Skip to content

A Will Eternal 219

บทที่ 219 สร้างฐานรากขั้นกลาง

หมอกสีเลือดซัดตลบอบอวล เงียบงันกันไปตลอดทาง กลับมาถึงสำนักธาราโลหิต ทุกคนต่างก็มีเรื่องในใจ ไม่มีใครพูดจา ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งไร้ซึ่งคำพูด คอยหันหน้ากลับไปมองยังทิศทางของสำนักธาราเทพอยู่ตลอดเวลา

จนกระทั่งกลับมาถึงถ้ำที่เขาจงเฟิงก็เป็นเวลาสายัณห์แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งเงียบอยู่ในถ้ำ มองสีท้องฟ้าที่ค่อยๆ ดำมืด มองพระจันทร์สีเลือดที่ลอยสูงกลางฟ้า เขาเข้าใจดี เรื่องที่ทั้งสองสำนักจะเปิดศึกต่อกัน ไม่ใช่เรื่องที่เขาสามารถตัดสินใจได้ มันคือการเดิมพันกันระหว่างบุรพาจารย์ของสองสำนัก

เขารู้สึกเหนื่อยล้าในใจเล็กน้อย สำหรับเรื่องรบราฆ่าฟันกันเช่นนี้ เขาไม่ยินดีอยากไปสัมผัสกับมัน ทว่าในบางครั้งจุดที่เขายืนอยู่ ไม่ใช่คิดว่าอยากหลบเลี่ยงก็จะหลบเลี่ยงได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ส่ายหัวแรงๆ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงเอาวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญนั้นมาให้ได้ก่อนเปิดศึก แล้วกลับไปยังสำนักธาราเทพ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ให้จิตใจของตัวเองสงบลง เริ่มทำสมาธิ ปราณเลือดรอบด้านไหลทะลักเข้ามาหลอมรวมในร่างกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขั้นแรกของบทเนื้อคงกระพันของเขาเริ่มไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ พละกำลังก็เพิ่มมากขึ้นช้าๆ

ขั้นที่หนึ่งของบทเนื้อคงกระพันคือร่างสิบคชสารสิบผีร้าย ตอนนี้ภายใต้การบำเพ็ญตบะของป๋ายเสี่ยวฉุน พละกำลังของเขานับวันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น มีพลังผีร้ายสองตนแล้ว

รอจนมีพลังผีร้ายครบสิบตนเมื่อไหร่ เขาก็จะสามารถฝ่าทะลุขั้นที่หนึ่งของเนื้อคงกระพันไปได้ แปลงร่างผีร้ายให้กลายมาเป็นปีศาจฟ้า!

เวลาเดียวกัน น้ำของแม่น้ำทงเทียนหยดนั้นที่อยู่กลางมหาสมุทรวิญญาณชั้นหนึ่งในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ระหว่างการบำเพ็ญตบะช่วงนี้มันก็ค่อยๆ หลอมละลายไปเช่นกัน ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งส่วน ดูท่าแล้วคงใช้เวลาไม่นานก็จะสามารถดูดซับได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสองเดือน สองเดือนมานี้ แม้ว่าสำนักธาราโลหิตจะเตรียมการทำสงครามอยู่ตลอดเวลา ทว่าสงครามไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เมื่อเริ่มขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ยากที่จะหยุดลงได้ โดยเฉพาะสงครามที่เกี่ยวกับอนาคตของสำนักก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

ต่อให้เป็นในสำนักธาราโลหิตเองก็ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะเปิดศึกเป็นหลัก ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งแปดคน มีบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง อู๋จี๋จื่อและบุรพาจารย์อีกสองคน จุดยืนของพวกเขาสี่คนเหมือนกัน นั่นก็คือหากไม่รบได้ ก็พยายามจะไม่รบ

