บทที่ 1310 ความคิดบังเกิด ทัณฑ์สวรรค์ปรากฏ
ซือหม่าหนันไม่ได้กลับไปอีก หลังจากที่ได้เห็นรูปปั้นของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็เหมือนคนที่ได้พบทวยเทพ จึงเลือกที่จะเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่ และเขาก็ยิ่งทำสถานที่แห่งนี้ให้กลายมาเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวในห้วงจักรวาล
ซ้ำเขายังค้นพบด้วยว่าเมื่อฝึกตนอยู่ที่นี่ก็คล้ายจะทำได้ดีเยี่ยมยิ่งกว่าที่ใดๆ โดยเฉพาะการผันผ่านของกาลเวลาในที่แห่งนี้ที่คล้ายจะไม่เหมือนกับโลกภายนอกซึ่งยิ่งทำให้ซือหม่าหนันตื่นเต้นจนต้องหันไปกราบไหว้รูปปั้นป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
ช่วงเวลาต่อมา เขาก็ตั้งถิ่นฐานพักอาศัยอยู่ที่นี่ คอยกราบไหว้และพิทักษ์ปกป้องป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะเดียวกันจิตใจก็สงบลงได้ เพียงแต่ว่าต่อให้จิตใจจะสงบมากแค่ไหน ทุกครั้งที่หันไปมองรูปปั้นของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของเขาก็ยังฉายความกระตือรือร้นเร่าร้อนอย่างถึงที่สุดอยู่ดี
แล้วเวลาก็ค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไปเช่นนี้ ไม่นานโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบกลางห้วงจักรวาลก็เริ่มมีบุพกาลคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่เผยกาย…
การมาเยือนของยุคสมัยแห่งห้วงจักรวาลทำให้แต่ละเผ่าพันธ์เริ่มมีบุพกาลปรากฎ แม้จะไม่ใช่บุพกาลทุกคนที่เลือกจะก้าวเข้าไปในห้วงจักรวาลเพื่อหาประสบการณ์ แต่กระนั้นก็มีผู้แข็งแกร่งขอบเขตบุพกาลไม่น้อยที่ออกเดินทางไปในห้วงจักรวาล
ต่อให้จะไม่สามารถทำได้ถึงขั้นเดียวกับซือหม่าหนัน ไม่มีบุพกาลคนที่สองที่สามารถกวาดเอาทรัพยากรในโลกใบแล้วใบเล่าไปได้เช่นเขา ทว่าพวกบุพกาลที่ทยอยกันปรากฎตัวนั้นก็ยังคงชื่นชอบที่จะท่องพเนจรไปในห้วงจักรวาลเพื่อไปดูโลกแต่ละใบที่คนรุ่นก่อนๆ พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ดังนั้นนอกจากซือหม่าหนันแล้วจึงมีผู้แข็งแกร่งขอบเขตบุพกาลคนที่สองที่สัมผัสได้ถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าจากจิตวิญญาณของตน ลักษณะท่าทางของเขาไม่เหมือนกับซือหม่าหนัน เพราะตลอดทั้งร่างมองดูแล้วกลับเหมือนก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง พอมาถึงแล้วเห็นรูปปั้นของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาเองก็ตัวสั่นเทิ้ม สะท้านสะเทือนและก้มลงกราบกรานเช่นกัน
และไม่นานก็เริ่มมีคนที่สาม คนที่สี่…เมื่อผู้แข็งแกร่งขอบเขตบุพกาลที่ค้นพบรูปปั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเกินยี่สิบคน ตำนานแห่งทวยเทพบรรพกาลก็ถูกคนที่เดินทางออกจากสถานที่ตั้งรูปปั้นป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไปเผยแพร่ทั่วห้วงจักรวาล!
