Skip to content

A Will Eternal 218

บทที่ 218 การเจรจาล้มเหลว!

อารมณ์ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนกระเพื่อมไหว เขามองเถี่ยตั้น ใบหน้าที่แท้จริงใต้หน้ากากเวลานี้กำลังเผยรอยยิ้มดีใจ มากด้วยความอ่อนโยน เถี่ยตั้นยิ่งแข็งแกร่ง เขาก็ยิ่งมีความสุข

โดยเฉพาะได้ยินเสียงร้องอุทานของคนรอบด้านก่อนหน้านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งตื่นเต้น เขาอยากจะบอกทุกคนเหลือเกินว่า นี่ก็คือเถี่ยตั้นของข้า!

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่าตอนนี้เถี่ยตั้นจะเข้ามาหาตนไม่ได้ ตนยืนอยู่ในกลุ่มคนของสำนักธาราโลหิต ทอดสายตามองไปยังเถี่ยตั้น ในสายตาของเขาแฝงไว้ด้วยความหมายที่มีเพียงเถี่ยตั้นเท่านั้นถึงจะเข้าใจ

“เด็กดี กลับบ้านไปก่อน รอพ่อทำธุระเสร็จเมื่อไหร่จะไปหาเจ้า”

ฝีเท้าของเถี่ยตั้นชะงักกึก มันฉลาดมาก โดยเฉพาะปีนั้นตอนที่ติดตามป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยสอนมันหลายอย่าง ยามนี้กลอกดวงตาหนึ่งครั้งก็เดาได้ถึงอะไรบางอย่างทันที ดังนั้นพอหยุดชะงัก จึงแยกเขี้ยวใส่ทุกคนของสำนักธาราโลหิต เผยให้เห็นถึงความดุร้าย ทว่าสายตานั้นกลับเหมือนจะกวาดมองตรงหน้าอกของซ่งจวินหว่าน…

สายตานี้คนอื่นมองไม่ออกถึงความหมายแฝง แต่มีหรือที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่เข้าใจ เขาถอนหายใจอยู่ในใจ ถลึงตาดุดันใส่เถี่ยตั้นหนึ่งที

เถี่ยตั้นรีบก้มหน้าลง คำรามอีกหนึ่งครั้งก็หันตัวขวับจากไป ความเร็วนั้นพริบตาเดียวก็หายไปไม่เห็นแม้เงา สัตว์รบพวกนั้นที่อยู่รอบด้านต่างก็พากันคำรามอีกสองสามที จากนั้นจึงกลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายของใครของมัน

อำนาจทรงพลังยิ่งใหญ่เมื่อครู่นี้ค่อยๆ จางหายไป ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ายามนี้บนเขายวนเหว่ย มีสายตาเส้นหนึ่งทอดมองไกลมายังร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่กับคนของสำนักธาราโลหิต

สายตานี้แฝงไว้ด้วยประกายแปลกประหลาดซึ่งมาจากร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง หญิงสาวที่สวมอาภรณ์เรียบง่าย ใบหน้างามพิสุทธิ์ แม้ว่าใบหน้าจะซีดขาวเล็กน้อย ทว่ากลับไม่สามารถลดความงามของนางลงไปได้ กลับยิ่งทำให้หญิงสาวผู้นี้มองดูน่าสงสาร ทำให้คนที่มองอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกทะนุถนอมเอ็นดู

“พี่ชาย ที่แท้ท่านก็ไปอยู่สำนักธาราโลหิตนี่เอง…” หญิงสาวปิดปากหัวเราะ นัยน์ตากลับมีแสงประหลาดวาบผ่าน…นาง ก็คือกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่หายตัวไปในหุบเหวกระบี่อุกกาบาต ช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปอยู่สำนักธาราโลหิต นางได้กลับมายังสำนักธาราเทพ!

