Skip to content

A Will Eternal 166

บทที่ 166 สร้างฐานรากวิถีฟ้า!

โลหิตปลิดโลกา คือวิชาที่สืบทอดกันมาของยอดเขาจงเฟิงสำนักธาราโลหิต มีเพียงลูกศิษย์ของเขาจงเฟิงเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกได้ อีกทั้งตามหลักการแล้ว มีเพียงนักพรตสร้างฐานรากเท่านั้นถึงจะสามารถร่ายคาถาได้ ตอนที่ซ่งเชวียยังอยู่ในขั้นรวมลมปราณก็พอนำมาใช้ได้เล็กน้อย ตอนนี้อยู่ในขั้นสร้างฐานรากชีพจรดินแล้วจึงร่ายออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ต่อให้เป็นเพียงแค่ท่วงท่าแรก ทว่ายามที่ชักดาบตวัดฉับ นภากาศก็ถูกแสงกระบี่สีเลือดตัดแยก แสงกระบี่สีเลือดนี้เข้ามาแทนที่ทุกสิ่งอย่าง กลายเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ดำรงอยู่ระหว่างฟ้าดินรอบด้าน พุ่งพรวดเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนทันใด

ถึงกระทั่งที่ว่าเมื่อมองอย่างละเอียด จะเห็นได้ชัดว่ากระบี่โลหิตเล่มนี้เป็นเพียงไอกระบี่เส้นหนึ่ง ไอกระบี่นี้ดุจดั่งสายรุ้ง พาดผ่านที่ใดก็ตัดทอนทุกสิ่งที่มีตัวตน ชั่วขณะที่ปะทะเข้ากับกระบี่ไม้เล่มเล็กของป๋ายเสี่ยวฉุน กระบี่ไม้พลันแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ต่อให้จะผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วสามครั้ง คุณสมบัติเปลี่ยนไป แต่ก็ยังคงพังทลายทันที

ส่วนกระบี่วิหคทอง เนื่องจากคุณสมบัติสูงกว่า หลังจากหลอมพลังจิตสามครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เมื่อปะทะกับไอกระบี่เส้นนั้น แม้จะถูกเหวี่ยงกระเด็นไปไกลและมืดสลัวลงไม่น้อย ทว่ากลับไม่เสียหายมากนัก

ซ่งเชวียคำรามแหบห้าว ดวงตาฉายแววคลุ้มคลั่ง ยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิม การต่อสู้ครั้งแรกของเขากับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาไม่ได้ใช้ท่ากระบี่โลหิตนี้ก็เพราะด้วยตบะของเขาในตอนนี้ยังร่ายออกมาได้แค่กระบี่เดียว!

นี่คือท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่ากระบี่นี้จะไม่มีปัญหา เขายังถึงขั้นนำก้อนเลือดล้ำค่าก้อนสุดท้ายออกมาใช้อย่างไม่เสียดาย ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนบาดเจ็บหนักก่อน ต่อมาจึงร่ายท่ากระบี่โลหิตนี้

เพื่อรับประกันว่าทุกอย่างจะไม่มีทางพลาดเด็ดขาด!

“ถ้าไม่ให้ปราณชีพจรฟ้าแก่ข้า ก็จงตายไปซะ!”

ศึกตัดสินแพ้ชนะระหว่างนักพรต แม้การวางอุบายชิงไหวชิงพริบจะสำคัญ ทว่าไม่จำเป็นต้องใช้ลูกไม้เยอะเกินไป สิ่งที่จำเป็นคือช่วงเวลาเหมาะสม ขณะเดียวกันกับที่ตัดกำลังของอีกฝ่าย ก็ให้พละกำลังของตัวเองระเบิดออกมาสมบูรณ์แบบมากขึ้น เท่านี้ก็เพียงพอ!

