บทที่ 131 ทั้งหมดก็เพื่อการอุทิศตน
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนไพล่หลังอยู่นอกหอเรือน มองหมียักษ์ตัวนั้นจากไปไกลพร้อมความเคลิบเคลิ้ม มันเดินได้สามก้าวก็หันกลับมามองหนึ่งที ท่าทางอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก เขาทอดถอนใจ รู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องดีงาม
ดังนั้นในเวลาครึ่งเดือนต่อมา ทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปข้างนอกก็จะต้องพาสัตว์ตัวหนึ่งที่เขาเลือกแล้วเป็นอย่างดีกลับมาด้วย มองดูสัตว์เหล่านั้นถูกดอกกำเนิดสัตว์กลืนกินเข้าไป แล้วก็มองพวกมันจากไปท่ามกลางความลุ่มหลงอาลัยอาวรณ์ เวลาครึ่งเดือน สัตว์สองร้อยอันดับแรกล้วนถูกเขาเลือกพามาที่นี่หมดแล้ว
ส่วนสัตว์ที่อยู่หลังสองร้อยอันดับแรกลงไป นอกเสียจากว่าจะเป็นสัตว์ที่พิเศษบางตัวแล้ว มิเช่นนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่เลือกเด็ดขาด ที่เขาต้องการคือสัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งตัวซึ่งถือกำเนิดออกมาในท้ายที่สุด ดังนั้นการเลือกของเขาคือถ้าไม่ใช่แข็งแกร่ง ก็ต้องมีพลังแฝงอันมหาศาล
จนถึงท้ายที่สุด นอกค่ายกลหอเรือนของป๋ายเสี่ยวฉุน สัตว์ร้ายทุกตัวที่เคยมอบน้ำเชื้อให้ล้วนกลับมารวมตัวกันอยู่ตรงนั้น ทุกครั้งที่มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนออกมาก็จะพากันร้องคำรามแหบแห้ง อยากมีโอกาสเข้าไปอีกหนึ่งครั้ง
“ไม่ได้ อุทิศตนกันคนละครั้งก็พอแล้ว มากกว่านั้นจะทำร้ายร่างกายของพวกเจ้าเอาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจแข็งเอ่ยปฏิเสธ จนกระทั่งผ่านไปอีกหลายวัน แม้แต่ตัวลิ่นขนาดมหึมาตัวนั้นก็ยังมาอุทิศตัวแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพบว่าในหอร้อยสัตว์ไม่มีสัตว์ให้เลือกอีกแล้ว
โดยเฉพาะเขารู้มาว่าระยะออกดอกของดอกกำเนิดสัตว์นั้นไม่นานเท่าไหร่นัก หากผ่านเวลานี้ไปก็จะเริ่มตั้งท้อง ดังนั้นจึงร้อนใจขึ้นมา
“ไม่ได้การแล้ว สัตว์พวกนี้ยังไม่พอที่จะเพาะเลี้ยงสัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างที่ข้าต้องการออกมาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบออกไปจากหอร้อยสัตว์ เดินเตร่อยู่ในชายฝั่งทิศเหนือ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาศึกษาและสังเกตร้อยสัตว์ สำหรับสัตว์ร้ายของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือ บอกไม่ได้ว่าเข้าใจหมดทุกตัว แต่ก็มีความทรงจำคร่าวๆ รู้ว่าสัตว์ของใครมีพลังแฝงมาก สัตว์ของใครแข็งแกร่ง
“ข้าจำได้ว่ามีลูกศิษย์หญิงฝ่ายนอกอยู่คนหนึ่งที่สัตว์รบข้างกายนางคือนกยูงตัวหนึ่ง? ดูท่าทางแล้วจะมีพลังแฝงสูงมาก นกยูงก็น่าจะได้แหละมั้ง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบไปยังที่พักของหญิงสาวคนนั้น
