Skip to content

A Will Eternal 17

บทที่ 17 เจ้าเต่าน้อย

เช้าตรู่วันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกจากบ้านไม้ตั้งแต่เช้า มองเห็นว่าไผ่เหมันต์วิเศษในที่นาวิเศษผืนนั้นเติบโตขึ้นประมาณครึ่งตัวคนแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เดินออกจากลานบ้านมุ่งหน้าไปยังหอหมื่นโอสถ

ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากที่ไกลๆ แสงอรุโณทัยสาดส่องไปทั่วฟากฟ้า ไอหมอกดุจดังปลาทองแหวกว่ายอยู่ในแสงแดด มองแล้วเป็นภาพอันงามสง่ายิ่งนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนย่างเท้าก้าวเดินรวดเร็ว ตลอดทางไม่เคยหยุดพัก ระหว่างทางค่อยๆ มองเห็นศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อย เพียงแต่ว่าไม่รู้จักใครสักคน จึงอดคิดถึงศิษย์พี่หลายคนในฝ่ายครัวไฟไม่ได้

“ไม่รู้ว่าตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่จะเป็นยังไงบ้าง แล้วก็เฮยซานพั่ง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจอยู่ในใจ เดินมาได้ครึ่งชั่วยามกว่า เมื่อพระอาทิตย์ลอยอยู่บนฟ้าแล้ว เขามองเห็นป้ายศิลาที่น่าตกตะลึงจำนวนสิบแผ่นของหอหมื่นโอสถไกลๆ

ป้ายศิลาทั้งสิบแผ่นนี้คือสัญลักษณ์ของหอหมื่นโอสถ ป้ายศิลาแต่ละแผ่นจะมีแสงสีเขียวอ่อนกระจายออกมา สูงหลายสิบจั้ง ลักษณะน่าเกรงขามราวกับมียักษ์สิบตนยืนอยู่ตรงนี้ พลังอำนาจไม่ธรรมดา

บนป้ายศิลาสามารถมองเห็นตัวอักษรเป็นแถวๆ ได้อย่างชัดเจน อันเป็นการจัดอันดับตั้งแต่หนึ่งถึงร้อย

เพียงแต่ว่าด้านบนไม่มีชื่อ แต่เป็นภาพทั้งหมด ทุกภาพล้วนเป็นตราสัญลักษณ์อาจารย์โอสถที่ใช้แทนตัวศิษย์ฝ่ายนอกซึ่งทิ้งชื่อเสียงอันเลื่องลือในหอหมื่นโอสถ

อาจารย์โอสถทุกคนล้วนมีตราสัญลักษณ์ของตัวเอง บนยาวิเศษที่กลั่นหลอมออกมาได้อย่างน่าพึงพอใจทั้งหมดล้วนมีการสลักเอาไว้และหมุนเวียนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ชั่วกาลนาน ดังนั้นสำหรับอาจารย์โอสถแล้ว ตราสัญลักษณ์ก็คือตัวแทนของเกียรติยศ เป็นสิ่งสำคัญมาก

วันที่โหวเฟยอวิ๋นพาป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่แห่งนี้ก็เคยแนะนำให้ฟังง่ายๆ คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาเพียงลำพัง เมื่อเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขาก็มองเห็นรายชื่อที่อยู่บนป้ายศิลาทั้งสิบแผ่น

ที่สะดุดตามากที่สุด ก็คือชื่อแรกที่อยู่บนป้ายศิลาด้านหน้าเขาแผ่นนั้น

นั่นคือคนโทหนึ่งขวด!

คนโทขวดนี้ โหวอวิ๋นเฟยเคยบอกป๋ายเสี่ยวฉุนว่ามันเป็นตัวแทนของ…โจวซินฉี!