และที่ซ่งเชวียมั่นใจยิ่งกว่าเดิมก็คือการฟื้นตัวของวิชาลับจะะทำให้บาดแผลตลอดร่างของเขาประสานตัวหายดีได้ในชั่วระยะเวลาอันสั้น ฟื้นตัวจนพลังรบกลับมาเต็มสิบส่วน เขาเชื่อมั่นว่าทุกอย่างที่ตนเตรียมตัวมาต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

แต่ชั่วขณะที่กระบี่ฟันฉับลงไป นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนมีประกายแปลกประหลาดวาบผ่าน คล้ายรู้สึกแปลกใจกับกระบี่โลหิตนี้เล็กน้อย ทว่ายามนี้ไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก แสงสีทองตลอดร่างของเขาที่มืดสลัวลงอยู่ๆ ก็ระเบิดตูมออกมาหมด มือขวายกขึ้นเร็วราวสายฟ้าแลบ สองนิ้วยื่นตรงเข้าหาลำคอซ่งเชวีย

ประหนึ่งต้องการให้พินาศไปด้วยกัน!

ซ่งเชวียหน้าเปลี่ยนสี ทว่าก็เผยสีหน้าดุร้ายออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่หลบหลีก แต่ยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้น ขณะเดียวกันกับที่กระบี่โลหิตฟันฉับลงบนไหล่ของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแรง นิ้วทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาปรากฏอยู่บนลำคอของซ่งเชวียแล้วบีบลงไปอย่างแรงเช่นกัน

เสียงกร๊อบดังหนึ่งครั้ง ทว่าลำคอของซ่งเชวียกลับพร่าเลือน เกิดเป็นเงาสีเลือดทับซ้อน ป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าไว้ได้เพียงความว่างเปล่า เช่นเดียวกัน กระบี่นั้นของซ่งเชวียมองดูเหมือนฟันลงมาบนไหล่ของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เมื่อแสงสีทองทั่วร่างป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดออก ผิวหนังทองคงกระพันรวมตัวหนาแน่นจึงต้านทานเอาไว้ได้ ทำให้กระบี่นั้นฟันไม่เข้า ราวกับ…สูญเสียประสิทธิภาพที่ควรมีไป และก็ราวกับ…พลานุภาพลดน้อยลง ดั่งป๋ายเสี่ยวฉุนมีแรงต้านทานโดยธรรมชาติ!

ซ่งเชวียและป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดเผือดพร้อมกัน ทว่าคนทั้งสองกลับไร้ซึ่งความลังเล หลังจากสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีการเตรียมรับมือเอาไว้นานแล้ว จึงร่ายเวทต่อไปทันที

“ตราโลหิตผัน!” ซ่งเชวียคำรามเสียงต่ำ กระบี่โลหิตในมือพังทลายลงไปในพริบตา กลายร่างมาเป็นตราสีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมไปทั่วร่างป๋ายเสี่ยวฉุน จากนั้นก็ระเบิดออกตูมตามพร้อมเพรียงกัน

เวลาเดียวกันนี้ตรวนสลายลำคอบนมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทำมุทราว่องไวแล้วชี้ไปที่ซ่งเชวีย ภายใต้การชี้นี้ พลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางระเบิดออกเต็มกำลัง ไม่ใช่วิชาลมปราณม่วงควบคุมกระถาง ไม่ใช่ยกหนักเสมือนเบา แต่เป็น…วิชาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยฝึกมาหลายครั้ง และยังไม่เคยคิดล้มเลิกอย่าง…มหาเวทควบคุมคน!

ตอนอยู่ชายฝั่งทิศเหนือ มหาเวทควบคุมคนนี้ไม่เคยทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพอใจ เพราะมันทำให้เกิดอุบัติเหตุกับแขนขาของพวกสัตว์รบได้เท่านั้น ยากที่จะควบคุมได้ดั่งใจ

ทว่าตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ต้องการให้ควบคุมได้ดั่งใจ แต่ต้องการอุบัติเหตุหนึ่งเท่านั้น!

พลังควบคุมแผ่กระจายออกไปอย่างไร้รูปลักษณ์ ทำให้หลังจากที่ซ่งเชวียหลบพ้นการโจมตีแรกไปได้ แขนขาทั้งสี่เกิดไม่ประสานงานกัน ท่อนล่างพุ่งมาข้างหน้ากะทันหัน คล้ายถูกคนผลักจากด้านหลัง โซซัดโซเซราวกับจะล้มลง เขาหน้าถอดสีทันที เพราะเมื่อร่างกายได้รับผลกระทบเช่นนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องรักษาเอาไว้ แม้จะไม่ใช่ลำคออีกต่อไป แต่มันกลับกลายมาเป็น…จุดตันเถียน!

