บทที่ 140 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานราก
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน การกระทำของเถี่ยตั้นยิ่งกำเริบเสิบสาน ไม่ว่าลูกศิษย์ชายคนใดก็ตามที่เคยหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนต้องเป็นบ้ากันไปหมด ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้
เวลานี้ในที่สุดตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็บรรลุไปถึงจุดสูงสุดขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณที่สิบ คล้ายว่าได้สัมผัสกับสิ่งกั้นขวางชั้นหนึ่ง ยากที่จะฝ่าออกไปได้
“มีเพียงสร้างฐานรากเท่านั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเผยแววคาดหวัง สร้างฐานรากแบ่งออกเป็นชีพจรมนุษย์ ชีพจรดิน และชีพจรฟ้าที่มีอยู่ในตำนาน อายุขัยที่เพิ่มขึ้นมานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แบ่งออกเป็นหนึ่งร้อยปี สองร้อยปี และห้าร้อยปีตามลำดับ
สำหรับสร้างฐานรากชีพจรฟ้านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้นึกถึง เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เพ้อฝันไกลตัวเกินไป หมื่นปีมานี้ตลอดทั้งสำนักธาราเทพก็มีคนที่สร้างฐานรากชีพจรฟ้าได้เพียงไม่กี่คน ซึ่งทุกคนล้วนมีโชควาสนาและโอกาสอันยิ่งใหญ่ถึงได้ครอบครองปราณชีพจรฟ้า และยืมเอาสิ่งนี้มาสร้างฐานราก
“โดยทั่วไปแล้ว ชีพจรมนุษย์มีค่อนข้างเยอะ จำเป็นต้องใช้ยาสร้างฐานราก ส่วนสร้างฐานรากชีพจรดิน จำเป็นต้องใช้ปราณชีพจรดิน…อีกทั้งสร้างฐานรากชีพจรดินก็มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ต้องดูว่าตอนที่สร้างฐานรากสามารถรับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของมหาสมุทรวิญญาณในร่างกายได้กี่ครั้ง! น้อยที่สุดหนึ่งครั้ง มากสุดก็เก้าครั้ง!”
“และยังมีพละกำลังของกล้ามเนื้อข้าที่สัมผัสได้ถึงพันธนาการขั้นแรกของชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าทะลุถึงผิวหนังทองคงกระพัน หรือยืมใช้คัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรมาสร้างฐานรากจนสำเร็จ ก็น่าจะสามารถทำให้ทะลุพันธนาการขึ้นไปได้อีกขั้น หากสามารถฝ่าทะลุได้ทั้งสองอย่าง ไม่แน่ว่าอาจจะยิ่งร้ายกาจมากกว่าเดิม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ เขาจำได้ว่าในสำนัก ยาสร้างฐานรากสามารถใช้คะแนนคุณความดีแลกเอามาได้ แม้ว่าจำนวนจะมากมหาศาล แต่ด้วยฐานะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังพอจะแลกเอามาได้ เพียงแต่ว่าเขาไม่ค่อยอยากทำแบบนั้นเท่าไหร่นัก เพราะยังไงซะสร้างฐานรากวิถีมนุษย์นั้นจะทำให้อายุขัยเพิ่มขึ้นมาอีกแค่หนึ่งร้อยปี
ขณะที่ความคิดพัวพันอุตลุดอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบแผ่นหยกส่งเสียงออกมา คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งข้อความเสียงไปหาหลี่ชิงโหว สอบถามเกี่ยวกับเรื่องปราณชีพจรดิน
แผ่นหยกเปล่งประกายแสงอ่อนโยนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลี่ชิงโหวตอบข้อความกลับมา ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมรวมพลังวิญญาณเข้าไปทันที พลันในสมองของเขาก็มีน้ำเสียงทุ้มต่ำของหลี่ชิงโหวดังก้อง
“เดิมก็คิดว่าจะพูดกับเจ้าเร็วๆ นี้ สามเดือนหน้า ชายฝั่งทิศเหนือเลือกคนหนึ่งร้อยห้าสิบคน ชายฝั่งทิศใต้เลือกคนหนึ่งร้อยคน ล้วนเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในรวมลมปราณขั้นสิบทั้งหมด ให้มารวมตัวกันอยู่ที่ตำหนักใหญ่เขาจ้งเต้า”
“สามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการสร้างฐานรากจะเปิดขึ้น เจ้าไปหุบเหวกระบี่อุกกาบาต ช่วงชิงเอาปราณชีพจรดินกับทุกคน ใช้โอกาสนี้สร้างฐานรากชีพจรดิน เมื่อทำสำเร็จ อายุขัยจะเพิ่มขึ้นสองร้อยปี ความปรารถนาที่จะเป็นอมตะของเจ้าก็จะถือว่าได้ก้าวเดินออกไปอีกก้าวใหญ่!”