ทว่ายังมีบุรพาจารย์อีกสามคนที่กลับเป็นฝ่ายกระหายสงคราม โดยเฉพาะฮั่นเหยียนเจินเหริน หนึ่งในบุรพาจารย์ที่เนื่องจากพรสวรรค์ในสำนักแทบจะใกล้เคียงกับบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง ต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับอาวุโส คำพูดของเขาจึงมีความน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง

ฮั่นเหยียนเจินเหรินผู้นี้กับบุรพาจารย์อีกสองคน ทั้งสามคนต่างก็สนับสนุนให้ทำสงคราม ช่วงที่ผ่านมาจึงเกิดความขัดแย้งเรื่องปัญหาด้านการสู้รบกับพวกบุรพาจารย์ตระกูลซ่งสี่คนเป็นประจำ

และบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งซึ่งสามารถตัดสินใจทุกเรื่องในสำนักธาราโลหิตได้กลับยังคงเงียบงัน การตัดสินใจของเขานั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทว่าตัวเขาเองกลับยังคงลังเล

ขณะที่ระหว่างบุรพาจารย์ของสำนักปรึกษาหารือกันและเกิดความขัดแย้งกันเองนั้น การเตรียมทำสงครามของสำนักธาราโลหิตก็ยังคงดำเนินการต่อไป ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุน ในที่สุดวันนี้ น้ำของแม่น้ำทงเทียนเส้นสุดท้ายในมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หนึ่งในร่างกายได้ดูดซับและหลอมละลายเข้าไปในมหาสมุทรวิญญาณแล้ว

เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหวสะท้อนก้องอยู่ในร่างกายของเขา คนนอกไม่ได้ยิน ทว่าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสั่นเยือก สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หนึ่งของตัวเอง ยามนี้แสงสีทองสาดส่องไปหมื่นจั้ง ทั้งยังมีเสียงคึ่กๆ ดังลอยมา สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หนึ่งของเขา…ค่อยๆ เริ่มตกผลึก!

ผลึกมหาสมุทรวิญญาณ!

ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทา ลมหายใจถี่กระชั้นน้อยๆ มือทั้งคู่ทำมุทรากดไปที่จุดตันเถียน มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หนึ่งในร่างกายของเขายิ่งตกผลึกเร็วมากขึ้น ขณะที่เสียงคึ่กๆ ยิ่งดังรุนแรง ตลอดทั้งมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หนึ่งก็พลัน…แข็งตัว!

ไม่ใช่มหาสมุทรวิญญาณที่มีลักษณะเป็นของเหลวอีกต่อไป ทว่ากลายมาเป็น…ผนึกใสราวกระจก!

ขณะที่ผลึกใสแข็งตัว บนมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หนึ่งก็ระเบิดพลังที่เหนือล้ำเกินกว่ามหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หนึ่งมากถึงสิบเท่า ขณะที่มันแผ่กระจายไปทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันตัวสั่นเทิ้ม การที่ตบะแผ่ออกไปแบบนั้น ทำให้บัดนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองแตกต่างไปจากที่เคยเป็น!

นักพรตสร้างฐานรากวิถีมนุษย์มีเพียงมหาสมุทรวิญญาณชั้นเดียว น้ำมหาสมุทรไม่มาก เรียกได้ว่าเป็นเพียงแค่ทะเลสาบวิญญาณเท่านั้น

มีเพียงนักพรตสร้างฐานรากวิถีดินเท่านั้นถึงจะมีมหาสมุทรวิญญาณปรากฏออกมาได้อย่างแท้จริง น้ำขึ้นน้ำลงหนึ่งครั้งก็คือมหาสมุทรวิญญาณหนึ่งชั้น!

ระหว่างทะเลสาบวิญญาณและมหาสมุทรวิญญาณก็คือความต่างระหว่างวิถีมนุษย์และวิถีดิน!