ทั้งหมดนี้ฟังดูแล้วเหมือนนาน แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นแค่เวลาชั่วสายฟ้าแลบเท่านั้น พริบตานั้นเสียงกึกก้องก็ดังสะท้านไปทั้งแผ่นฟ้า ตราสีเลือดบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดออก พังทลายลงไปทีละชั้น ทำให้เขาพ่นเลือดสดออกมาหลายคำ ทว่าในขณะเดียวกัน เขาก็เอื้อมมือออกไป ตรวนสลายลำคอสำแดงเดชอีกครั้ง คว้าหมับเข้าที่หน้าท้องจุดตันเถียนของซ่งเชวีย

ซ่งเชวียขวัญหนีดีฝ่อ ความสำคัญของจุดตันเถียนสำหรับเขาแล้ว แม้จะไม่ทำให้ถึงตาย แต่กลับเป็นที่ตั้งของมหาสมุทรวิญญาณ ที่ตั้งของปราณชีพจรฟ้า เวลานี้กำลังคิดจะตอกกลับ ทว่าในตรวนสลายลำคอของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีพลังดึงดูดโผล่ขึ้นมากะทันหัน ราวกับว่าก่อนหน้านี้ได้เก็บกลั้นเอาไว้ ยามนี้ถึงได้ระเบิดออกมาเต็มกำลัง

อาศัยแรงดึงดูด พริบตาเดียวตรวนสลายลำคอบนมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลอดทะลุเข้าไปในท้องของซ่งเชวียโดยตรง จมลึกลงไปในเลือดเนื้อ เข้าไปในมหาสมุทรวิญญาณในจุดตันเถียน

ท่ามกลางเสียงหวีดร้องเจ็บปวดของซ่งเชวีย ตรวนสลายลำคอของป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะบีบลงไป หากบีบลงไปเมื่อใด มหาสมุทรวิญญาณในจุดตันเถียนของซ่งเชวียก็จะพังทลายลง

หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น เวลาสั้นๆ แค่นี้คงไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดและรักษาชีวิตเอาไว้ได้เท่าใดนัก ท้ายที่สุดมหาสมุทรวิญญาณย่อมแตกสลาย ทว่าซ่งเชวีย…ในฐานะที่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งผู้เชิดหน้าชูตาสำนักธาราโลหิต เขาไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง!

ชั่วขณะที่วิกฤตมาเยือน เขาตัดสินใจเฉียบขาด ส่งปราณชีพจรฟ้าในร่างกายกระแทกเข้าไปในมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยื่นเข้ามาในจุดตันเถียนของตน

อาศัยแรงจากการกระแทกของปราณชีพจรฟ้า ก่อให้เกิดเป็นพลังมหาศาลระลอกหนึ่งระเบิดขึ้นโดยตรงที่จุดตันเถียนของเขา เขย่าคลอนมหาสมุทรวิญญาณแปดชั้น เสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่น ทำให้มหาสมุทรวิญญาณแปดชั้นเกิดรอยปริร้าวเป็นจำนวนมาก แต่ขณะเดียวกันก็ใช้พลังระเบิดนี้ผลักกระแทกมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนให้ออกไปจากร่างกายของตัวเองเช่นกัน!

ต่อให้ต้องสละปราณชีพจรฟ้าไป ต่อให้มหาสมุทรวิญญาณในร่างเกิดรอยแตกร้าวมากมาย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นพังทลาย ซ่งเชวียหน้าซีดเผือด กระอักเลือด หมุนตัวเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวหลัง

และตอนที่จะหนีไปเขายังข่มกลั้นความเจ็บปวดมหาศาลและความอ่อนแอของร่างกาย บีบแผ่นหยกหนึ่งแผ่นจนแหลกละเอียด พริบตาที่แผ่นหยกแตกกระจาย จุดเชื่อมต่อเหล่านั้นที่ก่อนหน้านี้เขาจัดวางไว้ในโลกกระบี่อุกกาบาตก็…ปริแตกทันที!