ร่างป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือก มองแผ่นหยก ลมหายใจถี่กระชั้น
“สร้างฐานรากชีพจรดิน หากสามารถทำสำเร็จ สามารถเพิ่มอายุขัยได้สองร้อยปี!!” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความกระหาย แต่ก็เกิดความลังเลขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ช่วงชิงกับผู้อื่น ต้องมีการฆ่าแกงกันแน่ๆ…”
“แต่นั่นมันสองร้อยปีเชียวนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนต่อสู้อยู่กับตัวเองนานมาก ความยึดมั่นถือมั่นที่มีต่อความเป็นอมตะระเบิดขึ้นเต็มที่ ดวงตาแดงก่ำไปหมด
ไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่สามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการสร้างฐานรากกำลังจะเปิดออกก็ค่อยๆ แพร่ไปทั่วชายฝั่งเหนือใต้ ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจหลายคนเป็นเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นคือได้รับรู้เรื่องนี้ล่วงหน้า
สถานที่ทั้งสามแห่งนี้คืออาณาบริเวณที่มีทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ สำนักธาราเทพไม่ได้ครอบครองเพียงลำพัง แต่เป็นการครอบครองร่วมกันของสี่สำนักใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดตลอดทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรตอนล่างของแม่น้ำตะวันออก ซึ่งสำนักธาราเทพเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ทุกครั้งที่มีการเปิดพื้นที่ สี่สำนักใหญ่ล้วนส่งลูกศิษย์ออกไปช่วงชิงกัน
หนึ่งในนั้นหุบเหวกระบี่อุกกาบาตคือสถานที่หลัก รองลงมาคืออี้โยวและอุโมงค์วิญญาณ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีเรื่องเล่ากันว่าในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตอาจซุกซ่อนปราณชีพจรฟ้าเส้นหนึ่งเอาไว้
เรื่องเล่านี้มีมานานมากแล้ว ทว่านับตั้งแต่ที่มีการค้นพบหุบเหวกระบี่อุกกาบาตจนมาถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่มีการเปิดพื้นที่ก็ไม่เคยเห็นว่ามีใครคว้าเอาปราณชีพจรฟ้าไปครองได้ ต่อให้เป็นชีพจรดินเอง ทุกครั้งที่คนหลายร้อยคนจากสี่สำนักเข้าไป ผู้ที่สามารถช่วงชิงมาได้สำเร็จก็ยังมีไม่เกินสิบกว่าคน
สามารถพูดได้ว่าการช่วงชิงชีพจรดินนั้นเต็มไปด้วยคาวเลือด สรรพสิ่งต้องแก่งแย่งและสวรรค์เป็นผู้เลือก!