ชื่อนี้ไม่แปลกหูสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนที่เขายังเป็นนักการ เคยได้ยินจางต้าพั่งพูดถึงชื่อโจวซินฉีนี้ขึ้นมาครั้งหนึ่งตอนที่กินหนวดโสมคนพลางปลงอนิจจังภายใต้แสงจันทร์

หญิงผู้นี้เดิมคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง หลายปีก่อนถูกผู้อาวุโสท่านหนึ่งสังเกตเห็นถึงสติปัญญาอันน่าตกตะลึง จึงชักชวนเข้าสำนัก หลังจากตรวจสอบความเฉลียวฉลาดอย่างละเอียดแล้ว ก็สั่นสะเทือนทั้งสำนักธาราเทพ

นางมีพรสวรรค์ในด้านสมุนไพรอย่างหาตัวจับยาก ไม่เพียงแต่ความเร็วในการฝึกวิชาที่มีมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว ในด้านการกลั่นยาก็ยิ่งมีศักยภาพแฝงที่น่าตะลึง สุดท้ายได้เข้าเป็นศิษย์ของเขาเซียงอวิ๋นและกลายเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของหลี่ชิงโหว ถูกมองว่าเป็นผู้สืบทอดของหลี่ชิงโหว เป็นปรมาจารย์โอสถที่คอยค้ำจุนสำนักในอนาคต!

กฎของสำนักธาราเทพ ต่อให้มีสติปัญญาสูงมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในได้โดยตรง ดังนั้นหญิงสาวคนนี้จึงเป็นเหมือนศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจคนอื่นๆ ของยอดเขาทั้งสองแห่ง ที่ล้วนเริ่มต้นด้วยการเป็นศิษย์ฝ่ายนอก และใช้สิ่งนี้มาฝึกฝนตนเอง ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนที่มีให้แน่นอนว่าต้องเป็นไปตามกฎของสำนัก

อีกทั้งไม่ว่าใครก็ล้วนรู้ดี โจวซินฉีคนนี้ไม่ต้องใช้เวลานานก็สามารถกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในได้อย่างเป็นทางการ

แถมหญิงสาวผู้นี้ยังงดงามน่าหลงใหล ทำให้ลูกศิษย์ชายจำนวนนับไม่ถ้วนชื่นชมบูชา

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ชื่อเสียงของนางจึงเลื่องลือในหมู่ลูกศิษย์เขาเซียงอวิ๋น ไม่มีใครไม่รู้จัก ต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายในก็ล้วนไม่เคยมองนางเป็นคนฝ่ายนอก แม้แต่คนฝ่ายในที่อยู่มายาวนานก็ล้วนหวาดเกรงหญิงสาวผู้นี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกประหลาดใจในตัวโจวซินฉีผู้นี้อย่างยิ่ง มองไปที่ป้ายศิลาเหล่านั้น เขาถือโอกาสเดินวนไปรอบใหญ่หนึ่งรอบซะเลย มองไปที่ป้ายศิลาแต่ละแผ่นก็ค่อยๆ อึ้งงันขึ้นเรื่อยๆ

“โจวซินฉีคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว ป้ายศิลาทั้งสิบ นางอยู่อันดับหนึ่งถึงแปดป้าย ที่อีกสองป้ายที่เหลือไม่มีชื่อนาง น่าจะเป็นเพราะนางยังไม่ได้ลงแข่ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง สายตากวาดไปทั่วป้ายศิลา

ในเวลานี้ลูกศิษย์ที่อยู่รอบๆ หอหมื่นโอสถค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่นานก็กลายเป็นฝูงมหาชน ป๋ายเสี่ยวฉุนดึงสายตากลับมาจะตามหาสถานที่แลกตำราพืชหญ้าเล่มที่สอง ครั้นมองเห็นว่าสถานที่แห่งนี้มีคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็แปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมคนถึงมากมายขนาดนี้ ดังนั้นจึงเบียดไปข้างหน้า พลันก็ได้ยินเสียงฮือฮาเหมือนเสียงคลื่นดังลอยมาจากรอบทิศอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์พี่หญิงโจวมาแล้ว!”

