บทที่ 167 เมืองผีจิ่วโยว!
ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวชาหนึบ เบิกตาถลน มองเห็นว่าเบื้องหลังมือเล็กๆ ซีดขาวนั้นก็คือใบหน้าที่คล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เต็มไปด้วยความวิปลาสดุร้ายของเด็กหญิงชุดขาว
โดยเฉพาะผมสีนิลปลิวสยายที่ปิดไปครึ่งหน้า ทำให้เด็กหญิงผู้นี้ยิ่งมองก็ยิ่งน่ากลัว บนมือเล็กๆ ข้างนั้นแผ่กลิ่นอายความตายออกมาเป็นระลอก กลายร่างออกมาเป็นงูพิษหลายตัว คล้ายจะมุดลอดเข้าไปตามทวารทั้งเจ็ดและรูขุมขนทุกอณูของป๋ายเสี่ยวฉุน
ทว่าวินาทีที่มือเล็กๆ นี้สัมผัสโดนตัวเขานั้นเอง ปราณชีพจรฟ้าของมหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นในร่างกายของเขาพลันแผ่ซ่านออกมา ทำให้ไอแห่งความตายแตกสลายลง งูพิษเหล่านั้นร้องเสียงโหยหวนหายวับไป ส่วนมือเล็กข้างนั้นก็โรยราลงทันควัน เผยให้เห็นผิวหนังที่ตายไปแล้ว และยังมีน้ำเลือดน้ำหนองหยดติ๋งๆ น่าขนพองสยองเกล้า
มือเล็กนั้นหดกลับทันใด เสียงคำรามแหบแห้งอย่างไม่ยินยอมดังออกมาจากความว่างเปล่า
เวลาเดียวกันนี้ พลังนำส่งรอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดออก เงาร่างของเขาหายไปจากโลกกระบี่อุกกาบาต
หลังจากทุกคนหายไปหมดแล้ว การล่มสลายของโลกกระบี่อุกกาบาตแห่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป ทว่าทันใดนั้น ในรอยปริร้าวแต่ละเส้นบนท้องฟ้าและบนผืนดินกลับปรากฏหมอกควันพวยพุ่งขึ้นมา หมอกนี้เป็นสีเทา พริบตาเดียวก็แผ่คลุมไปทั่วโลก กลิ่นอายความตายระเบิดออก สรรพสิ่งเน่าเปื่อยผุพัง รวมไปถึงค่ายกลนำส่งที่สามารถใช้ได้ครั้งเดียวสี่ค่ายนั้น เวลานี้ก็เปื่อยยุ่ยกลายมาเป็นซากปรักหักพัง
เวลาชั่วพริบตา ตลอดทั้งโลก…ราวกับกลายเป็นเมืองแห่งภูตผีปีศาจ ตามมาติดๆ ด้วยเสียงคำรามแหบเครือฟังไม่ได้ศัพท์ที่ดังออกมาจากกลุ่มหมอกควัน เสียงคำรามแห้งแหบนี้น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ดั่งว่าวิญญาณร้ายทุกตนของที่แห่งนี้ไม่ได้เลื่อนลอยอีกต่อไป แต่มีลางที่จะฟื้นตื่นขึ้นมา
กระบี่เล่มใหญ่ไม่พังถล่มอีกอย่างน่าพิศวง!