ดังนั้นจึงมีโลกหลายใบมากขึ้นที่เริ่มรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็มีนักพรตจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เริ่มพลิกเปิดตำราโบราณเพื่อค้นหาคำอธิบายในประวัติศาสตร์ เผ่าพันธ์ในโลกหลายใบที่เมื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกันก็ค้นพบว่า เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่ปรากฏอยู่ในโลกของพวกเขาเองเท่านั้น เมื่อพวกเขาต่างก็ตระหนักได้ว่าในบรรดาโลกนับไม่ถ้วนกลางห้วงจักรวาลแห่งนี้ล้วนมีตำนานอย่างหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมา ความสะท้านสะเทือนในใจของนักพรตทุกคนก็มากเกินขีดจำกัดจนไม่อาจมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
เทพแห่งดวงอาทิตย์ เซียนจันทรา นายผู้สร้างสรรพสิ่ง พระพายศักดิ์สิทธิ์
บรรพบุรุษหิน สารพัดนึก…เมื่อคำเรียกขานมากมายหลายรูปแบบที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธ์ที่แตกต่างกันถูกพลิกค้นออกมาอีกครั้ง ความครึกโครมสะท้านสะเทือนก็เป็นดั่งลมมรสุมที่พัดตะลุยไปทั่วเผ่าพันธ์นับไม่ถ้วนในห้วงจักรวาล
“องค์เทพ…มีอยู่จริง!!”
“คือเขาที่เป็นผู้สร้างโลก คือเขาที่เป็นผู้มอบชีวิต!!”
“แล้วก็เป็นเขา…ที่เปิดโลกแห่งการบำเพ็ญตน!!”
หลังจากที่นิยายเทพปรัมปราซึ่งเล่าสืบทอดต่อกันมากลายมาเป็นความจริง
ความครึกโครมที่เกิดกับโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ได้ทำให้ผู้แข็งแกร่งขอบเขตบุพกาลจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มพากันแห่แหนไปยังแผ่นดินใหญ่แห่งนั้นดั่งจะไปจาริกแสวงบุญ เพราะหวังว่าจะได้สัมผัสกับแสงสว่างแห่งรูปปั้นที่จำแลงมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน สัมผัสถึงความศักดิ์สิทธิ์ของที่แห่งนี้ และบางคนนั้นถึงขั้นหวังว่าจะได้เป็นเกียรติเมื่อได้ไปเยือน
ขณะเดียวกันคำเรียกขานป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
ต้นกำเนิดแห่งห้วงจักรวาล!
ในช่วงเวลาต่อมา ลมมรสุมที่ทับซ้อนเข้ากับตำนานแห่งทวยเทพนี้ก็ยังไม่สลายหายไป เมื่อซือหม่าหนันกลับคืนสู่ความว่างเปล่า เมื่อบุพกาลท่านแล้วท่านเล่าที่เคยพาตัวมาปกป้องป๋ายเสี่ยวฉุนแก่ชราก็มีบุพกาลท่านใหม่มาเยือนที่แห่งนี้เพื่อทำตามตราประทับแห่งสัญชาตญาณในจิตวิญญาณที่ต้องการเข้าใกล้เทพเจ้าของพวกเขา พาตัวเองมาปกป้องเฝ้าพิทักษ์อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน
ทว่าสรรพชีวิตมีนิสัยและสันดานที่แตกต่าง มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ในโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบยังคงมีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยที่แม้จะยอมรับในการดำรงอยู่ของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่กลับไม่มีใจเคารพเลื่อมใส และบางคนก็คิดที่จะ…เข้ามาแทนที่
“เมื่อพิฆาตเทพ ก็จะได้กลายเป็นเทพเจ้า!” แนวความคิดนี้ก็คือความยึดมั่นในใจของพวกเขา หลายปีต่อมาเมื่อยุคแห่งบุพกาลพัฒนาไปถึงจุดสูงสุด ในที่สุด…ในห้วงจักรวาลก็มี…ผู้บงการคนแรกปรากฎ!!