“ที่นั่นต้องเต็มไปด้วยคาวเลือดอย่างแน่นอน ช่วงชิงคุณสมบัติในการสร้างฐานรากชีพจรดิน ทุกครั้งจะต้องมีคนตายเยอะมาก…ข้าได้ยินมาว่านี่ก็เป็นการประลองฝีมือครั้งหนึ่งของทั้งสี่สำนักใหญ่เช่นกัน ยิ่งมีจำนวนคนที่สร้างฐานรากด้วยชีพจรดินได้สำเร็จมากเท่าไหร่ จำนวนคนที่จะได้เข้าร่วมการเปิดพื้นที่ครั้งต่อไปก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น”
“ข้าไม่ยอมหรอกนะ ระหว่างชีพจรมนุษย์และชีพจรดินห่างกันอยู่เยอะมาก สร้างฐานรากชีพจรดินสามารถบดขยี้ชีพจรมนุษย์ได้เลย คนละระดับกันอย่างเห็นได้ชัด”
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่เกี่ยวข้องกับสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกแพร่ออกไปทั่วสองชายฝั่งเหนือใต้อย่างรวดเร็ว ลูกศิษย์ฝ่ายในทุกคน ไม่ว่าใครก็ตามที่บำเพ็ญตบะถึงรวมลมปราณขั้นสิบล้วนใจเต้นโครมครามไปกับข่าวนี้
แต่ก็มีบางส่วนที่ยิ่งกระวนกระวายเพราะเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับความโหดเหี้ยม ยินยอมเลือกสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ซึ่งปลอดภัยกว่า แต่ไม่ยอมให้ความรุ่งโรจน์ของวิถีมนุษย์และอนาคตต้องถูกบดขยี้ลงไปเพียงเพราะอายุขัยที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งร้อยปี
สามเดือนต่อมา เช้าตรู่วันนี้ เมื่อเสียงระฆังบนเขาจ้งเต้าดังสะท้อนไปทั่วทั้งสำนัก ท่ามกลางเสียงระฆังที่น่าเกรงขามนั้น ผู้นำของทั้งเจ็ดเขาชายฝั่งเหนือใต้ล้วนลอยตัวทะยานอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เบื้องหลังพวกเขามีลูกศิษย์หลายสิบคนติดตามมาด้วย คนทั้งหมดดิ่งทะยานตรงไปยังเขาจ้งเต้า
เวลานี้ตลอดทั้งในสำนัก ลูกศิษย์ทุกคนล้วนเงยหน้ามองเงาร่างที่ทะยานผ่านไปบนท้องฟ้า ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ในนั้น ฝูงชนล้วนสามารถเรียกชื่อของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง
ทางด้านของชายฝั่งทิศเหนือ เป่ยหันเลี่ย สวีซง กงซุนหว่านเอ๋อร์ เป่ยหันเฟิง กงซุนอวิ๋น และยังมีผู้ที่อยู่ด้านหน้าของกลุ่มคน ผู้ที่ตลอดทั้งร่างโอบล้อมไปด้วยหมอกสีดำ กุ่ยหยา…
ชายฝั่งทิศใต้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ลูกศิษย์ของเขาชิงเฟิง เขาเซียงอวิ๋น เขาจื่อติ่งล้วนเงยหน้าขึ้นมองกันทั้งหมด สวีเป่าไฉตื่นเต้น บันทึกภาพที่ตัวเองเห็นลงไปบนสมุดเล่มเล็กที่อยู่ในมือด้วยความคึกคัก
ซ่างกวานเทียนโย่วแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เคย ตลอดทั้งร่างราวกับกระบี่คมกริบหนึ่งเล่มที่ถูกชักออกมาจากฝัก เปล่งประกายแสงน่าจับตา ยังมีโจวซินฉีที่ตลอดทั้งร่างมีสีฟ้าตลบอบอวล คล้ายมีพลังชีวิตเข้มข้นแผ่กระจายออกมา
ยังมีหลู่เทียนเหล่ยที่รอบตัวอวลไปด้วยสายฟ้าแต่ละเส้นที่คล้ายต้องการผ่ากลางนภากาศ รวมไปถึงลูกศิษย์ฝ่ายในที่มีคุณสมบัติอีกบางส่วน เวลานี้แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ทะยานไปด้านหน้าตามผู้นำของทั้งสามเขาด้วยความรวดเร็ว
“ชายฝั่งทิศเหนือหนึ่งร้อยห้าสิบคน ชายฝั่งทิศใต้หนึ่งร้อยคน ไม่รู้ว่าคราวนี้ในบรรดาพวกเขาจะมีกี่คนที่สามารถโดดเด่นขึ้นมาจากการฆ่าฟันกับสามสำนักใหญ่ สร้างฐานรากชีพจรดินได้สำเร็จ! และจะมีอีกสักกี่คนที่ไม่อาจได้หวนกลับคืนมาอีกแล้ว…เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรคือเส้นทางโหดร้ายที่ผู้อ่อนแอเป็นเนื้อสมัน ผู้แข็งแรงเป็นเสือสมิง”
“ข้าได้ยินผู้อาวุโสของตระกูลเล่าว่าทุกครั้งที่มีการเปิดสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากล้วนเต็มไปด้วยคาวเลือด คล้ายว่าการสร้างฐานรากไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญอีกต่อไป การเข่นฆ่าคนต่างสำนักต่างหากถึงจะเป็นกุญแจสำคัญอย่างแท้จริง นี่คือสงครามครั้งหนึ่งที่มีขึ้นทุก 60 ปีของสี่สำนักใหญ่!”