ขณะที่กงซุนหว่านเอ๋อร์มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ปราณวิถีฟ้าในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสั่นน้อยๆ เขาประหลาดใจ รู้สึกคล้ายมีสายตามองมาที่ร่างของตัวเอง จึงมองไปรอบด้าน ทว่ากลับไม่พบอะไร ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังแปลกใจนั้น หญิงชราเขายวนเหว่ยที่อยู่ด้านหน้าสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าเผยรอยยิ้ม รู้สึกว่าหลายปีมานี้ตนดีกับเถี่ยตั้นถึงปานนั้น ในที่สุดความดีที่นางทำก็เกิดผลจริงๆ ตนแค่เอ่ยปาก เถี่ยตั้นก็เชื่อฟังยอมกลับไปทันที

“ต้องขอโทษด้วย ทุกท่านโปรดไปจากชายฝั่งทิศเหนือเถอะ” หญิงชราเขายวนเหว่ยปลื้มปิติอยู่ในใจ ทว่าสีหน้ากลับเผยความน่าสะพรึงกลัว

ซ่งจวินหว่านสูดหายใจเข้าลึก พักใหญ่ถึงจะกดความกระวนกระวายในใจลงไปได้ แม้จะรู้แต่แรกแล้วว่าสำนักธาราเทพมีราชันย์แห่งสัตว์ ทว่าตอนนี้ได้มาเห็นกับตาของตัวเอง ความรู้สึกที่ได้เผชิญหน้าตรงๆ เช่นนั้น แตกต่างไปจากสิ่งที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง

“ตามรายงานลับ ราชันย์แห่งสัตว์ตนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นผู้เพาะเลี้ยงด้วยตนเองเช่นกัน สร้างฐานรากวิถีฟ้า บรรลุเขตแดนธารา สร้างราชันย์แห่งสัตว์ขึ้นมา…ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่! คนประเภทนี้หากเป็นนักพรตของสำนักธาราโลหิตเรา…คงดียิ่งนัก” ซ่งจวินหว่านถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่มีอารมณ์อยากจะเยี่ยมชมต่อ พอได้ยินคำพูดของหญิงชราเขายวนเหว่ยก็กำลังจะเอ่ยปาก แต่ตอนนี้เอง…

เสียงฮึดฮัดเย็นชาเสียงหนึ่งพลันดังลอยมาจากกลางนภา บนท้องฟ้า น้ำวนขนาดยักษ์ที่ดำรงอยู่ตลอด ยามนี้ร่างของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งก้าวยาวๆ ออกมาจากในน้ำวน แสงสีเลือดรอบด้านซัดโหมตลบอบอวล

ในน้ำวนด้านหลังของเขาสามารถมองเห็นหลี่จื่อโม่ หนึ่งในบุรพาจารย์ของสำนักธาราเทพเดินตามมาส่งด้วยสีหน้าแฝงไว้ด้วยความเสียดายเล็กน้อย

“สหายนักพรตของสำนักธาราเทพทุกท่าน อย่าได้ประมาณตนผิดไป หากเปิดศึกกันขึ้นมาจริงๆ ก็จะหยุดลงไม่ได้อีก!” สีหน้าบุรพาจารย์ตระกูลซ่งมืดทะมึน หันกลับไปมองน้ำวนหนึ่งครั้ง แล้วก็มองหลี่จื่อโม่อีกที เอ่ยปากเนิบช้า

“เงื่อนไขที่สหายนักพรตซ่งมอบให้นั้นทารุณกันเกินไป สำนักธาราเทพของเรา…ยอมเปิดศึก แต่ไม่มีทางยอมใช้ชีวิตด้วยการดิ้นรนไปตลอดพันปีแน่นอน!” ผู้ที่ตอบบุรพาจารย์ตระกูลซ่งไม่ใช่หลี่จื่อโม่ แต่เป็นใบหน้าแก่ชราหน้าหนึ่งที่ลอยขึ้นมากลางน้ำวนในเวลานี้ ใบหน้านี้เคร่งขรึม มีกาลเวลายาวนานไร้ที่สิ้นสุดตลบอบอวล สายตาลึกล้ำ ขณะที่เอ่ยปาก แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังเกิดคลื่นเคลื่อนไหว

คนผู้นี้ก็คือบุรพาจารย์รุ่นแรกของสำนักธาราเทพ หันจง!

บุรพาจารย์ตระกูลซ่งดึงสายตากลับมา แค่นเสียงเย็นชาหนึ่งครั้ง สะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างหนึ่งที นอกร่างพลันกลายมาเป็นหมอกเลือดกระจายไปรอบด้าน มือขวาเอื้อมคว้าลงไปยังทุกคนของสำนักธาราโลหิตที่อยู่ด้านล่าง

“พวกเรากลับ!” ภายใต้การคว้าของเขา ร่างของนักพรตทุกคนของสำนักธาราโลหิตซึ่งรวมป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยพลันลอยขึ้นไปบนหมอกเลือดโดยตรง หลังจากขึ้นมาบนหมอกเลือดแล้ว หมอกสีเลือดนั่นก็ซัดกลิ้งไล่หลังกัน ทะยานครั่นครืนจากออกไปไกล

ความเร็วนั้น แค่พริบตาเดียวก็หายวับไม่เหลือแม้แต่เงา!

การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้รวดเร็วเกินไป ขณะที่ทุกคนของสำนักธาราเทพจิตใจสั่นสะท้าน ในน้ำวนกลางอากาศ ใบหน้าที่ลอยขึ้นมาก่อนหน้านี้ทอดสายตามองไปยังหมอกเลือดที่ห่างออกไปไกล ดวงตาเผยแววครุ่นคิดลึกล้ำ

“พวกเราจะเอาตัวเจ้าเฒ่าซ่งไว้หรือไม่?” หลี่จื่อโม่เอ่ยปากเนิบนาบ

“เฒ่าซ่งผู้นี้ตบะไม่ธรรมดา ในบรรดาบุรพาจารย์ทั้งแปดคนของสำนักธาราโลหิต ว่ากันด้วยความสามารถในการรบแล้ว เขาอยู่ในสามอันดับแรก ในเมื่อเขากล้ามาเพียงลำพัง แน่นอนว่าต้องมีการเตรียมรับมือโดยวางกับดักไว้แล้ว อีกอย่างการกระทำเช่นนี้ก็ไม่สอดคล้องกับศีลธรรมของนักพรตอย่างเรา” บุรพาจารย์รุ่นแรกไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ก็พูดออกมาช้าๆ ส่วนสาเหตุหลักไม่ว่าจะเป็นข้อแรกหรือข้อหลัง มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ดี

“พี่หัน…ข้าผู้แซ่หลี่รู้สึกว่าสำนักธาราโลหิตเองก็ไม่อยากเปิดศึก เงื่อนไขของพวกเขาสามารถมองออกว่าเป็นขีดจำกัดที่สามารถมอบให้ได้แล้ว พวกเรา…” หลี่จื่อโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทนเห็นความตายและการบาดเจ็บของสำนักจากสงครามในอนาคตไม่ได้ จึงเอ่ยปากเสียงเบา

“จื่อโม่ เจ้าใจอ่อน ทว่าในเวลาอย่างนี้ ใจอ่อนนั้นไม่มีประโยชน์ ข้าผู้อาวุโสเองก็รู้ว่าเมื่อเปิดศึกขึ้นมา วิกฤตความเป็นความตายนั้น สำนักธาราเทพของเราอาจประสบเคราะห์ถึงขั้นดับสำนักได้ ดังนั้นเงื่อนไขที่ซ่งเหวินอวิ๋นมอบให้ ข้าเห็นด้วยที่จะไม่เปิดศึกกัน ต่อให้พวกเราสูญเสียโอกาสในครั้งนี้ไป แต่กลับหลีกเลี่ยงไม่ให้สำนักถูกกำจัด หลีกเลี่ยงการตายของเด็กรุ่นเล็กๆ เหล่านี้ได้…” น้ำเสียงแก่ชราของหันจงดังก้อง เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า คำพูดของเขา คนนอกไม่ได้ยิน มีเพียงหลี่จื่อโม่และบุรพาจารย์ที่เหลือเท่านั้นที่ได้ยิน

“ดังนั้นพวกเราจึงรับปากว่าจะไม่ฉวยโอกาสไปโจมตีที่ตั้งของสำนักธาราโลหิต และจะไม่ร่วมมือกับสำนักธารฟ้าด้วย ซึ่งเราจะทำตามสัญญาอย่างแน่นอน ทว่า พวกเราจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายวางค่ายกลบนแม่น้ำทงเทียนเด็ดขาด!”

“หากเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติครั้งนี้ แล้วยอมให้อีกฝ่ายวางค่ายกลบนแม่น้ำทงเทียน ทำให้แม่น้ำทงเทียนของพื้นที่เราแห้งขอด ปราณวิญญาณลดน้อยลง ปิดผนึกพวกเราพันปี ตบะของทุกคนหยุดชะงัก มิอาจฝ่าทะลุได้ พันปี…เกรงว่าแค่ไม่กี่ร้อยปีสำนักธาราเทพของเราก็คงแห้งเหี่ยวตายไปเองก่อนแล้ว ต่อให้ทนผ่านไปได้ถึงพันปีจริง…ถึงเวลานั้นสำนักของเราก็จะอ่อนแอกว่าตอนนี้มากมายนัก นี่คือการเอาอำนาจในการตัดสินใจมอบให้กับผู้อื่น ทิ้งภัยพิบัติไว้ให้กับคนรุ่นหลังของเราเอง!”