“ฮ่าๆ ข่าวลือก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงเสียด้วย ช่วงนี้ศิษย์พี่หญิงโจวจะต้องมาที่นี่แน่นอน ไม่เสียแรงที่ข้ามารออยู่หลายวัน”

“คราวก่อนตำราพืชหญ้าเล่มที่ห้า ตำราสัตว์วิเศษเล่มที่สาม ศิษย์พี่หญิงโจวล้วนเป็นที่หนึ่ง คราวนี้นางจะต้องท้าชิงตำราสัตว์วิเศษเล่มที่สี่อย่างแน่นอน!”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบทิศดังขึ้นมาในฉับพลัน กลุ่มคนเบียดเสียดกันแน่น ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกหนีบอยู่ข้างใน ยังดีที่ร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่อ้วนแล้ว เบียดไปเบียดมา สุดท้ายก็ออกมาได้ ขณะที่เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นสายรุ้งเส้นยาวเส้นหนึ่งลอยมาจากที่ไกลๆ แวบผ่านไป

สายรุ้งยาวเส้นนั้นเป็นแพรต่วนสีฟ้าหนึ่งเส้น ด้านบนมีหญิงสาวสวมชุดศิษย์ฝ่ายนอกอยู่คนหนึ่ง หญิงสาวผู้นี้มีผมสีนิลพลิ้วไหวตามสายลมดั่งผ้าไหม คิ้วเล็กเรียวยาว ดวงตาทั้งคู่ดั่งจันทร์กระจ่าง ผิวพรรณงดงามน่าทึ่ง รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น สวยสง่างามโดดเด่น

ในเวลานี้กำลังบินตรงดิ่งไปยังป้ายหนึ่งในบรรดาป้ายศิลาทั้งสิบแผ่น ภายใต้เสียงไชโยโห่ร้องของเหล่าศิษย์ฝ่ายนอก หญิงสาวลงมายังพื้นดินทว่ามิได้มองรอบกาย นัยน์ตามีแต่บ้านไม้ที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านหลังแผ่นศิลาหินทั้งสิบเท่านั้น เมื่อเลือกบ้านไม้หลังหนึ่งแล้วก็ก้าวยาวๆ เดินเข้าไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงเพิ่งจะมองเห็นว่าใต้แผ่นศิลาทั้งสิบนี้ รอบๆ ป้ายศิลาแต่ละแผ่นล้วนมีบ้านไม้ตั้งเรียงรายอยู่หนึ่งแถว ในเวลานี้นอกจากป้ายศิลาที่หญิงสาวเดินเข้าไปแล้ว บ้านไม้ด้านล่างป้ายศิลาแผ่นอื่นล้วนมีคนเดินเข้าๆ ออกๆ อยู่จำนวนไม่น้อย

“ในที่สุดก็ได้เห็นศิษย์พี่หญิงโจวอีกครั้ง ครั้งนี้ศิษย์พี่หญิงโจวจะต้องเป็นอันดับหนึ่งของป้ายศิลาที่เก้าได้สำเร็จแน่!”

“เป้าหมายของศิษย์พี่หญิงโจวคือขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของศิลาทั้งสิบอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และก็มีแค่นางเท่านั้นถึงจะทำได้ จากการที่นางเข้าทดสอบตำราสัตว์วิเศษเล่มที่สี่ เล่มที่ห้า จะต้องได้เป็นที่หนึ่งแน่นอน!” ขณะที่ลูกศิษย์โดยรอบพากันตื่นเต้นขึ้นมา ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปหาศิษย์ฝ่ายนอกที่มองดูแล้วค่อนข้างผอมบางซึ่งยืนอยู่ด้านข้างคนหนึ่ง ตะโกนว่าศิษย์พี่หญิงโจวสู้ๆ ดังๆ อยู่สองสามครั้งก่อน จากนั้นจึงถือโอกาสสอบถาม ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดีมาก จึงตอบคำถามเขาอย่างละเอียด

ป๋ายเสี่ยวฉุนแน่ใจแล้วว่าจะได้ตำราพืชหญ้าเล่มที่สองมา จำเป็นต้องผ่านการทดสอบในบ้านไม้ด้านล่างป้ายศิลาเสียก่อน เมื่อทำสำเร็จถึงจะได้มันมา ดังนั้นจึงรีบเบียดเข้าไปทางป้ายศิลาแผ่นแรก กว่าจะเข้ามาใกล้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับพบว่าในบ้านไม้แห่งนี้เต็มแล้ว รออยู่สักพักถึงได้เห็นว่ามีคนเดินหน้าม่อยคอตกออกมา เขาไม่ลังเล รีบก้าวเข้าไปทันที