และการตกผลึกก็คือสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง คือสัญลักษณ์ของสร้างฐานรากขั้นกลาง หากตกผลึกเมื่อไหร่ก็คล้ายกับการลอกคราบ โดยพื้นฐานแล้วสามารถระเบิดพลังสิบเท่า เนื่องจากเดิมทีมหาสมุทรวิญญาณของวิถีดินก็กว้างใหญ่กว่าทะเลสาบวิญญาณของวิถีมนุษย์อยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้มีการระเบิดสิบเท่าเหมือนกัน แต่เนื่องจากพื้นฐานต่างกัน ระยะห่างนี้จึงถูกดึงออกไปอีก

เช่นเดียวกัน จำนวนน้ำขึ้นน้ำลงของวิถีดินที่ต่างกันก็ทำให้ชั้นของมหาสมุทรวิญญาณไม่เท่ากัน และเวลาอย่างตอนนี้ก็จะยิ่งแสดงออกให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของจุดสูงสุดสร้างฐานรากวิถีดินช่วงกลาง มหาสมุทรวิญญาณทั้งสามชั้นแรกจึงต้องตกผลึกทั้งหมด!

หากคิดจะบรรลุสู่สร้างฐานรากช่วงท้าย จะต้องใช้มหาสมุทรวิญญาณหกชั้นแรก…หลังจากที่มหาสมุทรวิญญาณทั้งเก้าชั้นตกผลึกหมดแล้วก็คือสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบ!

ทว่าเนื่องจากผู้ที่มีมหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นนั้นหาได้ยากยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน ดังนั้นสัญลักษณ์นี้จึงกำหนดไว้ให้สำหรับผู้ที่สร้างน้ำขึ้นน้ำลงวิถีดินเก้าครั้งเท่านั้น เนื่องจากจำนวนชั้นของมหาสมุทรวิญญาณแต่ละคนไม่เท่ากัน ทุกคนจึงมีความแตกต่างกันออกไป และนี่ก็ก่อให้เกิดช่องว่างที่ทำให้วิถีมนุษย์และวิถีดินไม่สามารถข้ามผ่านก้าวก่ายกันได้

สร้างฐานรากวิถีมนุษย์ ต่อให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีปริมาณของผลึกมหาสมุทรวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นเดียวเท่านั้น ยากที่จะเปลี่ยนแปลง ต่อให้บรรลุถึงขั้นทับซ้อนวิถีดิน อย่างมากที่สุด…ก็บรรลุถึงระดับของผลึกมหาสมุทรวิญญาณชั้นแรกของวิถีดินเท่านั้น! และที่สร้างฐานรากวิถีมนุษย์แทบจะไม่สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมโอสถได้สำเร็จก็เป็นเพราะเหตุนี้!

ส่วนสร้างฐานรากวิถีดิน ต่อให้สร้างน้ำขึ้นน้ำลงเพียงครั้งเดียว แต่เนื่องจากเดิมทีก็สร้างมหาสมุทรวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ดังนั้นภายใต้การสะสมอย่างต่อเนื่องก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย ผลึกมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หนึ่ง เนื่องจากปริมาณมีมากพอจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ฝ่าทะลุขอบเขตของสร้างฐานราก เพียงแต่ว่าอัตราความเป็นไปได้มีน้อยมากเท่านั้น

ส่วนมหาสมุทรวิญญาณสองชั้น โอกาสในการฝ่าทะลุก็ยิ่งมีมากกว่าเล็กน้อย ห้าชั้นขึ้นไป ถึงจะเรียกได้ว่าอยู่ในขอบข่ายปกติ หากสามารถบรรลุถึงเจ็ดชั้น ความเป็นไปได้ที่จะฝ่าทะลุก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น หากแปดชั้น ความหวังในการฝ่าทะลุยิ่งสูง ส่วนเก้าชั้น…ก็แทบจะมีความเป็นไปได้ถึงเก้าส่วนว่าจะสามารถฝ่าทะลุสร้างฐานรากได้