รอยแตกแผ่ขยายไปทั่วตัวกระบี่เล่มใหญ่อย่างรวดเร็ว! เดิมทีซ่งเชวียทำไม่ได้ถึงขนาดนี้ แต่ปราณชีพจรฟ้าคือกุญแจสำคัญในการค้ำประคองกระบี่ใหญ่ไม่ให้เสื่อมสลาย ตอนนี้ปราณชีพจรฟ้าหายไป พลังค้ำยันสูญหาย เดิมทีก็ง่อนแง่นอยู่แล้ว บวกกับค่ายกลจุดเชื่อมต่อที่สำนักธาราโลหิตคิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะระเบิดออกพร้อมกัน พอตัวกระบี่สั่นสะเทือน แน่นอนว่าย่อมพังถล่มลงมา!

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ เวลานี้บนมือขวาของเขามีปราณชีพจรฟ้าส่วนที่เหลือนั้นอยู่ครบถ้วน กำลังหลอมรวมเข้าสู่ฝ่ามือของตนอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ทะลุทะลวงเข้าไปในร่างกาย เข้าไปในจุดตันเถียน ผสมรวมเข้ากับปราณชีพจรฟ้าอีกส่วนหนึ่ง หลังจากกลายมาเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ตลอดทั้งมหาสมุทรวิญญาณในจุดตันเถียนของเขาพลันเดือดพล่านขึ้นมาทันที!

ปราณของวิถีฟ้าก็ยิ่งพุ่งพรวดขึ้นสูง เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ แผ่กระจายไปทั่วโลกราวกับพลิกภูเขาคว่ำทะเล ทำให้ลูกศิษย์สี่สำนักทุกคนที่เหลืออยู่สัมผัสได้ ขณะที่ทุกคนหันไปมองด้วยความตะลึงพรึงเพริดก็ได้เห็นทันทีว่าระหว่างฟ้าดินในทิศทางที่ปราณนี้ลอยมา ปรากฏหนึ่งใบหน้าขนาดมโหฬาร!

ใบหน้านั้นก็คือ…ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน…สร้างฐานรากวิถีฟ้า!”

ซ่งเชวียที่กำลังกระอักเลือดพลางห้อตะบึงจากไปไกลก็มองเห็นภาพนี้เช่นกัน ฝีเท้าของเขาชะงักกึก เงยหน้าขึ้นจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เกิดจากปราณวิถีฟ้า ดวงตาทั้งคู่แดงฉาน มือทั้งสองกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้าไปในเนื้อ แม้เลือดสดจะไหลแหมะๆ เขาก็ไม่รู้สึกตัว

“ป๋าย! เสี่ยว! ฉุน!”

ขณะที่ทุกคนรอบด้านรู้สึกซับซ้อนและตื่นตะลึงอยู่นั้น ปราณวิถีฟ้าเข้มข้นไร้ที่สิ้นสุดอยู่ในจุดตันเถียนของป๋ายเสี่ยวฉุน มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นของเขากำลังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทอง ดูจากความเร็วนี้ คาดว่าใช้เวลามากสุดสามถึงห้าวันก็น่าจะเสร็จสิ้น และเมื่อมหาสมุทรวิญญาณเปลี่ยนเป็นสีทองทั้งหมดแล้ว ก็หมายความว่า…ป๋ายเสี่ยวฉุนได้…

สร้างฐานรากวิถีฟ้าสำเร็จ!

ตบะของเขา พลังแฝงของเขา อายุขัยของเขา พลันไต่ระดับขึ้นสูงในนาทีนี้ ความรู้สึกเช่นนั้นคล้ายกับจะขานรับไปถึงฟ้าดินแท้จริงนอกโลกกระบี่อุกกาบาตใบนี้ด้วย และที่ยิ่งเขย่าคลอนจิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือ ยามนี้เขามีความรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าเหนือท้องฟ้าที่ไกลโพ้นออกไป คล้ายว่า…จะยังมีฟ้าดินอีกหนึ่งชั้น ที่นั่นเต็มไปด้วยกาลเวลาอันยาวนาน เต็มไปด้วยบรรพกาลดึกดำบรรพ์!

ความรู้สึกนี้หายไปในพริบตา ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจระคนสงสัย ใจคิดอยากจะไล่ล่าซ่งเชวีย ฉวยโอกาสสังหารเขาตอนที่กำลังอ่อนแอ ทว่าก่อนที่ซ่งเชวียจะจากไปได้บีบแผ่นหยกแตก จุดเชื่อมต่อปริร้าว ส่งผลกระทบต่อโลกกระบี่อุกกาบาตทั้งใบ ผลกระทบนี้ลามจากตัวกระบี่มายันด้านในกระบี่!

