บทที่ 203 นึกจริงๆ หรือว่าข้าจะกลัวพวกเจ้า!
นักพรตสร้างฐานรากรอบด้าน แม้จะมีไม่ถึงร้อย ทว่าก็มากหลายสิบคน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นสร้างฐานรากขั้นต้น แต่ในนั้นก็มีหลายคนที่เป็นสร้างฐานรากขั้นกลาง
ยังดีที่นักพรตสร้างฐานรากขั้นกลางเหล่านี้ถึงแม้จะมีสีหน้ามืดทะมึน แต่กลับทำเพียงมองด้วยสายตาเย็นชาเท่านั้น ไม่ได้ลงมือ ตำแหน่งของพวกเขาไม่เหมือนกับสร้างฐานรากขั้นต้น หากลงมือโจมตีสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมกับคนอื่น จะเป็นการลดตัวเกินไป
แต่ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วมด้วย ทว่าการลงมือพร้อมกันของผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสสร้างฐานรากหลายสิบคนก็ยังคงสะเทือนเลือนลั่นปฐพีอยู่ดี สำนักธาราโลหิตแห่งนี้ ระหว่างสหายร่วมสำนักไม่มีคำว่าเหตุผล มีเพียงแข็งแกร่งเป็นผู้ล่า อ่อนแอเป็นเหยื่อเท่านั้น!
หากเจ้ากล้าแหยมกับข้า ข้าก็จะฆ่าเจ้า!
แตกต่างไปจากสำนักธาราเทพ ที่ระหว่างสหายร่วมสำนักมีเพียงความสามารถแท้จริงเท่านั้นถึงจะเป็นจุดสำคัญ!
การกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ล่วงเกินคนมากมายของเขาจงเฟิง บนร่างนักพรตสร้างฐานรากแต่ละคนจึงเต็มไปด้วยไอสังหาร ลงมือเมื่อใดก็ไกลเกินกว่าที่รวมลมปราณจะเปรียบเทียบได้ เวทอภินิหารแผ่กระจาย ปราณเลือดเขย่าคลอนฟ้าดิน กระบี่โลหิตอันเป็นวิชาลับของเขาจงเฟิงแต่ละเส้นคำรามออกมา พริบตาเดียวปราณกระบี่หลายสิบเส้นจากสี่ด้านแปดทิศก็ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังผ่อนลมหายใจจากเรื่องเจ้ากระต่าย ยามนี้พลันสะดุ้งโหยง ทุกพื้นที่ทั่วร่างสั่นระริก ราวกับว่าเลือดเนื้อกำลังคำรามก้อง เตือนป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่องว่าที่นี่อันตราย
เสียงตูมตามดังสนั่นสะเทือนไปแปดทิศทาง ภายใต้การลงมือด้วยความดุร้ายของนักพรตสร้างฐานรากหลายสิบคนรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนพอจะฝืนหลบได้อย่างกล้อมแกล้ม ทว่าก็ยังมีปราณกระบี่หลายสิบเส้นตกลงมาบนร่าง
“ฟังข้าอธิบายก่อนสิ…” ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโซซัดโซเซถอยหลัง เมื่อปราณเลือดของเนื้อคงกระพันหลอมรวมเข้าด้วยกัน แสงสีเลือดเข้มข้นก็แผ่ซ่านออกมาจากบนร่าง บวกกับที่เนื้อคงกระพันขั้นหนึ่งฝึกสำเร็จแล้ว ทำให้พละกำลังของป๋ายเสี่ยวฉุนมหาศาลไร้ที่สิ้นสุด ขณะเดียวกันการป้องกันของเขาก็ยิ่งร้ายกาจเกินจริง
พวกนักพรตสร้างฐานรากรอบด้านแต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาของคนไม่น้อยถึงขนาดหดรัดเข้าหากัน
“เจ้าเย่จั้งผู้นี้แอบฝึกวิชาหลอมร่างกาย!”
“มิน่าล่ะเขาถึงได้รอดชีวิตมาจากหุบเหวกระบี่อุกกาบาตได้ วิชาหลอมร่างกายนี้คือกุญแจสำคัญ!”