นอกกระบี่ยักษ์ พวกโอวหยางเจี๋ยสี่คนเห็นว่าตัวกระบี่หยุดแตกร้าว แต่กลับมีควันสีดำจำนวนมากลอยออกมา พวกเขาสี่คนมองหน้ากัน ด้วยความตกใจ แต่ละคนจึงบินออกไปทันที พยายามเข้าไปด้านในอีกครั้ง ครั้งนี้ราบรื่น เมื่อคนทั้งสี่เหยียบย่างเข้ามาในโลกใบนี้ได้ก็ต้องแตกตื่นเพราะความเปลี่ยนแปลงของสถานที่แห่งนี้
และยิ่งสัมผัสได้ว่าในโลกใบนี้ คล้ายจะมีกระไอความศักดิ์สิทธิ์หลงเหลืออยู่
“กระไอนี้…”
“ปราณชีพจรฟ้า!!! นี่คือปราณชีพจรฟ้า!!” ชั่วขณะที่สีหน้าทุกคนตื่นตะลึงอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นเยียบของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งแฝงไว้ด้วยความอำมหิต…ก็ดังออกมาจากกลุ่มหมอก ดังไปทั่วฟ้าดิน
“ปราณชีพจรฟ้าถูกลูกศิษย์ของพวกเจ้าดูดไปแล้ว นับแต่นี้ไป สถานที่แห่งนี้จะถูกเรียกว่า…เมืองผีจิ่วโยว พวกเจ้าจงไปแจ้งทุกคนให้รู้กันถ้วนทั่ว วันหน้าห้ามเหยียบเข้ามาในนี้แม้เพียงครึ่งก้าว ผู้ใดฝ่าฝืน ดับสำนักปลิดชีวิต!”
วินาทีที่เสียงนี้ดังออกมา เกิดเสียงดังอึงอลขึ้นในจิตของพวกโอวหยางเจี๋ยสี่คน แต่ละคนกระอักเลือด สีหน้าตะลึงพรึงเพริด ริมหูดั่งมีเสียงฟ้าฟาดผ่า ร่างถูกหอบม้วนออกไปจากโลกใบนี้อย่างควบคุมไม่ได้
“จิตวิญญาณร้าย!!” พวกโอวหยางเจี๋ยสี่คนร้องอุทานเสียงหลง พลานุภาพสยบนี้ พวกเขาสัมผัสได้ว่าอยู่เหนือกว่าขั้นก่อกำเนิด แต่ละคนตัวสั่นเทิ้ม คลื่นลูกใหญ่โถมตัวขึ้นสูงในใจ พอออกมาได้ต่างฝ่ายต่างบินทะยานจากไปด้วยความรวดเร็ว ต้องการนำข่าวนี้ไปบอกกับสำนัก
“โลกกระบี่อุกกาบาตกลายมาเป็นเมืองผีจิ่วโยวเสียแล้ว ด้านในมีวิญญาณร้ายตนหนึ่ง…ที่หลังจากถูกปลุกให้ฟื้นตื่น ก็กลายมาเป็นจิตวิญญาณร้าย!!”
“ปราณชีพจรฟ้าถูกดูดเอาไปแล้ว? ใครกัน เป็นลูกศิษย์คนใดของสี่สำนักกันแน่ ดึงดูดเอาชีพจรฟ้าไปได้ นี่ก็หมายความว่าได้…สร้างฐานรากวิถีฟ้า!!”
ขณะที่พวกเขาทั้งสี่คนจากไปไกลด้วยจิตใจที่ตื่นตระหนกนั้นเอง โลกกระบี่อุกกาบาตในอดีตซึ่งบัดนี้กลายมาเป็นเมืองผีจิ่วโยว ท่ามกลางหมอกควัน เด็กหญิงสวมชุดขาวผู้หนึ่งโอบกอดเหลยซานที่ตัวหดเล็กถูกถลกหนังออกเอาไว้ในอ้อมอก ถอนสายตากลับมาจากท้องฟ้า รอบกายของนาง เวลานี้มีวิญญาณร้ายหลายพันหลายหมื่นตนกำลัง…คุกเข่าหมอบกราบ!
เงียบสนิทไร้สรรพเสียง!
