราชินีเซียนผู้ซ่อนร่างอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงสีดำ…ซึ่งหน้าผากถูกตอกตรึงด้วยตะปู
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง เขารู้ดีว่าคำเรียกนายท่านที่ดังออกมาจากปากของวิญญาณวัตถุน้อยย่อมไม่ใช่ตน แต่เป็นผู้บงการของโลกแห่งเซียนท่านนั้น พอนึกถึงว่าเบื้องหลังของแม่เฒ่าผียิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งมากมายปานนั้นได้แล้ว
“ขนาดคู่บำเพ็ญเพียรของผู้บงการ…ก็ยังถูกตรึงตะปูสังหารอย่างเหี้ยมโหด โดยที่ผู้บงการไม่สามารถช่วยเหลือหรือชุบชีวิตนางได้…นี่มันเป็นฝีมือใครกันแน่?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิด เขาเดินทางอยู่ในห้วงจักรวาลมานานมากแล้ว บางครั้งก็ได้เห็นซากปรักหักพังที่ล่องลอยมา แต่ไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ มาก่อน
ราวกับว่าตลอดทั้งห้วงจักรวาลแห่งนี้หลงเหลืออยู่แค่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งเดียวเท่านั้นที่เป็นสถานที่ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย ส่วนพื้นที่อื่นๆ ล้วนมีเพียงฝุ่นผงแห่งความตาย…
นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงคำที่เจ้าของพัดวิเศษเล่มนี้ หรือผู้บงการดินแดนเซียนท่านนั้นพูดถึงตอนส่งมอบการสืบทอดให้แก่ตนอย่าง…เคราะห์ทัณฑ์แห่งห้วงจักรวาล!
พอนึกถึงเคราะห์ทัณฑ์แห่งห้วงจักรวาล ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดไพล่นึกไปถึงยักษ์ผู้บงการหน้าตาดุร้ายที่ลอยตัวอยู่นอกดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ซึ่งไม่ได้ตาย แต่แค่หลับสนิทผู้นั้นไม่ได้!!
“ห้วงจักรวาลแห่งนี้ซุกซ่อนความลับยิ่งใหญ่เอาไว้ ซึ่งบางทีข้าอาจรู้คำตอบส่วนหนึ่ง…ของความลับนี้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพัดวิเศษทอดสายตามองไปยังห้วงจักรวาลมืดดำ เขาไม่รู้ว่าจักรพรรดิแสและจักรพรรดิเซิ่งรู้ความลับนี้หรือไม่ แต่เมื่อสรุปรวมเบาะแสทั้งหมดที่รับรู้มา บัดนี้ในสมองของเขาจึงพอจะมีภาพเค้าโครงคร่าวๆ ก่อตัวขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
มีสุดยอดผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่งเปิดฉากสังหารไปทั่วห้วงจักรวาล ฆ่าล้างทุกเผ่าพันธุ์ ทุกสิ่งมีชีวิตโดยไม่มีละเว้น และผู้แข็งแกร่งที่ว่านี้ก็อาจจะเป็นยักษ์ที่อยู่นอกดินแดนเซียนนิรันดร์กาลผู้นั้น!
และท่ามกลางสงครามของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ภายใต้การสละชีพตัวเองของผู้บงการขุย เซิ่งและแสสามท่าน สุดท้ายยักษ์ผู้นี้จึงถูกผนึกร่างเอาไว้ จนกระทั่งกาลเวลาล่วงผ่านมาจนถึงทุกวันนี้
ทว่าเรื่องราวครั้งนี้ยังมีปัญหาอีกมากมายที่ไม่ได้ความกระจ่าง ยกตัวอย่างเช่นเหตุใดผู้แข็งแกร่งท่านนั้นถึงได้เปิดฉากสังหารทุกคน แล้วเหตุใดถึงได้เลือกดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเป็นแห่งสุดท้าย และในเมื่อเขาแกร่งกร้าวขนาดนี้ แต่ทำไมกลับยังถูกผู้บงการสามท่านผนึกร่างเอาไว้ได้
ต้องรู้ว่าหากเขาแข็งแกร่งจนสามารถทำลายทั้งห้วงจักรวาล เจอผู้บงการของเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตใดก็ล้วนสังหารทิ้งได้หมดอย่างคำเล่าลือจริง ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะถูกผู้บงการสามท่านผนึกร่างเอาไว้ได้
ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ ท่ามกลางความเงียบงัน เขาเหม่อมองไปยังห้วงจักรวาล ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไป ด้านหนึ่งเขาก็คอยอนุมานตำรับไฟยี่สิบแปดสี อีกด้านหนึ่งก็ตั้งใจสัมผัสกับความเงียบเหงาอ้างว้างของห้วงจักรวาลแห่งนี้