“การป้องกันของกล้ามเนื้อเขาแข็งแกร่งเกินไป แม้พวกเราจะร่วมมือกันก็ยังยากจะทำให้เขาสั่นคลอนได้!”
ทุกคนมีสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าไหนๆ ตอนนี้ก็ลงมือไปแล้ว พวกเขาจึงไม่มีทางหยุดได้อีก ยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่ง พวกเขาก็ยิ่งต้องสังหารให้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
ยามนี้แต่ละคนดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ ลงมืออีกครั้ง พุ่งเข้าเข่นฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน
ปราณกระบี่สิบกว่าเส้นคำรามเข้ามาร่วงโครมลงมาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอีกรอบ ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะหลบเลี่ยงอย่างไร นักพรตสร้างฐานรากสิบกว่าคนที่อยู่รอบด้านก็ยิ่งไล่โจมตีตามติด ลงมือต่อเนื่อง
เสียงดังกึกก้อง แม้แต่ถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังถูกโจมตีย่อยยับ เสียงตูมดังหนึ่งครั้งมันก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
“วิ่งสิ เย่จั้ง วันนี้เจ้าหนีไม่รอดหรอก!”
แต่ละเสียงดังลอยมา วิชาอภินิหารมากมายพุ่งเข้าใส่ ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบักสะบอม สุดท้ายปราณกระบี่หลายสิบเส้นก็กระแทกโครมลงบนร่างของเขาโดยตรง
ต่อให้เขามีวิชาอมตะมิวางวาย ยามนี้ก็ยังกระอักเลือดสด ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าพรวด ดวงตามีเส้นเลือดฝอยปรากฏ สีหน้าดุร้าย ทั้งยังมีประกายเย็นเยียบเผยออกมาจากใบหน้าของเย่จั้งที่เขาสวมไว้ในยามนี้
นั่นคือความน่าสะพรึงกลัว นั่นคือความกระหายเลือด นั่นคือความอำมหิต นั่นคือความพิโรธสะเทือนฟ้า
เขาในยามนี้ ปราณเลือดโหมซัดสาด ไอสังหารไร้ที่สิ้นสุด
“ข้าไม่หนีแล้ว พวกเจ้าคิดจะฆ่าข้าครั้งแล้วครั้งเล่า รังแกกันมากเกินไป!! นึกจริงๆ หรือว่าข้าจะกลัวพวกเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เช็ดเลือดตรงมุมปาก เวลานี้ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง อาภรณ์บนร่างเสียหายไปไม่น้อย ร่างสั่นสะท้าน ส่วนลึกในจิตใจที่บีบรัดตัวแน่นมาตลอดหลังจากมาอยู่ที่สำนักธาราโลหิต บัดนี้พลันระเบิดตูมออกมา
เขาไม่อยากปล่อยให้ประสาทของตัวเองรัดแน่นอย่างนี้ต่อไป คนพวกนี้อยากฆ่าเขา ลงมือแต่ละทีไม่มีคำว่าออมมือ อีกทั้งตั้งใจจะกำจัดเขาอย่างแท้จริง ยามนี้วิกฤตความเป็นความตายรุนแรงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว วินาทีที่คนรอบด้านพุ่งเข้าใส่ เขาก็ก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว มาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้านักพรตสร้างฐานรากหนุ่มผู้หนึ่ง