รออยู่ที่นั่นครึ่งวันถึงได้เห็นว่าศิษย์ฝ่ายนอกที่ชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย ทั้งยังมีรูปโฉมงดงามคนนั้นกลับมา ป๋ายเสี่ยวฉุนแย้มรอยยิ้มที่ตัวเองคิดว่าอ่อนโยนที่สุดออกมาทันที เดินรุดหน้าเข้าไปหา แสดงออกอย่างละมุนละม่อมว่าเขายินดีจ่ายคะแนนคุณความดีเพื่อให้นกยูงของอีกฝ่ายร่วมมือกับตนเอง ทำการอุทิศตัวที่พิเศษบางอย่าง นอกจากจะไม่ได้พูดถึงดอกกำเนิดสัตว์แล้ว เรื่องอื่นเขาล้วนพูดอย่างละเอียดมาก
ถึงกระทั่งที่ว่ากลัวอีกฝ่ายจะปฏิเสธ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงอธิบายเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งประโยค
“เจ้าวางใจได้ ตอนที่อุทิศตัวจะไม่ทำให้สัตว์รบของเจ้าบาดเจ็บเด็ดขาด เจ้าไม่รู้อะไร สัตว์รบทุกตัวที่เคยอุทิศตนล้วนหลงใหลอยากจะไปทำอีกครั้งเชียวนะ ข้ากังวลว่าพลังชีวิตของพวกมันจะถูกทำลายลงไปมากจึงปฏิเสธไปหมดแล้ว”
แรกเริ่มลูกศิษย์หญิงผู้นั้นยังงุนงงอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าอุทิศตัวหมายความว่าอะไร แต่ฟังไปฟังมาก็เบิกตากว้าง มองอึ้งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านหน้า สุดท้ายแม้แต่นัยน์ตาก็ยังฉายแววหวาดกลัว
“เจ้า…เจ้ามันโจรบ้ากาม” นางไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดอะไรดี กระทืบเท้าหนึ่งทีก็รีบหนีไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมเล็กน้อย
“ข้าก็แค่ขอยืมเองนะ ไม่ยอมก็ยังพอว่า นี่ยังมาด่าว่าข้าเป็นโจรบ้ากามอีก ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่โจรบ้ากามเสียหน่อย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลุ้มใจไม่น้อย ไปยังที่พักถัดไป แต่หลายวันติดต่อกัน เขาไปหาคนมาแล้วร้อยกว่าคน กลับไม่มีใครยินยอมเลยสักคนเดียว แถมยังมีสายตาของคนไม่น้อยที่เวลามองมายังเขาล้วนเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ ในใจคิดว่าในเมื่อทุกคนล้วนไม่ยอม ถ้าเช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ หากไม่ได้จริงๆ ก็คงทำได้แค่ลดความตั้งใจให้เหลือแค่ระดับรองลงมา ทดลองใช้สัตว์ร้ายตัวอื่นของหอร้อยสัตว์แทน
แต่ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะยอมแพ้นั้นเอง ในสำนักมีข่าวคราวหนึ่งเกิดขึ้นมา เวลาที่ลูกศิษย์หลายคนมองป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนใช้สายตาแปลกประหลาด เอาหัวเข้ามาชิดกระซิบกระซาบให้กันฟัง
“ได้ยินหรือยัง ป๋ายเสี่ยวฉุนเขามีงานอดิเรกพิเศษอย่างหนึ่ง…”
“ช่วงนี้เขาเห็นใครก็ต้องยืมสัตว์ร้าย บอกว่าจะให้ไปอุทิศตัวอะไรนั่น เจ้าไม่เข้าใจความหมายแฝงของคำว่าอุทิศตัวสินะ มาๆๆ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง!”