มีเพียงดวงตาของเหลยซานเท่านั้นที่แฝงไปด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด คล้ายว่าตกใจและหวาดผวาจนถึงขีดสุด
และข้างกายของเด็กหญิงยังมีหญิงสาวอายุน้อยผู้หนึ่งยืนอยู่ ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวผู้นี้ไร้ชีวิตชีวาราวกับหุ่นเชิด ซึ่งนั่นก็คือ…กงซุนหว่านเอ๋อร์
พิษร้ายบนร่างนางหายไปหมดแล้ว แมลงพิษพวกนั้นก็ไม่มีให้เห็นแล้ว แมงมุมหน้าคนในสมองก็กลายมาเป็นกลุ่มหมอก ตลอดทั้งร่างตั้งแต่ในยันนอก เปลี่ยนเป็นคนใหม่ สะอาดอย่างมาก…
“พี่ชายน้อย เจ้าไม่เล่นเป็นเพื่อนข้า…แต่ไม่เป็นไร อีกไม่นานข้าก็จะออกไปหาเจ้า ให้เจ้าดูว่าอาภรณ์ชุดใหม่นี้ของข้าสวยหรือไม่” เด็กหญิงหัวเราะคิกคัก มองกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายหนึ่งที น้ำเสียงทึบทึม แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
โลกกระบี่อุกกาบาตกลายมาเป็นเมืองผีจิ่วโยว สำหรับโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรตอนล่างแม่น้ำตะวันออกแล้ว นี่คือเรื่องใหญ่ หมายความว่านับแต่นี้ไปสถานที่แห่งนี้จะไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นเขตอันตราย!
อีกทั้งด้านในยังมีวิญญาณร้ายตนหนึ่งถูกปลุกขึ้นมา กลายมาเป็นจิตวิญญาณร้ายที่มีสติปัญญา ซึ่งน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม นี่เป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก ทำให้ผู้อาวุโสสี่สำนักที่หนีออกมาต่างพากันครั่นคร้าม
ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก สำหรับทั้งสี่สำนักแล้ว แม้ว่าผลกระทบจะไม่เล็ก แต่ต่อให้เป็นการสูญเสีย ก็เป็นการสูญเสียร่วมกันของทั้งสี่สำนัก ที่ทำให้ในใจของพวกเขาครั่นคร้ามอย่างแท้จริงคือคำพูดของหญิงสาวผู้นั้น รวมไปถึงสิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้เมื่อครู่…ปราณชีพจรฟ้า!
ปราณชีพจรฟ้าเป็นตัวแทนของสร้างฐานรากวิถีฟ้า
“เป็นใครกันแน่…ลูกศิษย์ของสำนักใดกันที่ได้ปราณชีพจรฟ้าไป!”
“บัดซบ หากเป็นอีกสามสำนักที่เหลือ มีลูกศิษย์สร้างฐานรากวิถีฟ้าเช่นนี้เกิดขึ้น จะต้องฆ่าคนผู้นั้นตั้งแต่ตอนที่ยังอ่อนแอ มิเช่นนั้นหากคนผู้นี้ถึงขั้นรวมโอสถ ถ้าเช่นนั้นก็ยากที่จะขัดขวางไม่ให้เขามีอำนาจเทียมฟ้าได้!”
“ต้องเป็นสำนักธาราโลหิตของข้าแน่ ฮ่าๆ สำนักธาราโลหิตของข้าหลังจากบุรพาจารย์อู๋จี๋จื่อแล้ว ก็จะมี…นักพรตที่ทำให้คนรุ่นเดียวกันของสามสำนักสิ้นหวังปรากฏขึ้นมาอีกคน!”
ผู้อาวุโสสี่สำนัก แต่ละคนขยายความเร็วเต็มกำลัง ขณะเดียวกันกับที่บินห่างออกไปไกล พวกเขาต่างก็หยิบแผ่นหยกถ่ายทอดข้อความเสียงออกมา ส่งข่าวสองข่าวนี้ให้สำนักรู้โดยเร็วที่สุด
ทั้งยังพยายามติดต่อลูกศิษย์ที่ถูกนำส่งออกไป พยายามส่งเสียงสอบถาม แต่กลับพบว่าหลังจากลูกศิษย์เหล่านี้ถูกนำส่งไปแล้ว เนื่องจากคลื่นกลางอากาศรบกวน จึงยากที่จะติดต่อกันได้
ทั้งสี่คนร้อนใจ ทว่าหลังจากที่ข่าวของพวกเขาถูกส่งกลับไปตามแต่ละสำนัก สำนักธาราโลหิต สำนักธาราทมิฬ สำนักธาราเทพ และสำนักธาราโอสถต่างก็แตกตื่นกันหมด กระเทือนไปถึงหูบุรพาจารย์ของทั้งสี่สำนัก จนต้องส่งผู้พิทักษ์สร้างฐานรากและผู้อาวุโสจำนวนมากออกไป หรือแม้แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างเองก็ยังเคลื่อนพลด้วย ต่างร่วมกันตามหาตามขอบเขตโดยรอบสำนักของพวกเขาอย่างเต็มกำลัง
ขอแค่หาลูกศิษย์ของตัวเองคนหนึ่งเจอก็จะรู้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในกระบี่อุกกาบาตกันแน่ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ใครที่ได้…ปราณชีพจรฟ้าไปครอง!