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดต้องให้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้ไปตายด้วยเล่า? แม้ไม่อาจรักษาปราณชีพจรดินเอาไว้ได้ ทว่าสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ก็มั่นคงมากกว่า แม้จะอ่อนแอกว่ามาก แต่กลับไม่ต้องมีคนตายมากมายขนาดนั้น…”
“หึ อ่อนแอรุ่นหนึ่งก็อ่อนแอไปตลอด หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วสำนักธาราเทพของเราก็ต้องพินาศย่อยยับ!”
“สำหรับทั้งสี่สำนักใหญ่ นอกจากสำนักที่คิดว่าไม่มีลูกศิษย์คนใดสามารถสร้างฐานรากชีพจรดินได้แล้ว ที่เหลือขอแค่มีความหวังก็ล้วนไม่หลบเลี่ยงการรบครั้งนี้เด็ดขาด มิเช่นนั้นไม่เพียงลูกศิษย์รุ่นนี้เท่านั้นที่อ่อนแอ อีกทั้งขอบเขตอำนาจในการควบคุม รวมไปถึงพลานุภาพในการข่มขู่และสยบภายนอกก็จะลดลงฮวบฮาบ ซึ่งจะก่อให้เกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นตามมา!”
“ยกตัวอย่างเช่นสำนักธาราโอสถที่เคยหลีกเลี่ยงการรบติดต่อกันสามครั้ง พลังในการสู้รบของสำนักลดฮวบฮาบ ผืนป่าในขอบเขตอำนาจก็เกิดปรากฏการณ์ฝูงหมาป่าเขมือบกลืนกินกันเอง ลำพังแค่สำนักธาราเทพของเราก็สามารถแย่งชิงเอาทรัพยากรที่อยู่ในขอบเขตของสำนักธาราโอสถมาครอบครองได้ถึงสองส่วน จึงถูกบีบให้ต้องมาเข้าร่วมใหม่อยู่หลายครั้ง ใช้ความตายแลกมาด้วยลูกศิษย์ที่สร้างฐานรากชีพจรดินได้สำเร็จ นี่ถึงทำให้พวกเขาคุมสถานการณ์ไว้ได้อย่างกล้อมแกล้ม”
ผู้อาวุโสของสองชายฝั่งเหนือใต้ รวมไปถึงลูกศิษย์ที่มีประสบการณ์บางส่วน เวลานี้ล้วนกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์
ขณะเดียวกันนั้น เนื่องจากการทะยานมาถึงของลูกศิษย์สองชายฝั่งเหนือใต้ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงนอกตำหนักใหญ่ของเขาจ้งเต้า แต่ละคนต่างยืนอยู่ภายใต้การนำของผู้นำแต่ละเขาด้วยสีหน้าสุขุม และยิ่งมีไอเย็นยะเยียบตลบอบอวล
พวกเขารู้ดีว่าสถานที่ที่ตัวเองต้องไปในอีกไม่นานนี้ คือสถานที่ที่มีทั้งโชควาสนาและความอำมหิตรอพวกเขาอยู่!
ยามนี้แต่ละคนต่างประเมินกันไปมา ทว่าไม่นานก็มีคนไม่น้อยรู้สึกแปลกใจ พวกเขาพบว่าในบรรดากลุ่มคนที่อยู่รอบด้าน ขาดคนคนหนึ่งไป
“ทำไมป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มา?”