“หมายความว่าอย่างนี้เองเหรอ สวรรค์ นี่ป๋ายเสี่ยวฉุนกับสัตว์ร้าย…สวรรค์ ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม”
ข่าวลือพวกนี้เกิดขึ้นมาเอง คล้ายว่าหลังจากที่ในข่าวลือพวกนี้แฝงฝังไว้ด้วยความหมายว่าพวกลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือไม่รู้จะจัดการยังไงกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ความรังเกียจทั้งหลายแหล่ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดยังถึงขั้นเปลี่ยนประเด็นไปจากเดิม แถมลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือพวกนี้ยังสนใจเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด การเล่าลือแพร่ไปรวดเร็วมาก จนลูกศิษย์ส่วนใหญ่แทบจะรู้เรื่องนี้กันหมด
“รู้ไหมว่าทำไมป๋ายเสี่ยวฉุนถึงมาชายฝั่งทิศเหนือ ก็เพราะว่าเขารักสัตว์เป็นพิเศษอย่างไรล่ะ”
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงคิดค้นยากระสันซ่านขึ้นมา ที่แท้สาเหตุก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เพราะต้องการ จึงต้องคิดค้นและหลอมออกมา…”
“ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจนี่มีแต่พวกวิตถารนะ ข้าแค่สงสัยว่าทำไมเป้าหมายของเขาไม่ใช่สัตว์เพศเมีย แต่เป็นสัตว์เพศผู้?”
“สวรรค์ เจ้าคิดไปได้ถึงขนาดนี้เชียวรึ ชู่ว์…พวกเราเบาเสียงหน่อย ข้ายังแอบเดาได้ถึงสาเหตุอีกข้อหนึ่ง…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ได้ยินข่าวลือพวกนี้เช่นกัน เขางงงันไปหมด ที่เกินจริงที่สุดก็คือยามสายัณห์ของวันหนึ่ง ขณะที่รัตติกาลมาเยือน เขามองเห็นลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งซึ่งข้างกายมีแมวดำตามรกตอยู่หนึ่งตัว จึงมองด้วยความสงสัยอยู่ครู่ใหญ่ก็เท่านั้น ลูกศิษย์หญิงคนนั้นดันกรีดร้องเสียงแหลม รีบหนีไปอย่างรวดเร็ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนเซ่อไปทันที กล้ำกลืนเป็นอย่างมาก เขาอยากจะไปอธิบายให้เข้าใจ แต่กลับพบว่าหลังจากคนพวกนี้ฟังคำอธิบายของตัวเอง แต่ละคนทำท่ากระจ่างแจ้งขึ้นมาทันควัน ทว่าลับหลังกลับมีข่าวลือออกมามากกว่าเดิม
“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธเข้าให้แล้ว
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนลำบากเพียงใด ข้าโดดเดี่ยวยากแค้นมาบำเพ็ญตบะอยู่ที่ชายฝั่งทิศเหนือเพียงลำพัง แต่ไหนแต่ไรก็ระมัดระวังตัวมาตลอด ไม่กล้าไปล่วงเกินใครทั้งนั้น สงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่พวกเจ้ากลับรังแกข้าถึงเพียงนี้! แถมยังใส่ร้ายป้ายสีข้าด้วย!!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนแดงก่ำ กัดฟันกรอด
“พวกเจ้าบีบบังคับข้าเองนะ ในเมื่อพวกเจ้าใส่ร้ายข้าถึงเพียงนี้ ถ้าเช่นนั้นสัตว์พวกนี้ข้าจะไปเอามาด้วยตัวเอง!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังเดือดดาลอยู่นั้น เบื้องหลังพลันมีเสียงลมดังลอยมา เขาหันกลับไปมองพบว่าด้านหลังไม่มีอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกลกำลังสั่นไหวสองสามที
ตามมาติดๆ คือชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับไปมองนั้นเอง เงาดำร่างหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเร็วอย่างถึงที่สุด เป้าหมายคือท้องน้อยของเขา…กัดลงไปอย่างแรงหนึ่งที เหมือนต้องการกัดให้ละเอียดเป็นผุยผง