ทว่าสิ่งเหล่านี้…ต่างก็เป็นแค่วิถีมนุษย์และวิถีดินเท่านั้น ส่วนชีพจรฟ้าที่หายากยิ่งกว่าจุดสูงสุดของชีพจรดิน…เนื่องจากมีปราณวิถีฟ้าดำรงอยู่ จึงสามารถระเบิดได้สิบเท่าเช่นเดียวกัน ทว่าไม่ว่าจะเป็นด้านพลังอำนาจหรือด้านการตกผลึกต่างก็มีพลานุภาพสยบรุนแรงยิ่งกว่าวิถีดิน โดยเฉพาะป๋ายเสี่ยวฉุน…เขาสร้างฐานรากวิถีฟ้าหลังจากไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดเก้าครั้งของวิถีดิน การดำรงอยู่ของเขา สำหรับนักพรตคนใดก็ตามที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน สามารถเรียกได้ว่าก่อให้เกิดพลังที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าบดขยี้!

ประสิทธิผลนี้ ในช่วงต้นของสร้างฐานรากนั้นยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก ช่วงกลางของสร้างฐานรากจะแผ่กระจาย ส่วนช่วงท้ายของสร้างฐานรากจะระเบิดออก เมื่อสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์ ในขอบเขตของสร้างฐานรากเขาก็จะกลายมาเป็น…การดำรงอยู่ของคนที่เรียกได้ว่าไร้คู่ต่อสู้

“แปลงมหาสมุทรเป็นผลึก นี่ก็คือสัญลักษณ์ของการเหยียบย่างเข้าสู่สร้างฐานรากช่วงกลาง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากสัมผัสได้ว่ามหาสมุทรวิญญาณชั้นแรกในร่างกลายมาเป็นผลึก ผลึกนี้ยังไม่หยุดชะงัก แต่พลันแผ่ขยายออกกว้างในพริบตา เขามองเห็นว่ามหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สองของตัวเอง ยามนี้ก็เกิดลางตกผลึกเช่นกัน

เสียงคึ่กๆ ยิ่งรุนแรง ดังก้องอยู่ในจิตวิญญาณของเขา เวลาผ่านไป หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม ตบะในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเกิดเสียงดังสนั่น หลังจากมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สองของเขากลายเป็นผลึกอย่างสมบูรณ์แบบ…มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สาม…ก็เริ่มตกผลึก!

ตูมๆๆ

เสียงกึกก้องดังสะท้อนอยู่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน เขามองมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สามของตัวเองค่อยๆ แข็งตัว จนกระทั่งเช้าตรู่ของวันที่สอง เมื่อแสงอรุณแรกสาดส่องลงมา เสียงดังกัมปนาทในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหยุดชะงัก ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกโพลง ประกายแสงจ้าบาดตาเปล่งออกมาจากดวงตาทั้งคู่ของเขา

เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณในร่างที่ยามนี้เพิ่มขึ้นมากว่าก่อนหน้านั้นมากมายมหาศาล พละกำลังนี้ส่วนใหญ่แล้วมาจากผลึกมหาสมุทรวิญญาณสามชั้นแรก ถึงขั้นที่ว่าทุกครั้งที่เขาหายใจก็ยังทำให้รอบด้านเกิดเสียงดังสนั่นราวฟ้าคำรณ

ความรู้สึกเช่นนั้น เหมือนว่าแค่ยกมือก็สามารถข่มทับรอบด้านได้ทันที โดยเฉพาะตรงหว่างคิ้วของเขาที่ตอนนี้เสียวปลาบไม่หยุด เนตรทงเทียนที่ซ่อนอยู่ด้านในนั้นคล้ายต้องการเปิดออก

อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีลางสังหรณ์ที่รุนแรงบางอย่างว่าหากเปิดออก เนตรทงเทียนนี้จะต้องระเบิดคลื่นพลังที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม

ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งประกาย สะบัดร่างไปด้านหน้าเบาๆ พลังวิญญาณในร่างระเบิดตู้ม เงาร่างกลายเป็นภาพเลือนราง เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็ไปอยู่บนต้นไม้โลหิตต้นหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกล

ต้นไม้โลหิตนี้ตัวสั่น ประจบสอพลอต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจฟังซึ่งหาได้ยากยิ่ง แต่ยกมือขวาขึ้นมาทำมุทราชี้ไป ทันใดนั้นปราณเลือดหลายเส้นพลันรวมตัวกันกลายร่างเป็นกระบี่โลหิตลอยอยู่ด้านหน้า

“ความเร็วในการรวมกระบี่โลหิตก็เพิ่มมากขึ้นด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม ในสมองมีคำแนะนำของวิชาลับโลหิตปลิดโลกาของเขาจงเฟิงลอยขึ้นมา มือขวาทำมุทราโบกไปหนึ่งครั้ง ปราณเลือดในร่างเพิ่มขึ้น ภายใต้การโบกมือนี้ เบื้องหน้าของเขาก็พลันปรากฏกระบี่โลหิตอีกเล่มหนึ่งขึ้นมา

ยังไม่หมด กระบี่โลหิตเล่มที่สามกลายร่างออกมาอย่างรวดเร็ว กระบี่โลหิตสามเล่มนั้นบินวนไปรอบด้าน ปราณเลือดดุร้ายระลอกหนึ่งโหมกระหน่ำ แผ่ซ่านออกมาจากในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

และยิ่งกลายเป็นพลานุภาพสยบ ทำให้ต้นไม้โลหิตทุกต้นรอบด้านต่างตัวสั่นระริก

“ดังคาด…เมื่อถึงสร้างฐานรากช่วงกลาง ปริมาณของกระบี่โลหิตจะไม่ใช่เล่มเดียวอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นสามเล่ม…หรืออาจรวมสามเล่มเป็นหนึ่งได้ด้วย!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ มือขวายุกทำมุทราชี้ไป ทันใดนั้นกระบี่โลหิตสามเล่มด้านหน้าเขาเข้ามารวมตัวกันในพริบตาเดียว กลายเป็นกระบี่โลหิตเล่มใหญ่…หนึ่งเล่ม

กระบี่โลหิตเล่มนี้เพิ่งจะหลอมตัวกันปรากฏเป็นตัวกระบี่ คลื่นพลังอำนาจก็แผ่ซ่านออกมาพร้อมความดุดันและเหี้ยมโหด ส่งเสียงตูมตามซัดสาดไปสี่ทิศ ทำท่าจะยังแผ่ออกไปอีก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกดความตื่นเต้นเอาไว้ สะบัดปลายแขนเสื้อพัดมันออก

“ตามที่แนะนำไว้ในวิชาลับ หากสามารถหลอมรวมออกมาเป็นกระบี่โลหิตหกเล่มก็จะสามารถเหยียบย่างเข้าสู่สร้างฐานรากขั้นท้าย…แม้ว่าที่ข้าฝึกจะเป็นคาถาลมปราณม่วงทงเทียน ทว่าเนื่องจากวิชาอมตะมิวางวาย ดังนั้นขอแค่ตบะข้าถึง โลหิตปลิดโลกานี้ก็จะสามารถร่ายออกมาได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจ ความเร็วจากสร้างฐานรากขั้นต้นสู่สร้างฐานรากขั้นกลางของเขานั้นเร็วมาก ในนี้นอกจากยาที่ทูตของสำนักลึกลับนั่นมอบให้แล้ว สาเหตุส่วนใหญ่ยังเป็นเพราะปราณเลือดของสำนักธาราโลหิต สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็คือการบำรุงอย่างหนึ่ง

ไม่เพียงแต่สามารถทำให้การฝึกวิชาเนื้อคงกระพันของเขาเพิ่มความเร็วได้ แม้แต่ตบะของเขาเองก็ยังช่วยได้เยอะ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง เชิดคางขึ้น เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ครุ่นคิดว่าตอนนี้มหาสมุทรวิญญาณสามชั้นตกผลึกก็ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้แล้ว หากหกชั้น เก้าชั้นต่างตกผลึกหมด ก็ยิ่งต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมแน่นอน

——

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version