ส่วนแม่เฒ่าผีที่อาจเป็นเพราะถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเล่นงานไปในศึกก่อนหน้านี้ เป็นเหตุให้ร่างกระดาษของนางพังทลาย ตัวนางเองจึงตกอยู่ในสภาวะยุ่งเหยิงบางอย่างจึงไม่ได้ปรากฎตัวอีก นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพอจะคลายใจลงได้
ไม่นานเมื่อเวลาผ่านไปได้สามสิบปี ระหว่างนี้บางครั้งป๋ายเสี่ยวฉุนก็หวนกลับไปที่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเพื่ออยู่เคียงข้างต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยว ใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้แข็งแกร่งอย่างพวกราชาเก้านรกภูมิ ราชาเทพจุติ รวมไปถึงครึ่งเทพของสายตะวันออกและสายเหนือพากันเลื่อนขั้นสู่ระดับเทียนจุน
เป็นเหตุให้จำนวนเทียนจุนในราชวงศ์จักรพรรดิขุยมีมากถึงแปดท่าน และภายใต้สภาวะสูงสุดเช่นนี้ ศักยภาพของราชวงศ์จักรพรรดิขุยที่อยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลจึงทะยานเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด แม้ว่าที่ดินในครอบครองจะไม่ได้กว้างใหญ่ที่สุด ทว่าในสายตาของใครหลายคนกลับมองว่าพวกเขาหยัดยืนได้อย่างมั่นคงทัดเทียมกับราชวงศ์จักรพรรดิแสและราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งที่ก่อตั้งราชวงศ์มาล่วงหน้านานหลายปีแล้ว
สิ่งเดียวที่ยังขาดก็คือนอกจากกงซุนหว่านเอ๋อร์แล้ว ทุกคนล้วนเป็นเทียนจุนช่วงต้น แต่หากในบรรดาพวกเขามีใครเลื่อนขั้นสู่เทียนจุนช่วงท้าย แล้ววัดกันในระดับของเทียนจุน พวกเขาก็จะกลายมาเป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดทันที!
ขณะเดียวกันท่ามกลางการบินทะยานในห้วงจักรวาลของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ไม่ได้ฝืนบังคับเปลี่ยนวิถีโคจรของพัดวิเศษ เป็นเหตุให้พัดเล่มนี้ยังคงบินไปข้างหน้าตามทิศทางการโคจรเดิมที่แน่นอน
เวลาสามสิบปีมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นซากปรักหักผังแห่งแล้วแห่งเล่า เห็นฝุ่นผงผืนแล้วผืนเล่าล่องลอยผ่านไป เมื่อมาอยู่ในห้วงจักรวาลที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต เขาก็เหมือนผู้มาเยือนคนหนึ่งที่เดินเยี่ยมชมกาลเวลา มองภาพแห่งความตายและความเปลี่ยวร้างที่เป็นผลจากหายนะแห่งการทำลายครั้งยิ่งใหญ่ครานั้น
ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มมีความเข้าใจต่อห้วงจักรวาลและต่อโลกใบที่เคยอยู่ในห้วงจักรวาลแห่งนี้ ส่วนวิญญาณวัตถุน้อยก็คอยเล่าเรื่องราวในอดีตทุกอย่างที่มันรู้ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังตลอดระยะเวลาสามสิบปีที่ผ่านไปเช่นกัน
นอกจากผลเก็บเกี่ยวด้านความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนยังสามารถหลอมไฟยี่สิบแปดสีได้สำเร็จอีกด้วย และตบะของเขาก็อยู่ในขอบเขตเทียนจุนสมบูรณ์แบบขั้นสูงสุด ห่างจากบุพกาลเพียงแค่ม่านชั้นหนึ่งที่กางกั้น ทว่าม่านนี้กลับเป็นเหมือนร่องลึกที่เว้นเสียจากจะมีโชควาสนาเข้ามาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คงไม่มีทางข้ามผ่านมันไปได้เลย
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พลังการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย และด้านการควบคุมพัดวิเศษก็มีความแตกต่างไปจากเดิม เขาสามารถเรียกทาสบุพกาลออกมาได้สองคนแล้ว ถึงแม้ว่าเวลาที่พวกเขาออกมานอกพัดวิเศษจะยังสั้นมากอยู่เหมือนเดิม แต่ก็เพิ่มนานขึ้นเป็นสองก้านธูป
ส่วนแสงแห่งบุพกาลนั้น มาถึงเวลานี้ก็ไม่ได้มีแค่สิบห้าเส้นอีกต่อไป แต่เพิ่มมากขึ้นถึงห้าสิบกว่าเส้น สามารถพูดได้ว่าแม้ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้จะไม่ใช่บุพกาล แต่ก็เหนือกว่าบุพกาลเสียอีก!
กระนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่พอใจกับสภาพการณ์ตอนนี้อยู่ดี วันหนึ่งที่เขาไม่ได้เป็นบุพกาล เขาก็ไม่สามารถชุบชีวิตเทียนจุนที่เป็นลูกน้องของตัวเองได้ และเมื่อไม่มีวิชาอภินิหารของบุพกาล เทียนจุนของราชวงศ์จักรพรรดิขุยก็ถูกกำหนดมาให้เป็นเหมือนสายน้ำที่ไม่มีต้นกำเนิด หากเผชิญกับมรสุมใหญ่ การที่จะพังทลายลงมาเพียงชั่วข้ามคืนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย
พลังการต่อสู้ของบุพกาลคือเสาหลักที่ค้ำยันทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุยเอาไว้ และวิชาอภินิหารที่ช่วยชุบชีวิตผู้คนก็คือคุณสมบัติและรากฐานที่จะทำให้ราชวงศ์ดำรงอยู่สืบไปอย่างยาวนาน!
ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงร้อนใจมาก แต่ไม่ว่าจะทดลองอย่างไร เขาก็ไม่สามารถข้ามผ่านร่องลึกนั่นไปได้ และไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำได้เพียงถอนหายใจ ทว่าการหลอมไฟหลายสีนั้นมีความเกี่ยวข้องที่แน่นอนกับตบะ ยกตัวอย่างเช่นตำรับไฟยี่สิบเก้าสีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอนุมานไว้ตอนนี้ก็จำเป็นต้องให้เขามีตบะเป็นบุพกาลเสียก่อนถึงจะประคับประคองให้เขาหลอมมันออกมาได้
ท่ามกลางความเงียบงัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มปล่อยวางการทดลองหลากหลายรูปแบบ เขาพยายามทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง สะกดให้ตัวเองที่ล่องลอยคอยจ้องนิ่งไปยังห้วงจักรวาล จนกระทั่งวันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองไปยังจักรวาลอันมืดมิดก็พลันเบิกตากว้าง กระโดดผลุงขึ้นยืน วิญญาณวัตถุน้อยก็ย้ายตัวจากทิศไกลมาอยู่ข้างกายเขาในเสี้ยววินาที เมื่อมองตามสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนไป วิญญาณวัตถุน้อยก็พึมพำขึ้นเบาๆ
“เห็นพวกเขาอีกแล้ว นี่เป็นครั้งที่เก้าแล้วที่ข้าได้เห็นพวกเขา…”
ในจักรวาลที่อยู่ห่างไปไกล บัดนี้มีจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา ซึ่งจุดแสงพวกนี้คือตะเกียงอมตะหลายดวงที่ทำมาจากผลึกใส ดูเหมือนว่าพวกมันจะสามารถส่องแสงได้ตลอดกาล และพวกมันต่างก็ถูกฝังเลื่อมลงบน…โลงศพหลายใบ!
ทอดสายตามองไป โลงศพเหล่านั้นเกรงว่าคงมากนับล้านใบ เมื่อพวกเขาเดินทางข้างผ่านทางช้างเผือกมาล่องลอยอยู่ในห้วงจักรวาลแห่งนี้จึงเหมือนเดินทางผ่านสายฝนแห่งโลงศพ…
พัดวิเศษจึงหยุดชะงัก ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ริมขอบของพัดวิเศษ เหม่อมองไปยังภาพของโลงศพที่เรียงตัวอย่างกว้างใหญ่ไพศาลแต่กลับแผ่อวลไปด้วยความเศร้าอาดูร มองโลงศพจำนวนมากเกินจะนับที่ลอยผ่านเบื้องหน้าเขาไป ทั้งยังได้เห็นศพชายหญิงที่ยังคงสภาพดีอยู่ในโลงศพจำนวนไม่น้อย…
เพียงแต่ว่าต่อให้จะเก็บรักษาสภาพศพเหล่านั้นไว้ได้ดีแค่ไหนก็ยังหนีไม่พ้นการกัดกร่อนของกาลเวลา เพราะมีหลายศพที่เริ่มเกิดลางว่าจะแหลกสลายไปแล้ว…
ฝนโลงศพพวกนี้ดำรงอยู่อย่างยาวนาน จนกระทั่งโลงสุดท้ายลอยผ่านไปไกล ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เงียบงันก็รู้ได้ว่านี่คือร่องรอยสุดท้ายที่บางเผ่าพันธุ์ซึ่งถูกสังหารเมื่อครั้งหายนะใหญ่แห่งจักรวาลเลือกจะทิ้งไว้ในห้วงจักรวาลแห่งนี้ก่อนตาย…