ในสำนักธาราเทพ บุรพาจารย์รุ่นแรกออกคำสั่งด้วยตัวเอง ให้ฝ่ายในจำนวนมาก และยังมีผู้อาวุโสสร้างฐานราก ทั้งหมดบินออกไปนอกสำนักในเวลาเดียวกัน เมื่อมองไป สองชายฝั่งเหนือใต้ล้วนเคลื่อนพลเต็มกำลัง และลูกศิษย์ฝ่ายในเองก็แยกย้ายกันออกไป ภารกิจที่พวกเขาได้รับมาก็คือตามหาลูกศิษย์ที่ถูกนำส่งกลับมาจากหุบเหวกระบี่อุกกาบาต
หากใครหาเจอต้องแจ้งให้ทางสำนักรู้ทันที
สำนักแรกที่หาลูกศิษย์เจอ ไม่ใช่สำนักธาราเทพที่มีคนถูกนำส่งกลับมามากที่สุด แต่เป็นสำนักธาราโอสถที่มีคนได้กลับมาเพียงแค่ห้าคน!
คนของสำนักธาราโอสถที่อยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาต เดิมทีมีแปดสิบคน ตายไปเกินเก้าส่วน ทว่าโชคดีคล้ายจะมาเยือนสายไปนิดในยามนี้ ลูกศิษย์ห้าคนที่ถูกนำส่งกลับมา ถึงกับมีคนหนึ่งถูกส่งตรงมาอยู่นอกประตูสำนักธาราโอสถ
เมื่อผู้อาวุโสและเจ้าสำนักของสำนักธาราโอสถพากันมาถึง การนำส่งก็ทำให้ลูกศิษย์ผู้นี้อ่อนแออย่างถึงที่สุด ลมหายใจรวยรินเต็มที หลังจากได้รับการประคับประคองจากสหายร่วมสำนักและได้หลอมรวมพลังวิญญาณเข้าไปแล้ว จึงพอฝืนอ้าปากขึ้นมาได้ ร่างของเขาสั่นเทา นัยน์ตายังหลงเหลือความตะลึงและหวาดผวา ในน้ำเสียงที่อ่อนเบาแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว
“ตายกันหมดแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ฟางหลินตายแล้ว ศิษย์พี่หญิงจ้าวโหรวก็ตายแล้ว ล้วนถูกเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนชั่วช้าแห่งสำนักธาราเทพสังหารจนสิ้น!!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน…ชีพจรดินน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้ง สุดท้ายแย่งชิงปราณชีพจรฟ้ามาจากซ่งเชวีย สร้างฐานราก…วิถีฟ้าได้สำเร็จ!!”
เสียงของลูกศิษย์ผู้นี้ดังก้อง จิตใจของลูกศิษย์ ผู้อาวุโส รวมไปถึงเจ้าสำนักธาราโอสถที่อยู่รอบด้านล้วนสั่นสะเทือนกันไปหมด แต่ละคนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เบิกตากว้าง เผยความไม่อยากเชื่อ
“สร้างฐานราก…วิถีฟ้า?!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน? สำนักธาราเทพ?”
“รีบแจ้งให้สายลับทุกคนที่อยู่ในขอบเขตของสำนักธาราเทพทราบทันที จงเคลื่อนพลกันให้หมด ก่อนที่สำนักธาราเทพจะตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนเจอ ต่อให้สูญเสียเท่าไหร่ก็ต้องสังหารคนผู้นี้ให้ได้!!” ดวงตาทั้งคู่ของเจ้าสำนักธาราโอสถวาววับ เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
————