“เท่ากับว่าเอามีดมาจ่อลำคอของตัวเอง พันปีให้หลัง สำนักธาราโลหิตต่างไปจากตอนนี้ กลายเป็นสำนักใหญ่แม่น้ำตอนกลาง แข็งแกร่งกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ส่วนพวกเรากลับเปราะบางอ่อนแอ ถึงเวลานั้นหากพวกเขาสงสารพวกเราก็อาจเลือกทำตามสัญญา แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็สามารถกำจัดพวกเราทั้งสำนักได้อย่างง่ายดาย!” ประสบการณ์โชกโชนในดวงตาของบุรพาจารย์รุ่นหนึ่งราวกับมองเห็นความตายในอีกพันปีต่อมา น้ำเสียงจึงทุ้มต่ำ

“ถูกผนึกหนึ่งพันปี มองดูเหมือนสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บและความตายได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทิ้งภัยพิบัติใหญ่ในการกำจัดสำนักเอาไว้วันหน้า กลับกันคือตอนนี้สถานการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้มากมาย ต่อให้เปิดศึกกันจริงๆ แม้ว่าสำนักธาราเทพจะสู้สำนักธาราโลหิตไม่ได้ ทว่าเราก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน บวกกับกำลังภายนอก ทุกอย่างก็ล้วนเป็นไปได้”

“จื่อโม่ การมองเรื่องราว ในฐานะที่พวกเราเป็นบุรพาจารย์ ไม่สามารถมองแค่เบื้องหน้าเท่านั้น ต้องเพิ่มกาลเวลาเข้าไป มองสถานการณ์ทั้งหมดและอนาคต!”

“สำนักธาราเทพ…ยอมสู้ด้วยความห้าวหาญจนตัวตาย แต่ไม่ยอมเป็นเหมือนสุนัขที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดไปพันปี หากพันปีต่อมายังมีความหวังก็ยังว่าไปอย่าง แต่นี่เห็นได้ชัดว่า…มันคือทางตัน!” สีหน้าของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งเหนื่อยล้า เมื่อพูดจบก็ค่อยๆ จางหายไปในน้ำวน ไม่นานน้ำวนบนนภากาศก็หายไป หลี่จื่อโม่เงียบงันไปครู่ใหญ่ ดวงตาฉายปณิธานในการรบ เขารู้ดีว่าบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งกล่าวถูกแล้ว ยืนรอความตายยังพอมีความหวังว่าจะรอดชีวิตไปได้ ทว่าคุกเข่ารอความตาย วันหน้าย่อมตายอย่างเอน็จอนาถมากแน่นอน!

ไม่นานเท่าไหร่ คำสั่งของเจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงก็ดังไปทั่วสองชายฝั่งเหนือใต้

“ค่ายกลใหญ่ของสำนักเปิดไว้ตลอดเวลา จุดไฟค่ายกลที่เทือกเขาลั่วเฉินขึ้น ลูกศิษย์ทุกคนที่ออกไปข้างนอกเรียกตัวกลับมาให้หมดทันที นักพรตทุกคน…เตรียมตัวเข้าร่วมสงคราม!!”

และยามนี้ บนท้องฟ้าระหว่างสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิต เมฆสีเลือดคำรามครั่นครืนผ่านไป นักพรตของสำนักธาราโลหิตแต่ละคนอกสั่นขวัญแขวน พวกเขามองบุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด ซึ่งยามนี้มีสีหน้าเขียวคล้ำ ขมวดคิ้วไม่คลาย ราวกับมีเรื่องในใจให้ขบคิดไม่สิ้นสุด

โดยเฉพาะนึกถึงคำพูดเหล่านั้นตอนที่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งเดินออกมาจากน้ำวน เห็นได้ชัดว่าการสื่อสารกับสำนักธาราเทพในครั้งนี้ ล้มเหลวแล้ว

และเมื่อล้มเหลว สงครามระหว่างสองสำนักก็อาจระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขารู้สึกว่าตลอดเส้นทางที่เดินทางกลับ เต็มไปด้วยภัยอันตราย