การปรากฏตัวของผู้บงการแตกต่างไปจากบุพกาลอย่างสิ้นเชิง การปรากฎตัวของเขาไปเขย่าคลอนสถานการณ์ของห้วงจักรวาลโดยตรง เป็นเหตุให้บรรดาเผ่าพันธ์ทั่วห้วงจักรวาลต้องเริ่มเลือก หากไม่เลือกที่จะสวามิภักดิ์ ก็เลือกที่จะทำสงครามจนตัวตาย
หลังจากกำราบเผ่าพันธุ์นับหมื่นได้อยู่มือ ภายใต้ความมานะพยายามของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้บงการท่านนี้ เขาจึงถือได้ว่าเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเกินกว่าผู้ใดจะทัดทาน และในเวลานี้ เขาก็ได้ตัดสินใจที่จะทำอย่างหนึ่ง
เขามาเยือนแกนกลางของห้วงจักรวาลอันเป็นแผ่นดินใหญ่ของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน มายืนอยู่ตรงตีนเขารูปปั้นของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาต้องการท้ารบ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!!
การท้ารบครั้งนี้สร้างความอึกทึกแตกตื่นไปทั่วทุกเผ่าพันธ์ในห้วงจักรวาล เพียงแต่ว่ายังไม่ทันรอให้พวกเขาได้ไปเป็นประจักษ์พยานในสงครามครั้งนี้ด้วยตัวเอง ทุกอย่าง…กลับสิ้นสุดลงเสียก่อน
ภาพเหตุการณ์การต่อสู้ที่มาจากในแผ่นหยกของเหล่าผู้แข็งแกร่งบุพกาลซึ่งปกป้องป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่บนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ถูกเผยแพร่ไปให้นักพรตจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เห็น ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ล้วนเกิดเสียงอึงอลในสมอง เงียบงันไปนาน ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันไปโค้งคำนับต่ำๆ ยังทิศทางที่ตั้งของแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
ภาพในแผ่นหยกคือภาพที่ผู้บงการคนนั้นกลายร่างเป็นรุ้งยาวบินทะยานออกไปพลางระเบิดพลังแห่งต้นกำเนิด พลังอำนาจของเขามากพอจะเขย่าคลอนทั้งห้วงจักรวาล แต่วินาทีที่ขยับเข้าไปใกล้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเอง ทั้งๆ ที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนยังแน่นิ่งไม่ขยับ แต่เรือนกายของผู้บงการคนนั้นกลับแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ เหมือนถูกลบเลือน กระทั่งจางหายไปอย่างเงียบเชียบ…
ไม่มีใครรู้ว่านี่คือพลังอะไร ทุกคนที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ สุดท้ายก็ได้แต่เรียกพลังนี้ว่าเป็น…พลังแห่งเทพเจ้า!
ไม่มีใครกล้าไปท้ารบองค์เทพอีก จนกระทั่งผ่านไปได้อีกหลายปี เมื่อยุคสมัยของผู้บงการลุกผงาด เมื่อเรื่องราวที่องค์เทพลบร่างผู้บงการทิ้งไปกลายมาเป็นเพียงเรื่องเล่าลือในตำนาน ไม่นานผู้บงการหลายท่านที่เมื่อได้รับการยอมรับจากปณิธานแห่งโลกในเผ่าพันธุ์ของตัวเองก็ได้ทยอยกันปรากฏตัว
และเวลานี้เองที่ในบรรดาผู้บงการมากมาย มีผู้บงการที่แข็งแกร่งที่สุดท่านหนึ่ง…ถือกำเนิดขึ้นมา เต๋าของเขาไม่เหมือนกับผู้บงการคนอื่นๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะอาศัยการกลืนกินคล้ายหลุมดำ เป็นเหตุให้เมื่อตัวเขาเดินไปถึงจุดสูงสุดจึงกลายมาเป็นนักพรตคนที่สองที่ท้ารบองค์เทพ!