ยังดีที่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในขั้นรวมลมปราณสิบแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ประจักษ์แจ้ง สมองของเขาก็โปร่งโล่งชัดเจน อีกทั้งประสาทสัมผัสก็เหมือนจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกเยอะมากด้วย ชั่วขณะที่สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลจึงถอยหลังกรูดทันควัน
เสียงกร้วมดังหนึ่งครั้ง วินาทีที่เขาถอยหลัง ปากขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมอยู่ห่างจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไปเพียงครึ่งจั้ง จึงกัดได้เพียงอากาศ แรงที่ฟันกระทบกันนั้นมีมากเกินไปจนทำให้เกิดเสียงลมระเบิด ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความโกรธเกลียดอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เงาดำนี้ก็คือสุนัขสีดำตัวใหญ่ตัวนั้น ตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางคืน ความเร็วของมันจึงมากยิ่งกว่าตอนกลางวัน มองเห็นว่าการโจมตีป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นครั้งที่สองไม่ประสบความสำเร็จ สุนัขใหญ่ตัวนี้จึงหมุนกายหนีไปทันทีอย่างไม่ลังเล
“เจ้าอีกแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวชาหนึบ เหงื่อเย็นไหลร่วงลงมา รู้สึกถึงเพียงความเย็นวาบที่สันหลัง เมื่อครู่หากเขาหลบช้ากว่านั้นอีกนิดเดียวก็จะถูกเจ้าสุนัขใหญ่ตัวนี้กัดลงบนร่าง
พอนึกถึงผลร้ายจากการถูกกัดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจสั่นขึ้นมา เขาไม่กล้าเอาวิชาอมตะมิวางวายมาเดิมพัน…
“เจ้าหมาดำสมควรตาย อีกนิดเดียวมันก็เกือบจะทำลายตระกูลผู้ทรงเกียรติตระกูลหนึ่งเสียแล้ว!!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเจ้าสุนัขใหญ่สีดำตัวนั้นหนีไป ไฟโทสะของเขาก็ลุกโชนขึ้นทันทีทันใด
“รังแกกันมากเกินไปแล้ว ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือรังแกข้าก็ยังพอทน หมาดำอย่างเจ้าก็ยังกล้ามารังแกข้าด้วยรึ! คราวที่แล้วเห็นว่าเจ้าน่าสงสาร แต่คราวนี้เจ้าหนีไม่รอดแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเคืองแค้น ปีกด้านหลังปรากฏออกมา ร่างสะบัดหนึ่งครั้ง ระเบิดความเร็วไล่ตามไปติดๆ
หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ไล่กวดกันไปมาอยู่บนชายฝั่งทิศเหนือแห่งนี้
สุนัขใหญ่สีดำตัวนั้นความเร็วดั่งบินเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังคุ้นเคยกับพื้นที่ของที่นี่เป็นอย่างดี ป๋ายเสี่ยวฉุนไล่กวดอยู่ครึ่งชั่วยามจนสีท้องฟ้ามืดสนิทก็ยังตามไม่ทัน เดิมทีเขาก็โมโหเป็นทุนอยู่แล้ว ทั้งยังถูกสุนัขใหญ่สีดำตัวนี้โจมตีเข้าอีก เวลานี้พบว่าตัวเองดันไล่ตามไม่ทันจึงบ้าคลั่งขึ้นมาทันที
สุนัขสีดำตัวใหญ่นี้ได้ถูกเขาจัดเข้าเป็นอันดับสองของผังความอาฆาตแค้นแล้ว อันดับสามคือนกของผู้เฒ่าโจว ส่วนอันดับที่หนึ่ง…นอกจากเจ้ากระต่ายพูดได้ลึกลับตัวนั้นแล้วก็ไม่มีใครสามารถมาแทนที่ได้อีก
“สุดหล้าฟ้าเขียวข้าก็จะต้องจับเจ้าให้ได้!” แสงสีเงินตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายระยิบระยับ วิชาอมตะมิวางวายถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ปีกด้านหลังพัดกระพือ และก็มีพลังแม่เหล็กปรากฏออกมาเป็นระลอก บัดนี้ความเร็วตลอดร่างพลันเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า