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่แปลกใจ ผู้นำของทั้งเจ็ดเขาเหนือใต้ก็บ่นพึมพำเช่นกัน มองไปยังทิศทางของหอร้อยสัตว์ หลี่ชิงโหวยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าปกติ เขาเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางมองป๋ายเสี่ยวฉุนผิดไป แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเกเร แม้ว่าจะกลัวตาย แต่ความยึดมั่นที่เขามีต่อความเป็นอมตะนั้นไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน
เวลานี้ในหอร้อยสัตว์ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเสียงระฆังดังก้องก็เงียบงันไปเนิ่นนาน จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้กัดฟันกรอดอย่างดุดัน สามเดือนมานี้เขาบำเพ็ญตบะอย่างสุดความสามารถ และยังใช้คะแนนคุณความดีจำนวนมหาศาลไปแลกเอายันต์มาอีกหลายพันชิ้น เพื่อไว้ใช้ป้องกันตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เว้นแม้กระทั่งฟัน และเขายังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฝ่าผิวหนังเงินคงกระพันไปให้ได้ แม้ว่าจะไม่สำเร็จ ทว่าก็พัฒนาไปไม่น้อย
ยามนี้หยิบเอาสัมภาระที่จัดไว้เรียบร้อยแล้วขึ้นมา ปฏิเสธไม่ให้เถี่ยตั้นเดินทางไปด้วย เหยียบขึ้นไปบนกระบี่วิหคทองเพียงลำพังและบินทะยานตรงไปยังเขาจ้งเต้า ระหว่างทางยังแวะไปที่หอหินวิเศษ ใช้คะแนนคุณความดีจำนวนมากแลกเอาผลึกธรณีอัคคีที่สามารถนำมาใช้แทนธรณีอัคคีได้ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับเวลาที่จำเป็นต้องหลอมยาตอนอยู่ข้างนอก
ดวงตาของเขามีเส้นเลือดฝอยปรากฏ สามเดือนมานี้ แม้ว่าเขาจะตัดสินใจได้นานแล้ว แต่เขาเป็นคนที่ทำอะไรเน้นความมั่นคง ดังนั้นจึงไปอ่านตำรามามากมาย รู้ดีถึงคาวเลือดและความโหดเหี้ยมของการเปิดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากทั้งสามในแต่ละครั้ง และยิ่งรู้ด้วยว่าการเปิดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากทั้งสามแห่งนี้ สำหรับสำนักแล้วก็ถือเป็นการแสดงให้ภายนอกเห็นถึงพละกำลังและพลานุภาพของตัวเองด้วยครั้งหนึ่ง
เมื่อเข้าใจมากขึ้น ใจเขาก็สั่นสะเทือนไปหมด โดยเฉพาะเมื่อแปดร้อยปีก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์ที่สำนักธาราเทพส่งเข้าไปยังสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานราก สุดท้ายมีชีวิตรอดกลับมาได้ไม่ถึงสิบคน ระดับความทารุณโหดร้ายนั้นทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนขนพองสยองเกล้า
ยังดีที่นั่นเป็นครั้งเดียวที่เกิดเรื่องโหดร้ายทารุณเช่นนั้น ในบันทึกบอกไว้ว่าการเปิดพื้นที่เมื่อแปดร้อยปีก่อนครั้งนั้น เป็นเพราะในสำนักธาราโลหิตมีอู๋จี๋จื่อ สุดยอดศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่น่าหวาดกลัวอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้บังเกิดขึ้นมา เขาบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง กวาดตะลุยไปแปดทิศ ไม่เพียงแต่สำนักธาราเทพเท่านั้นที่เสียหายอย่างใหญ่หลวง อีกสามสำนักที่เหลือก็เป็นเช่นเดียวกัน และก็เป็นเพราะครั้งนั้นที่แทบจะกำราบลูกศิษย์รุ่นนั้นของอีกสามสำนักที่เหลือได้อย่างราบคาบ ถึงได้ทำให้สำนักธาราโลหิตขึ้นมาอยู่เหนือสำนักธาราทมิฬ กลายมาเป็นผู้นำของสี่สำนักใหญ่