ท้องฟ้าเกิดแตกเปรี๊ยะดังกัมปนาท แต่ละเสียงราวกับเสียงอสนีบาต รอยแตกร้าวขนาดยักษ์แต่ละเส้นแผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า ส่วนบนผืนแผ่นดินก็เป็นเช่นเดียวกัน ภูเขาสูงพังถล่มทลาย พื้นที่ราบปูดนูน รอยปริแตกทอดยาวไปทั่วพื้น

คล้ายว่าตลอดทั้งโลกกำลังจะพังทลายลงมา!

“แย่แล้ว นี่มันอะไรกัน!”

“สวรรค์ หรือว่าโลกกระบี่อุกกาบาตแห่งนี้จะพังถล่มเสียแล้ว!!” ลูกศิษย์ที่อยู่ในนี้พรั่นพรึงกันไปหมด นอกหุบเหวกระบี่อุกกาบาต เสอหลินจื่อ โอวหยางเจี๋ยรวมไปถึงผู้อาวุโสของสำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถ เดิมทีกำลังนั่งทำสมาธิรออยู่ ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์จะปิดตัวลง ทว่ายามนี้คนทั้งสี่หน้าเผือดสี หันไปมองกระบี่ยักษ์อย่างพร้อมเพรียงกัน

รอยปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ยาวเต็มตัวกระบี่ พริบตาเดียวก็แตกระแหงออกหมด!

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

“กระบี่อุกกาบาตจะพังทลาย!!”

“สมควรตายเอ๊ย พวกเราก็เข้าไปไม่ได้ด้วย!” ทั้งสี่คนหน้าเปลี่ยนสี ในใจตกตะลึงระคนสงสัย ไม่รู้ว่าด้านในนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงได้ทำให้กระบี่ยักษ์เล่มนี้พังถล่มได้!

พวกเขาพยายามจะเข้าไปในโลกของกระบี่ยักษ์ แต่กลับถูกต่อต้านให้อยู่ด้านนอก

“ปีนั้นที่ค้นพบสถานที่แห่งนี้ เพื่อปกป้องอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น บุรพาจารย์ของทั้งสี่สำนักจึงจัดวางค่ายกลนำส่งของสำนักใครสำนักมันเอาไว้ในตัวกระบี่ ซึ่งจะถูกกระตุ้นก็ต่อเมื่อโลกพังทลายลง แม้การพังทลายจะส่งผลกระทบ หรือบางทีอาจทำให้การนำส่งกลับสำนักไม่แม่นยำ ทว่าหากมีการเปิดใช้ก็จะส่งลูกศิษย์กลับไปยังสถานที่ใกล้เคียงกับสำนักได้…คงไม่เป็นอะไร” ทั้งสี่คนหน้าถอดสี ขณะที่ในใจกำลังร้อนรน ต่างก็คิดถึงข้อนี้ขึ้นมาได้

เวลาเดียวกันนั้นในโลกกระบี่อุกกาบาต เนื่องจากฟ้าดินแตกสลาย ค่ายกลขนาดยักษ์สี่ค่ายแผ่กระจายพลังนำส่งระลอกหนึ่งออกไปทั่วทั้งโลกทันที ปกคลุมตัวของลูกศิษย์ทุกคนเอาไว้

แยกแยะลูกศิษย์แต่ละสำนักจากลมปราณ และวิชาพื้นฐานที่ฝึกฝน เริ่มการนำส่ง!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลูกศิษย์ทั้งสี่สำนักที่อยู่ในนี้ทุกคนเมื่อถูกแสงนำส่งปกคลุมร่างก็หายวับไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน มองการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน เขาไพล่นึกถึงพลังที่ไม่อาจต่อต้านซึ่งผู้อาวุโสโอวหยางเจี๋ยเคยพูดถึง

พริบตาเดียว เบื้องหน้าของเขาก็มืดสนิท พลังนำส่งปรากฏไปรอบกายของเขา ร่างกำลังจะถูกส่งไป ทว่าทันใดนั้นมีมือเล็กๆ มือหนึ่งยื่นออกมาจากความว่างเปล่า คว้าจับป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ ขัดขวางไม่ให้เขาจากไป

“พี่ชาย อยู่ต่อเป็นเพื่อนข้าเถอะ…”

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version