เขาคิดจะกลืนกินองค์เทพ เพื่อที่ตัวเองจะได้กลายเป็นเทพ การมาถึงของเขาสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้แก่ผู้พิทักษ์ทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไม่สามารถขัดขวางได้ ได้แต่มองผู้บงการที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยท่านนี้เอามือไพล่หลัง ขยับเดินทีละก้าวไปยังยอดเขา
“องค์เทพ…ข้าเชื่อในการดำรงอยู่ของเจ้า และข้าก็ยิ่งเชื่อด้วยว่า เจ้า…เป็นเพียงแค่ตาแก่ในยุคของจักรวาลก่อนที่มีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้เท่านั้น แล้วเจ้าจะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ เพื่ออะไร ไม่สู้ให้ข้าทำให้เจ้าสมปรารถนาจะดีกว่า!” ผู้บงการเอ่ยเสียงเรียบเฉย ครั้นแล้วเขาที่ยืนอยู่ตรงตีนเขาก็ยกเท้าขึ้นเตรียมจะเหยียบลงไปบนยอดเขา ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ เขาก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ลมหายใจหอบหนัก คิดจะถอยหลัง แต่ยังไม่ทันรอให้เขาได้ถอย ร่างของเขา ทุกอย่างของเขาก็สลายหายไปอย่างเงียบเชียบภายใต้ความอึ้งงันของผู้พิทักษ์ที่อยู่รอบด้าน…
รอบด้านเงียบสงัด จุดจบของผู้บงการคนนี้เหมือนกับผู้บงการคนแรกที่ท้ารบอย่างไม่มีผิดเพี้ยน…และขณะที่จิตวิญญาณของผู้เฝ้าพิทักษ์ทุกคนสั่นสะท้าน ในหัวสมองขาวโพลนนั้นเอง ทันใดนั้น…ดวงตาทั้งคู่ที่ปิดสนิทของรูปปั้นบนยอดเขาก็ได้เปิดขึ้นช้าๆ
เมื่อดวงตาเปิดขึ้น ดวงอาทิตย์ทุกดวงที่อยู่ในห้วงจักรวาลก็พลันระเบิดแสงเจิดจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และดวงจันทร์ทุกดวงก็ส่องประกายแสงพร่างพราวอย่างไร้ที่สิ้นสุด!
ทุกชีวิตที่อยู่ในโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบล้วนตัวสั่นเทิ้ม ในจิตวิญญาณเกิดลมพายุสะท้านฟ้า และข้างหูของพวกเขาก็มีเสียงอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยกาลเวลาอันโชกโชนดังขึ้นมา
“ข้าหลงลืมไปเอง…เมื่อความคิดบังเกิด ทัณฑ์สวรรค์ปรากฏ”
ชั่วขณะที่เสียงนี้ก้องสะท้อน โลกทุกใบในห้วงจักรวาลที่แฝงไว้ด้วยต้นกำเนิดและกฎเกณฑ์ของตัวเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้รูปลักษณ์ ราวกับได้มีปณิธานบางอย่างเพิ่มเข้ามา เป็นเหตุให้บัดนี้โลกทุกใบทั่วทั้งห้วงจักรวาล ได้มี…กฎเกณฑ์อย่างหนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นคือกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์!!
นับแต่นี้ไป โลกทุกใบจะมีทัณฑ์สวรรค์ พวกผู้ที่มาท้ารบ ต้องท้ารบทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งเท่ากับว่าท้ารบกับป๋ายเสี่ยวฉุน!!
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ขัดขวางพวกผู้ที่ท้ารบเหล่านี้ แต่เขาต้องการทำความเข้าใจของตัวเองอย่างสงบ ดังนั้นจึงถือโอกาสสร้างทัณฑ์สวรรค์ขึ้นมา อีกทั้งวินาทีที่เสียงนี้ปรากฏ ร่างของพวกผู้พิทักษ์ทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ก็ได้หายไปแล้วมาปรากฎตัวอยู่ในโลกของใครของมัน ขณะเดียวกันในตำราของทุกเผ่าพันธุ์ที่มีคำบรรยายและความทรงจำเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุนก็ล้วนถูกลบทิ้งไปหมด…ราวกับว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ใดๆ มาก่อน
ส่วนที่ตั้งของแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ก็เปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือน จนกระทั่งนักพรตไม่อาจสัมผัสถึงและไม่อาจมองเห็น นับแต่นี้เป็นต้นไป…เผ่าพันธ์ในห้วงจักรวาลจะยังคงพัฒนากันต่อไป ผู้ท้ารบจะยังคงมีอยู่ แต่ตำนานเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุน เทพนิยายแห่งต้นกำเนิดของห้วงจักรวาลจะไม่มีใครคิดถึง จะไม่มีใครได้รู้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนถูกลบทิ้งไปสิ้น
และเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปทีละนิด…