Skip to content

A Will Eternal 169

บทที่ 169 ข้าผู้แซ่โหวไม่เคยพูดปด

ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ หันหน้าไปมองชายหนุ่ม

“ข้าน้อยโหวอวิ๋นชิง ร้านเล็กๆ แห่งนี้เป็นของข้า พี่ชายมีบุคลิกไม่ธรรมดา แค่มองก็รู้ว่าเป็นมังกรเป็นหงส์ในกลุ่มคน ถูกใจตัวไหน ข้าผู้แซ่โหวยกให้พี่ชายเลย ถือเป็นการสร้างมิตรภาพต่อกัน” บนใบหน้าของโหวอวิ๋นชิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นรื่นราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ คำพูดคำจาก็มีมารยาทอย่างยิ่ง

“จริงหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ มองโหวอวิ๋นชิงผู้นี้หนึ่งที

“แน่นอนว่าต้องจริงอยู่แล้ว ข้าผู้แซ่โหวไม่เคยพูดปด” โหวอวิ๋นชิงรีบเอ่ยปาก

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ เรื่องดีๆ ที่มาหาถึงมือแบบนี้ ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องปฏิเสธ ดวงตาทั้งคู่วาววับ เลือกอาภรณ์มังกรสวรรค์ชิ้นนั้นอย่างไม่เกรงใจ

ลูกจ้างที่อยู่ด้านข้างอึ้งงัน มองไปทางโหวอวิ๋นชิง โหวอวิ๋นชิงยิ้มน้อยๆ หลังจากเขาพยักหน้า ลูกจ้างคนนั้นก็หยิบอาภรณ์มังกรสวรรค์ตัวนั้นลงมาอย่างไม่อยากเชื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนตบลงไปหนึ่งครั้ง สวมไว้บนร่าง ราศีก็เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านั้นทันที

“อาภรณ์มังกรสวรรค์ชิ้นนี้สวมลงบนร่างของพี่ชายแล้วช่างพอดีตัวยิ่งนัก ราวกับเตรียมขึ้นมาเพื่อพี่ชายโดยเฉพาะ พี่ชายช่างตาดีนัก!” โหวอวิ๋นชิงหัวเราะร่า

“เจ้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกันหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนดีใจ ลูบคลำอาภรณ์ พึงพอใจอย่างมาก ปลงอนิจจังอยู่ในใจว่าตอนที่อยู่ในสำนัก อาภรณ์ที่ตนสวมใส่ช่างซอมซ่อเหลือเกิน เมื่อเทียบกับอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยลวดลายงามวิจิตรตัวนี้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองหลงรักที่แห่งนี้เข้าให้แล้ว

โหวอวิ๋นชิงนึกไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะพูดเช่นนี้ ไม่รู้จะรับคำอย่างไรไปชั่วขณะ ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เปลี่ยนไปพูดหัวข้ออื่น

“พี่ชาย คืนนี้ในเมืองตงหลินมีงานเลี้ยงฉลอง ทูตตู้หลิงเฟยจากสำนักธาราเทพประจำการอยู่ที่นี่มาครบวาระแล้ว กำลังจะกลับสำนัก งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นมาก็เพื่อนาง หากพี่ชายไม่มีธุระอื่นก็ไปร่วมสนุกกับข้าผู้แซ่โหวดีไหม?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองโหวอวิ๋นเฟยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ลังเลเล็กน้อยก็ตอบรับอย่างยินดี

โหวอวิ๋นชิงรู้ว่าตัวเองออกจะเร่งรัดไม่ดูตาม้าตาเรือไปหน่อย ทว่าโอกาสมาถึงมือได้ยาก จึงต้องรีบคว้าไว้ เขาไม่มีเวลาให้เตรียมตัว เวลานี้จึงออกจากร้านไปพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน เดินนำทางอยู่เบื้องหน้า

เบื้องหลังของเขามีผู้คุ้มกันเจ็ดแปดคน ผู้คุมกันเหล่านี้ แต่ละคนล้วนอยู่ในขั้นรวมลมปราณห้า เต็มไปด้วยความดุร้าย แม้จะมีตบะแผ่ออกมา แต่เห็นได้ชัดว่าต่างก็เป็นคนที่ถนัดในการสังหาร

“พูดถึงทูตตู้หลิงเฟยของสำนักธาราเทพแล้ว นางเป็นสตรีที่งดงามราวเทพธิดาอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่ตบะล้ำลึก รูปโฉมก็งามล้ำ ทั่วทั้งเกาะตงหลินแห่งนี้ นับนางอยู่ในสิบอันดับแรกของเทพธิดาได้เลย หลายปีมานี้ ในฐานะที่นางเป็นทูต คอยช่วยรักษาความเสมอภาคของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร แรกเริ่มก็ลำบากอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็ชำนาญ ฉลาดหลักแหลมและจัดการเรื่องราวได้ดี” ระหว่างทางโหวอวิ๋นชิงแอบมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง

“เก่งกาจขนาดนี้เชียว?” นี่เป็นครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเรื่องราวของตู้หลิงเฟยในเมืองตงหลิน จึงสนใจเป็นอย่างมาก

“เก่งมากเชียวล่ะ! ตลอดทั้งเกาะตงหลิน ตระกูลผู้บำเพ็ญตบะหลายตระกูล ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจมากมายล้วนอยากได้ความสนใจจากนาง เพียงแต่ว่าในสายตาของข้าผู้แซ่โหว ไม่มีลูกหลานของตระกูลไหนเหมาะสมกับนางสักคน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ในสำนักธาราเทพก็มีน้อยคนนักที่จะคู่ควรกับนาง หากจะบอกว่ามีจริงๆ ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น!” โหวอวิ๋นชิงปลงอนิจจัง

“ใครหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังมาถึงตรงนี้ก็กะพริบตาปริบๆ ถามหนึ่งประโยค

“คนผู้นั้นก็คือสุดยอดศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราเทพที่หมื่นปีมานี้ยากจะเจอสักครั้ง คือลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติ ศิษย์น้องของเจ้าสำนัก ชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วทั้งชายฝั่งเหนือใต้ ทำให้ลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนตามสรรเสริญเยินยอ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!” สีหน้าโหวอวิ๋นชิงเผยความเคารพเลื่อมใสคล้ายสะกดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ ผู้คุมเหล่านั้นที่อยู่ด้านหลังของเขา แต่ละคนทำหน้าปั้นยาก พวกเขาติดตามโหวอวิ๋นชิงมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดจาเช่นนี้ จึงอดไม่ไหวจนต้องหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายทีด้วยความแปลกใจไม่น้อย

“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ขณะที่เอ่ยปากเห็นด้วย นัยน์ตาก็เผยแววครุ่นคิด กวาดตามองโหวอวิ๋นชิงหนึ่งทีด้วยสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง

ก็ไม่รู้ว่าโหวอวิ๋นชิงไม่สังเกตเห็นจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นกันแน่ ถึงได้ยังคงทำท่าตื่นเต้นอยู่กับตัวเองต่อไปแบบนั้น

“ไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดานะ นั่นคือศิษย์ผู้สร้างความภูมิใจ นั่นคือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ คือคู่บำเพ็ญเพียรในอุดมคติของลูกศิษย์หญิงสำนักธาราเทพทุกคน คือสหายที่ลูกศิษย์ชายทุกคนของสำนักธาราเทพต้องการสนิทสนมด้วย นั่นคือสมบัติล้ำค่าของสำนักธาราเทพเชียวนะ ข้าได้ยินว่าเขาไปที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากทั้งสามแห่งกับคนหลายคน ตอนที่กลับมาต้องสร้างฐานรากชีพจรดินได้แน่นอน

บุคคลเช่นนี้ดั่งพระจันทร์สุกสกาวบนท้องฟ้าที่มีแต่คนแหงนหน้ามอง น่าเสียดายที่ข้าโหวอวิ๋นชิงไม่มีคุณสมบัติ มิเช่นนั้นข้าจะต้องไปตามหาเขาอย่างแน่นอน ยินดีติดตามเขาไปชั่วชีวิต ต่อให้ต้องทำงานเป็นวัวเป็นม้าก็ยอม”

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านข้างฟังไปฟังมา ยามนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย มองโหวอวิ๋นชิงที่ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปลดปลง เขาไม่อาจใจร้ายตัดบทโหวอวิ๋นชิงได้ ดังนั้นจึงปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไป นัยน์ตาเผยแววให้กำลังใจ

ตลอดทางมานี้จนกระทั่งไปถึงงานเลี้ยง โหวอวิ๋นชิงพูดไม่หยุดปาก เปลี่ยนคำพูดสรรเสริญเยินยอป๋ายเสี่ยวฉุนแห่งสำนักธาราเทพอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดถึงขั้นที่ตัวเขาเองไม่มีคำพูดให้พูดต่อแล้ว ทว่ามองเห็นสายตาให้กำลังใจของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาจึงกัดฟัน พยายามเค้นหาคำศัพท์ในสมองออกมาสุดความสามารถ เป็นอย่างนี้ไปตลอดทาง สร้างความเหนื่อยล้าให้เขายิ่งนักโดยที่คนอื่นไม่รู้…

ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและโหวอวิ๋นชิงเดินทางไปงานเลี้ยง ในเกาะตงหลิน ลูกศิษย์จำนวนมากที่สำนักธาราเทพส่งตัวออกมา และยังมีพวกผู้อาวุโสต่างก็จะกระจายตัวกันค้นหาลูกศิษย์ที่ถูกนำส่งกลับมาอย่างรวดเร็ว ต้องการทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหุบเหวกระบี่อุกกาบาต

ยามนี้ลูกศิษย์ฝ่ายในกลุ่มหนึ่งหาคนคนหนึ่งพบที่ชายป่า คนผู้นี้สลบไสลตอนถูกนำส่ง เวลานี้จึงถูกคนช่วยเหลือให้ฟื้นตื่น

หลังจากฟื้นแล้ว ประโยคแรกที่ลูกศิษย์ซึ่งร่วมสร้างฐานรากในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตผู้นี้พูดออกมาก็ทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายในรอบกายที่ช่วยเหลือเขาตะลึงงันทันที

“อาจารย์อาป๋ายเสี่ยวฉุน สร้างฐานรากวิถีฟ้า!!”

ประโยคนี้ราวกับอสนีบาตดังอึงอลอยู่ในจิตใจของทุกคน ลูกศิษย์ฝ่ายในเหล่านั้นสำลักลมหายใจกันหมด เรื่องนี้ใหญ่เกินไป พวกเขารีบส่งข่าวนี้กลับสำนักโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด

ไม่นาน หลังจากที่ทยอยหาลูกศิษย์ซึ่งถูกนำส่งกลับมาเหล่านี้เจอ ข่าวแต่ละข่าวก็ถูกส่งกลับสำนัก เรื่องที่ทุกคนแจ้งให้สำนักทราบล้วนเป็นคำพูดในทำนองเดียวกัน!

ป๋ายเสี่ยวฉุน สร้างฐานรากวิถีฟ้า!

โลกกระบี่อุกกาบาต ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นคนที่ทำให้อีกสามสำนักสิ้นหวัง สังหารจ้าวโหรวแห่งสำนักธาราโอสถ เข่นฆ่าฟางหลินแห่งสำนักธาราโอสถ ทำร้ายจิ๋วต่าวบาดเจ็บหนัก แย่งชิงปราณชีพจรฟ้าจากซ่งเชวียมาได้สำเร็จ เลื่อนขั้นเป็นสร้างฐานรากวิถีฟ้า!

ยังมีคนถึงขั้นพูดว่า เหลยซานแห่งสำนักธาราทมิฬก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนฆ่าเช่นกัน

ข่าวเช่นนี้ทำให้ตลอดทั้งสำนักธาราเทพฮือฮากันขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสทุกคน ผู้นำของทั้งเจ็ดเขา และยังมีเจ้าสำนักล้วนสะท้านสะเทือน ดีใจกันอย่างบ้าคลั่ง ก่อนหน้านี้พวกเขาร้อนใจ ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ของสำนักไหนที่สร้างฐานรากวิถีฟ้าได้สำเร็จ อันที่จริงแล้วในใจพวกเขาล้วนวิเคราะห์ไว้ว่าผู้ที่สร้างฐานรากวิถีฟ้า เป็นไปได้มากกว่าคือสำนักธาราโลหิต

ทั้งยังถึงขนาดสั่งการให้สายลับที่อยู่บริเวณโดยรอบสำนักธาราโลหิตไปฆ่าลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตผู้นี้แล้วด้วยซ้ำ

ทว่าตอนนี้กลับค้นพบอย่างตื่นตะลึงว่าที่แท้ผู้ที่สร้างฐานรากชีพจรฟ้าได้…ก็คือลูกศิษย์สำนักธาราเทพของพวกเขาเอง และคนผู้นั้นก็คือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!

ขณะเดียวกันกับที่หลี่ชิงโหวและเจ้าสำนักดีใจอย่างบ้าคลั่ง ยังสั่นสะเทือนไปถึงผู้อาวุโสไท่ซ่างของสำนักธาราเทพด้วย ตลอดทั้งสำนักเคลื่อนพลกันอีกครั้ง กระจายกันออกไปสี่ทิศ ครั้งนี้มีเพียงภารกิจเดียว!

“หาป๋ายเสี่ยวฉุนเจอแล้วรีบส่งข้อความเสียงทันที ปกป้องเต็มกำลัง คุ้มกันกลับสำนัก!”

ขณะเดียวกัน เวลาช่วงนี้สำนักธาราเทพก็ได้ควบคุมคนที่น่าสงสัยทุกคนซึ่งอยู่ในขอบเขตอย่างเข้มงวด พวกเขาเชื่อว่าหลังจากที่อีกสามสำนักได้รับข่าวนี้แล้วย่อมคิดฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่เสียดายค่าตอบแทนแน่นอน!

และตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในอาณาบริเวณของสำนักธาราเทพ ซึ่งมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสำนักธาราเทพก็ยากที่จะปิดบังได้ ขณะเดียวกันกับที่สำนักธาราเทพรู้ข่าวนี้ ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นต่างก็ได้รับเบาะแสเช่นกัน บุรพาจารย์แต่ละตระกูลสะท้านสะเทือนถึงขีดสุด ฮึกเหิมเป็นกำลัง ให้คนในตระกูลแยกย้ายกันออกตามหาป๋ายเสี่ยวฉุน

พวกเขารู้ว่าตลอดทั้งเกาะตงหลินนี้ ค่ายกลนำส่งอาจพาป๋ายเสี่ยวฉุนไปปรากฏตัวอยู่ในสถานที่ใดก็ได้

หากตระกูลของตัวเองโชคดี หาป๋ายเสี่ยวฉุนเจอก่อน ต่อให้ได้แค่เชิญอีกฝ่ายมานั่งอยู่ในตระกูลตัวเองครู่เดียว ก็ถือเป็นเกียรติยศอันสูงสุด เพราะนั่นคือสร้างฐานรากวิถีฟ้าเชียวนะ

หรือหากคนในตระกูลของตัวเอง มีใครได้รับการชี้แนะจนกลายมาเป็นเพื่อนของคนผู้นี้ ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งถือเป็นเรื่องดีสุดขีด

และยังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง ขณะที่เชิญป๋ายเสี่ยวฉุนมา หากผู้หญิงในตระกูลของตนถูกตาต้องใจอีกฝ่าย ได้กลายเป็นคู่บำเพ็ญตบะ ต่อให้เจ้าสำนักจะห้ามเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์เสียแล้ว

“ทุกคนออกไปตามหาให้ข้า ไม่แน่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะถูกส่งมาที่พวกเรานี่ก็ได้!”

ขณะที่ตระกูลผู้บำเพ็ญตบะมากมายส่งคนของตระกูลออกไปตามหาในขอบเขตทั้งหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนและโหวอวิ๋นชิงก็มาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงแล้ว

ที่นี่คือที่พักขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่ง รอบด้านล้อมรอบด้วยกำแพง ด้านในสามารถมองเห็นต้นสนและหินจำลอง และยังมีศาลาอีกหลายหลัง ใหญ่พอสิบหมู่[1] งามสง่าเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในลานบ้านที่ยังมีหอเรือนสามชั้นหลังหนึ่ง ราวกับวังหลวง สลักรูปหงส์รูปมังกร ท่ามกลางความงามเรียบหรูนั้นแฝงไว้ด้วยความสูงศักดิ์

ผู้คนจอแจ ด้านในมีข้ารับใช้เดินไปเดินมา ยกสุราเลิศรสและผลไม้สดคอยปรนนิบัติด้วยท่าทีพินอบพิเทาอยู่ข้างกายแขกผู้มีเกียรติสูงศักดิ์

ในลานที่พักตอนนี้มีแขกอยู่นับร้อยคน มีทั้งชายทั้งหญิง มีทั้งเด็กทั้งแก่ มีทั้งนั่งอยู่เพียงลำพัง มีทั้งนั่งเป็นกลุ่มสามคนห้าคน กำลังพูดคุยยิ้มหัวให้แก่กัน

ตำแหน่งหน้าประตูของลานที่พักแห่งนี้ยังมีทหารยามอยู่อีกหลายคนคอยตามชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ท่าทางเหมือนพ่อบ้าน ยิ้มต้อนรับเชิญแขกทุกคนเข้าไปด้านใน หากเป็นคนแปลกหน้าก็จะต้องขอดูบัตรเชิญ เมื่อยืนยันตัวแล้วจึงปล่อยเข้าไปในลานกว้าง

โหวอวิ๋นชิงเพิ่งมาถึงก็ได้รับการเชื้อเชิญด้วยท่าทางเคารพนบนอบจากพ่อบ้านที่ยืนอยู่หน้าประตูทันที พาเข้าไปในลานที่พัก ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ข้างกายโหวอวิ๋นชิง มองไปที่งานเลี้ยงก็รู้สึกแปลกใหม่เป็นอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เข้าร่วมงานเลี้ยง

เพิ่งจะเข้ามา ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งซึ่งห่างออกไปไม่ไกลดังลอยมา ข้างกายเขามีหญิงสาวอายุน้อยผู้หนึ่ง เดินมาทางโหวอวิ๋นชิง ชายฉกรรจ์ผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีม่วง บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา ใบหน้าแดงปลั่ง บนนิ้วมือทั้งสิบเต็มไปด้วยแหวน บนร่างมีหยกพกอีกเจ็ดแปดชิ้น ท่าทางร่ำรวยอย่างมาก

————

[1] หมู่ หรือ ไร่จีน 1 หมู่ = 666.67 ตารางเมตร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version