ส่วนอู๋จี๋จื่อผู้นั้น ทุกวันนี้ได้กลายมาเป็นอู๋จี๋เจินเหริน[1]ของสำนักธาราโลหิต
ส่วนการเปิดสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากครั้งอื่นๆ จำนวนคนตายไม่มากมายเช่นนี้ อย่างมากที่สุดก็แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ไม่สามารถสร้างฐานรากชีพจรดินได้สำเร็จ หากระมัดระวังตัวให้มากหน่อยก็ยังพอรักษาชีวิตเอาไว้ได้
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ อัตราการตายครึ่งหนึ่งก็ยังคงทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนผวาสั่นได้อยู่ดี เขาอยากจะปฏิเสธโอกาสครั้งนี้เป็นอย่างมาก ใช้ยาสร้างฐานรากมารวบรวมให้เป็นการสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ เพิ่มอายุขัยขึ้นมาอีกหนึ่งร้อยปีก็พอแล้ว
แต่ความฝันของเขาไม่ใช่แค่เพิ่มอายุขัยหนึ่งร้อยปีเท่านั้น แต่ต้อง…เป็นอมตะ!!
“ข้าจะไม่ทำเพื่อให้มีชีวิตเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งร้อยปี แต่ข้าต้องทำเพื่อให้เป็นอมตะ!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งแดงก่ำ ช่วงเวลาที่ผ่านมา หลังจากที่เขาได้ตรวจสอบจากตำราต่างๆ แล้วก็ยิ่งเข้าใจการสร้างฐานรากชัดเจนมากขึ้น เขาอ่านเจอจากในตำราพวกนั้นว่านับตั้งแต่โบราณกาลมา ไม่มีสร้างฐานรากวิถีมนุษย์คนใดสามารถฝึกได้ถึงขั้นยาอายุวัฒนะ!
คิดจะฝึกให้ได้ถึงขั้นยาอายุวัฒนะ จำเป็นต้องสร้างฐานรากด้วยชีพจรดินเท่านั้น!
และหากสามารถเหยียบย่างเข้าสู่ยาอายุวัฒนะได้ ต่อให้เป็นยาอายุวัฒนะขั้นต่ำสุด อายุขัยที่เพิ่มขึ้นก็อยู่เหนือสร้างฐานรากอยู่มากโข เมื่อคิดตามหลักการเช่นนี้จึงทำให้รู้ว่ายิ่งตบะสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความหวังที่จะได้เป็นอมตะมากขึ้นเท่านั้น
“สามารถหลบเลี่ยงครั้งนี้ไปได้ แต่อีกหนึ่งร้อยปีให้หลังล่ะ…ข้าจะเอาอะไรมาหลีกเลี่ยงความตาย ถึงเวลานั้นข้าจะเสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สร้างฐานรากด้วยชีพจรดินหรือเปล่า?” ตลอดสามเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนถามตัวเองด้วยคำถามข้อนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงท้ายที่สุด เส้นเลือดฝอยในดวงตาของเขาก็ยิ่งมีมากขึ้น ตลอดทั้งร่างไม่ต่างอะไรไปจากคนบ้า กัดฟันกรอด ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
“ทั้งหมดนี้ล้วนเพื่อความเป็นอมตะ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงต่ำพร่า กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาว เหยียบอยู่บนกระบี่วิหคทอง ตรงดิ่งไปยังเขาจ้งเต้าด้วยความรวดเร็ว ลูกศิษย์ชายฝั่งเหนือใต้เพิ่งจะมารวมกันอยู่นอกตำหนักใหญ่เขาจ้งเต้าได้ไม่นาน พริบตานั้นเงาร่างของเขาก็เยื้องกรายมาถึง
————
[1] เจินเหริน หรือ จินหยิน(真人)คือคำเรียกขานของเต้าหยิน (นักบวชในศาสนาเต๋า) ที่บรรลุมรรคผล