เพิ่งจะเข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าดุดัน กระแทกตูมลงไปโดยตรง ชนาเขย่าภูเขาระเบิดพลัง นักพรตสร้างฐานรากผู้นั้นกระอักเลือด กรีดร้องโหยหวน ร่างของเขาลอยกระเด็นไปไกลราวว่าวที่สายป่านสะบั้น
เวลาเดียวกันนั้น ปราณกระบี่เจ็ดแปดเส้นเข้ามาใกล้ ปราณเลือดตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ปะทะ เสียงตูมดังสนั่นพอฝืนต้านทานเอาไว้ได้ จากนั้นเขาก็สะบัดร่างหนึ่งครั้ง มาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าผู้พิทักษ์เขาจงเฟิงสองคน มือทั้งสองยกขึ้นเตรียมคว้าจับไปที่คนทั้งสอง เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ
ผู้พิทักษ์สร้างฐานรากของเขาจงเฟิงสองคนนี้ ลูกตาทั้งคู่หดตัว ปราณเลือดบนร่างพลันตลบอบอวล ต่างคนต่างทำมุทรากลายเป็นเงาสีเลือด คิดจะสกัดกั้นป๋ายเสี่ยวฉุน แต่มือทั้งสองข้างของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับแฝงเร้นไว้ด้วยพละกำลังมากมายมหาศาล พริบตาที่สัมผัสโดนเงาเลือดทั้งสองนั่น ทุกอย่างก็พินาศย่อยยับ พังทลายมลายสิ้น คว้าจับแขนของผู้พิทักษ์สร้างฐานรากสองคนนั้นไว้ได้
“ไสหัวไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดมืออย่างแรง แขนของคนทั้งสองหักทันที เปล่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ร่างถูกพลังมหาศาลเหวี่ยงออก ร่วงโครมลงบนถ้ำที่ห่างออกไปไกล
ขณะเดียวกันกับที่พื้นที่ส่วนล่างนิ้วของเขาจงเฟิงเกิดความโกลาหล เขาซือเฟิง เขาอู๋หมิงเฟิง และเขาเส้าเจ๋อเฟิงที่อยู่ด้านข้างต่างก็สังเกตเห็นปราณเลือดที่ซัดตลบอบอวลของที่นี่ นักพรตสร้างฐานรากจำนวนไม่น้อยล้วนทอดสายตามองมา
หรือแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ของยอดเขาเหล่านี้ก็ทำไม่ต่างกัน บุตรโลหิตของทั้งสามเขาที่ออกไปด้านนอกเพิ่งกลับเข้ามาอยู่ในตำหนักบุตรโลหิตต่างก็ดวงตาเปล่งประกายวาววับ จ้องนิ่งมาที่เขาจงเฟิง
แม้แต่เขาจู่เฟิงเอง เวลานี้ผู้อาวุโสไท่ซ่างหลายคนก็ยังกวาดจิตสัมผัสผ่านมาที่เขาจงเฟิง มองเห็นภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนห้ำหั่นกับทุกคน
“เด็กคนนี้อีกแล้วรึ?”
“เด็กผู้นี้มีลักษณะเป็นมารนี่นะ ยั่วยุให้คนมากมายไล่ฆ่าเขาอีกแล้ว”
“ฮ่าๆ แบบนี้สิถึงจะถูก อายุยังน้อย คนอื่นคิดจะฆ่าตัวเองก็ต้องเอาคืนสิถึงจะถูก!”
ขณะที่นักพรตของยอดเขาอื่นกำลังมองดูความคึกคัก พื้นที่นิ้วส่วนล่างของเขาจงเฟิง ป๋ายเสี่ยวฉุนบุกตะลุยไปทุกทิศทาง กวาดสิ้นทุกสิ่งให้วอดวาย นักพรตสร้างฐานรากคนแล้วคนเล่าถูกเขาพุ่งชนเข้าใส่จนกระอักเลือด
“เย่จั้ง!” และเวลานี้เอง เสียงฮึดฮัดเย็นชาก็ดังลอยมาจากกลางอากาศ ซ่งเชวียกลายร่างเป็นยอดเขาสีเลือดทะยานดิ่งเข้าใส่ ภูเขาลูกยักษ์พลันร่วงลงมากดทับ ทั้งเบื้องล่างภูเขายังมีปราณกระบี่สีเลือดสามเส้นยาวสิบกว่าจั้ง ม้วนตลบสรรพสิ่งทั่วทิศ ตรงเข้าประหัตประหาร
“ปราณกระบี่? ข้าก็มีเหมือนกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าพรวด ดวงตายิ่งแดงฉาน มือขวายกขึ้นโคจรวิชาโลหิตปลิดโลกา ปราณเลือดคงกระพันเส้นหนึ่งถูกฝืนดึงออกมาจากเลือดเนื้อในร่าง ทะลุผ่านนิ้วมือ เหวี่ยงสะบัดไปยังซ่งเชวียที่เข้ามาใกล้
ปราณเลือดที่เห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากของทุกคนพลันปรากฏขึ้นมาบนปลายนิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าปราณเลือดนี้แฝงเร้นไปด้วยเส้นสีทองหนึ่งเส้น วินาทีที่ปรากฏขึ้น กลิ่นอายที่ยากจะพรรณนาได้ระลอกหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากปราณกระบี่นี้
เสียงตูมๆๆ ขยายออกไปรอบด้าน ปราณเลือดทั่วสี่ทิศสั่นสะเทือน ราวกับได้เจอจอมราชันย์ ถูกกระชากรั้งออกมาในพริบตาเดียว
เมื่อมันหลอมรวมเข้าไปในปราณกระบี่ ทำให้ปราณกระบี่ยิ่งขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว แผล็บเดียวก็มีขนาดใหญ่สิบจั้ง แจ่มแจ้งโดดเด่นราวกับพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันที่สาดส่องอยู่กลางเขาจงเฟิง
เมื่อเทียบกับมันแล้ว ปราณกระบี่ของทุกคนดั่งกลายมาเป็นเพียงของปลอมคุณภาพต่ำ มีเพียงปราณกระบี่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น ถึงจะเป็น…ของแท้ดั้งเดิมที่สุด!
อีกทั้งยังแผ่รัศมีเผด็จการสูงส่งราวกับราชันย์แห่งหมื่นกระบี่ออกมาอีกระลอกหนึ่ง วินาทีที่มันบังเกิดขึ้น ท้องนภาพลันสั่นสะเทือน แม้แต่ทุกคนที่อยู่รอบด้านก็ยังใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง ปราณกระบี่ของพวกเขาสั่นไหวคล้ายจะควบคุมไม่ได้…และที่สั่นสะเทือนไปพร้อมกัน ยังมีตบะของพวกเขาด้วย!
ภาพนี้ทำให้ทุกคนร้องเสียงหลงตะลึงพรึงเพริด
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!!”
“นี่คือ…ปราณกระบี่อะไร!!”
“สวรรค์ เย่จั้งผู้นี้ เขาฝึกวิชาโลหิตปลิดโลกา!!”
ต่อให้เป็นผู้อาวุโสสร้างฐานรากขั้นกลางที่อยู่รอบด้าน พอเห็นปราณกระบี่นี้ปรากฏตัวก็ยังตะลึงค้าง สูดหายใจเฮือก ปราณกระบี่เลิศล้ำน่าตื่นตาตื่นใจที่ไม่เหมือนใครนี้ พุ่งดิ่งเข้าหาซ่งเชวีย
ซ่งเชวียหน้าถอดสี ไม่มีเวลาให้คิดว่า เสียงเกริกก้องดังสะเทือนฟ้าดิน ปราณกระบี่สามเส้นของเขาพลันแตกฉานซ่านเซ็น ภูเขาที่แปลงออกมาก็ยิ่งยากจะสกัดกั้นไว้ได้จึงระเบิดออกทันทีทันใด ส่วนตัวเขาเองก็กระอักเลือด ถอยกรูดด้วยสีหน้าพรั่นพรึงและเคว้งคว้าง
“เป็นไปไม่ได้ เจ้า…” ซ่งเชวียหนังหัวระเบิด ปราณกระบี่นี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาสะท้านสะเทือนถึงขีดสุด เขาไม่เคยเห็นปราณกระบี่เช่นนี้มาก่อน ความยิ่งใหญ่ของพลานุภาพอยู่เหนือล้ำเกินกว่าสิ่งที่เขาจินตนาการเอาไว้ เหี้ยมหาญยิ่งกว่าปราณกระบี่ที่ตนฝึกฝนอยู่ใต้น้ำตกเลือดมาหลายปีด้วยซ้ำ!