เสินซ่วนจื่อสีหน้าซีดเผือด ก้มหน้าลงทำการอนุมาน ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน เขารู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว ยามนี้จึงเข้าใจคำตอบของสำนักธาราเทพดี ถอนหายใจอยู่ในใจ เรื่องใหญ่เกี่ยวกับสำนักที่จำเป็นต้องตัดสินใจเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถยื่นมือเข้าไปแทรกและเข้าร่วมได้ เขาเงียบงัน ทอดสายตามองไปยังทิศทางของสำนักธาราเทพ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล

เบื้องหน้าหมอกสีเลือด ซ่งจวินหว่านนั่งอยู่ข้างกายบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง สีหน้าของนางก็แฝงไว้ด้วยความระวังภัยเช่นกัน คอยมองไปรอบทิศอยู่ตลอดเวลา ตลอดทางที่เดินทางกลับ ทุกคนต่างเงียบกริบ

เวลาผ่านไป ไม่นานหมอกเลือดนี้ก็เข้ามาใกล้เทือกเขาลั่วเฉิน แค่ข้ามผ่านที่แห่งนี้ไปก็สามารถกลับเข้าสู่ขอบเขตอำนาจของสำนักธาราโลหิตได้แล้ว บุรพาจารย์ตระกูลซ่งเปิดดวงตาทั้งคู่ขึ้น นัยน์ตาเผยความลึกล้ำและความเย็นเยียบ

ทว่าจนกระทั่งหมอกสีเลือดนี้ลอยผ่านเทือกเขาเข้าไปในขอบเขตของสำนักธาราโลหิตแล้วก็ยังคงไม่มีการซุ่มโจมตีใดๆ เกิดขึ้น มีเพียงว่าหลังจากที่พวกเขาจากมา เทือกเขาลั่วเฉินก็สั่นสะเทือนครั่นครืน ลำแสงหนึ่งระเบิดขึ้นไปเชื่อมโยงเข้ากับนภากาศ เมื่อมองออกไปจะเห็นได้ว่ามันกลายเป็นกำแพงขวางกั้นขนาดมโหฬาร ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างขอบเขตของสองสำนัก

“ช่างดีนักนะสำนักธาราเทพ…” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเบาๆ ส่วนลึกในดวงตามีความเสียดาย และมีความเคารพนับถือ มือขวาโบกขึ้นหนึ่งครั้ง ในชายแขนเสื้อของเขาก็มีจุดแสงสามดวงบินออกมากลางอากาศ กลายร่างเป็นเงามายาของคนสามคน หนึ่งในนั้นหลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นแล้วก็จำได้ทันที เขาก็คืออู๋จี๋จื่อ

“ไม่มีการสกัดกั้นงั้นหรือ?” เงามายาของร่างทั้งสามนี้ต่างก็เป็นบุรพาจารย์ของสำนักธาราโลหิต หลังจากพวกเขาปรากฏตัว ทุกคนที่อยู่บนหมอกเลือดจึงพากันคารวะ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ทำไม่ต่างกัน จากนั้นจึงเงยหน้ามองเงามายาของบุรพาจารย์ทั้งสามคนนั้น บนร่างของทั้งสามคนนี้ต่างก็มีคลื่นแปลกประหลาดแผ่ซ่านออกมา ความว่างเปล่าบิดเบือน พอป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นแล้วก็แอบตกใจอยู่กับตัวเอง

“ข้าผู้อาวุโสเอาตัวเป็นเหยื่อล่อด้วยตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาจะปล่อยให้พวกเราจากมาด้วยศีลธรรมหรือด้วยความสงสัย เดิมทีนี่ก็ถือเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงการไร้ซึ่งความหวาดกลัวและเหี้ยมหาญอย่างหนึ่ง สำนักธาราเทพ…จะกลายมาเป็นศัตรูตัวฉกาจของเรา!” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งถอนหายใจเบาๆ

ทั้งสามคนที่เหลือต่างเงียบงันกันไป อู๋จื่อจี๋มองไกลไปยังทิศทางที่ตั้งของสำนักธาราเทพ เนิ่นนานถึงได้ส่ายหัว แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้งเช่นกัน

“น่าเสียดาย พวกเราไม่สามารถเชื่อใจพวกเขาได้ พวกเขาเองก็ไม่เชื่อใจพวกเราเหมือนกัน…”

——

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version