เสียงตูมดังหนึ่งครั้งก็กลายเป็นเงาร่างที่พร่าเลือนเห็นไม่ชัด พริบตาเดียวก็เข้าไปใกล้ สุนัขใหญ่สีดำตัวนั้นเงียบเฉย กำลังจะมุดเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่ร่างของมันจะเข้าไปได้หมด แผล็บเดียวป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้ามาใกล้ คว้าหมับไปที่ตัวมัน
วินาทีที่เขาคว้าจับไปนั้นเอง สุนัขใหญ่สีดำดวงตาแดงฉาน หันขวับกลับมาอย่างคลุ้มคลั่ง ดุร้ายจนไม่สนใจภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง กัดเข้าไปที่ท้องน้อยของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
การโจมตีก่อนหน้านี้สุนัขใหญ่สีดำตัวนี้ยังมิอาจทำได้สำเร็จ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยโทสะ สุนัขใหญ่สีดำตัวนี้ยังไม่ทันได้กัดลงไปก็ต้องร้องโหยหวนขึ้นมาหนึ่งเสียง ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกดรัดคอแล้วหิ้วตัวมันขึ้นมา
มือของเขาราวกับเหล็กกล้า ต่อให้สุนัขใหญ่สีดำตัวนี้จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจสลัดหลุดพ้น
“หึ คราวนี้เจ้าจะได้รู้ความร้ายกาจของข้าเสียที!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด บินทะยานไปยังหอร้อยสัตว์ทันที ไม่นานก็มาถึงหอเรือน ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะลงโทษสุนัขสีดำตัวใหญ่นี้อย่างไรดี พลันสายตาก็กวาดไปมองที่ดอกกำเนิดสัตว์
ป๋ายเสี่ยวฉุนฉุกคิดขึ้นมาได้ หัวเราะฮิๆ แล้วโยนเจ้าสุนัขใหญ่สีดำไปด้านหน้า พริบตาเดียวมันก็ถูกดอกกำเนิดสัตว์ดอกนั้นเขมือบกลืนลงไป
หนึ่งชั่วยามต่อมา ดอกกำเนิดสัตว์บานออก สุนัขใหญ่สีดำตัวนั้นคลานออกมา ในดวงตายังคงมีความคลุ้มคลั่งและโกรธเกลียดเช่นเดิม เพียงแต่ว่ามีสีหน้าแปลกประหลาดบางอย่างเพิ่มขึ้นมา แต่พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำท่าคล้ายจะพุ่งเข้าไปกัด ทว่ากลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนโยนเข้าไปในดอกกำเนิดสัตว์อีกครั้ง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ตอนที่สุนัขใหญ่สีดำตัวนั้นออกมาอีกครั้ง ความบ้าคลั่งคงเดิม จึงถูกป๋ายเสี่ยวฉุนโยนกลับเข้าไปอีกรอบ พอผ่านไปอีกสี่ครั้ง ตอนที่สุนัขตัวนั้นปรากฏตัวอีกครั้งแข้งขาก็อ่อนเปลี้ยไปหมด นอนหมอบอยู่ตรงนั้นหอบหายใจอย่างหนัก
“กลัวหรือยัง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็นหนึ่งที
“ถ้ากล้ามายั่วโมโหข้าอีก ข้าจะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันพูดจบ อยู่ๆ เจ้าสุนัขตัวนั้นก็เงยหน้าขึ้น ออกแรงเต็มที่เพื่อจะพุ่งเข้ามากัดป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหปรี๊ดขึ้นทันที โยนเจ้าสุนัขใหญ่สีดำเข้าไปในดอกกำเนิดสัตว์ติดต่อกันอีกหลายครั้ง เมื่อบวกกับห้าครั้งก่อนหน้านี้ รวมทั้งหมดก็เก้าครั้ง
พอผ่านไปเก้าครั้ง เจ้าสุนัขผอมลงไปหนึ่งรอบตัว โรยราเงื่องหงอยไปหมด มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวมันขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าสุนัขใหญ่ก็ร้องโหยหวนออกมา ดิ้นรนขัดขืนจนป๋ายเสี่ยวฉุนใจอ่อน
“รู้จักกลัวแล้วใช่ไหม ต่อไปอย่ามาหาเรื่องข้าอีก ตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจนั่นข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวเตือนรอบหนึ่งจึงโยนสุนัขใหญ่สีดำออกไปไกลจากหอเรือน เจ้าสุนัขใหญ่สีดำใช้แรงกายที่มีเหลืออีกไม่มากรีบหนีไป จนเข้าไปอยู่ในที่มืด มันก็หยุดชะงักฝีเท้าลง นัยน์ตาเลื่อนลอย คล้ายจะมีความติดใจให้เห็นอยู่เลือนราง…
———-