ไม่เพียงแต่เขาที่หวาดผวา ทุกคนรอบด้านยามนี้ใจเต้นรัวแรง แตกตื่นเพราะปราณกระบี่นี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง อาการชาที่หนังหัววาบขึ้นเป็นพักๆ
และวินาทีนี้เอง ทุกคนของเขาเส้าเจ๋อเฟิง เขาอู๋หมิงเฟิง เขาซือเฟิงต่างตาค้างกันหมด ผู้อาวุโสใหญ่ของทั้งสามเขาก็ยิ่งสำลักลมหายใจ แม้แต่สายตาในตำหนักบุตรโลหิตของทั้งสามเขายามนี้ก็ยังฉายประกายแรงกล้าอย่างเห็นได้ชัด
หรือแม้กระทั่งบนเขาจู่เฟิง บัดนี้ก็ยังมีเสียงอุทานตื่นตะลึงดังลอยมา!
“นี่คือ…ปราณกระบี่ในขอบเขตหลอมเลือดให้กลายเป็นของเหลวข้น!”
“เจ้าเด็กผู้นี้ชื่อเย่จั้ง? เขามีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ แต่กลับบรรลุถึงระดับนี้ได้โดยที่ไม่บอกให้ใครรู้สักแอะ!”
“โลหิตปลิดโลกา ใช้การหลอมเลือดเป็นหลัก แบ่งออกเป็นสี่ขั้นได้แก่หลอมเลือดเป็นปราณ หลอมเลือดเป็นของเหลวข้น เลือดหวนกลับสู่บรรพบุรุษ ปราณเลือดเป็นมหันตภัย!” พลังจิตมากมายพลันกวาดลงมาที่เขาจงเฟิง สังเกตการต่อสู้ชุลมุนครั้งนี้อย่างละเอียด
การต่อสู้ครั้งนี้ บัดนี้ได้ถูกระดับสูงของสำนักธาราโลหิตจับตามองแล้ว และสาเหตุก็เป็นเพราะปราณกระบี่เส้นนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุน!
“สังหารเย่จั้ง คนผู้นี้ไม่ตาย วันหน้าเขาต้องมาแก้แค้นพวกเราแน่นอน!” พื้นที่นิ้วช่วงล่างของเขาจงเฟิง เสินซ่วนจื่อตะเบ็งเสียงแหลม ทำมุทราแล้วลงมือทันที ส่วนคนอื่นรอบด้านก็ฉุกคิดขึ้นมาได้เช่นกัน ไอสังหารของแต่ละคนลุกโชน ทุกคนรวมพลัง พร้อมใจกันลงมือโจมตีเพื่อเอาชีวิตป๋ายเสี่ยวฉุน
“คนผู้นี้ผิดปกติ ที่เขาใช้ไม่ใช่โลหิตปลิดโลกาของเขาจงเฟิงเรา!” ซ่งเชวียคำรามเสียงต่ำ ตาแดงก่ำ จ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม พอประมือกับเย่จั้งที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ จิตสังหารในใจของเขาถึงได้โหมกระหน่ำ ราวกับว่ามีความแค้นล้ำลึกกับอีกฝ่ายจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่ากลับดำรงอยู่จริง
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบี่ยงตัวหลบว่องไว มองเห็นความเหี้ยมโหดที่ทุกคนประเคนใส่ เขาโมโหเดือดจนกลายมาเป็นเสียงหัวเราะ นัยน์ตาที่ดุร้าย ทั้งยังเย็นเยียบและอำมหิตโชนแสงออกมาจากบนหน้ากากของเขา
“ที่ข้าเย่จั้งใช้ไม่ใช่โลหิตปลิดโลกา? ถ้าเช่นนี้ข้าก็จะแสดงให้พวกเจ้าดูว่า อะไร…ถึงจะเรียกว่าโลหิตปลิดโลกา!” ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกระโดดผลุงขึ้นไปกลางอากาศ ชั่วขณะที่นักพรตสร้างฐานรากเหล่านั้นกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาว เขาสูดลมหายใจเข้าลึก มือขวายกขึ้น พลันชี้ไปยังเขาจงเฟิงที่อยู่เบื้องล่าง!
——