เพิ่งจะเข้ามาด้านใน เสียงเอะอะด้านนอกก็เหมือนถูกปิดกั้นเอาไว้ กลายเป็นความเงียบสงัด บ้านไม้ขนาดไม่ใหญ่ มีเบาะนั่งทรงกลมวางไว้ตรงกลาง ด้านหน้าเบาะนั่งมีป้ายศิลารูปร่างเหมือนเลขหนึ่งขนาดเล็กตั้งอยู่

ป๋ายเสี่ยวฉุนทำตามวิธีที่ถามมา นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะนั่ง หยิบเอาแผ่นหยกพืชหญ้าเล่มที่หนึ่งออกมาแตะสัมผัสกับป้ายศิลา แผ่นหยกนี้ละลายในทันที ป้ายศิลาสั่นไหวเล็กน้อย มีแสงสว่างส่องกระจายออกมา

“เมื่อครู่ศิษย์พี่คนนั้นบอกว่า ในเวลานี้ต้องวาดสัญลักษณ์อาจารย์โอสถซึ่งจะเป็นตัวแทนของตนในอนาคตหนึ่งรูปลงบนป้ายศิลานี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดอยู่สักพักก็หัวเราะคิกคัก วาดรูปเต่าตัวหนึ่งลงไป เขาชอบเต่า รูปเต่านี้บิดๆ เบี้ยวๆ ออกจะน่าเกลียดไปสักหน่อย แต่เขากลับรู้สึกว่ามันดูดีไม่เลวทีเดียว

สัญลักษณ์รูปเต่าเปล่งแสงวาบแล้วก็หายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาเผยความฮึกเหิม ยกมือขวาขึ้นค่อยๆ กดฝ่ามือลงไปบนป้ายศิลา แทบจะเวลาเดียวกับที่สัมผัสป้ายศิลานั้น สมองของเขาก็มีเสียงตูมดังขึ้นมาหนึ่งที ดวงตาพร่าเลือนอย่างฉับพลัน เมื่อมองเห็นชัดอีกครั้ง รอบกายก็ไม่ใช่บ้านไม้อีกต่อไป แต่กลับมาอยู่ในพื้นที่ของภาพมายาแห่งหนึ่ง

ยังไม่ทันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะประเมินสภาพรอบด้านเสร็จ พลันแสงหนึ่งก็วาบขึ้น ด้านหน้าเขามีสมุนไพรจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา

สมุนไพรเหล่านี้ไม่สมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังล้วนชำรุดเสียหาย ถูกหั่นออกเป็นสิบกว่าส่วนปะปนอยู่ด้วยกัน ปูแผ่ออกแน่นขนัด

เมื่อมองไป มีจำนวนมากมายไม่อาจนับหมดได้ในทันที

นี่ก็คือการทดสอบอันน่ากลัวของหอหมื่นโอสถ ที่ทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนนับไม่ถ้วนของเขาเซียงอวิ๋นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หลายปีมานี้คนมากมายต้องทอดถอนใจต่อหน้าการทดสอบนี้ และก็ด้วยเหตุนี้ ใครก็ตามที่มีชื่อปรากฏอยู่บนป้ายศิลา เข้าเป็นร้อยคนแรกได้ มักจะถูกคนจำนวนนับไม่ถ้วนอิจฉา และที่มากไปกว่านั้นก็คือให้การยอมรับจากใจจริง

โดยเฉพาะอันดับหนึ่งถึงอันดับสิบ ถือเป็นเกียรติยศอย่างแท้จริง

“ในเวลาหนึ่งก้านธูป จงต่อลำต้นวิเศษเข้าด้วยกัน ใช้จำนวนที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดเป็นการทดสอบ เริ่มได้” น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ใดเสียงหนึ่งดังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ ณ พื้นที่มายาแห่งนี้

“ง่ายขนาดนี้เชียว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย ด้วยระดับความลึกซึ้งที่เขาเข้าใจต่อสมุนไพรในแผ่นหยก ในเวลานี้แค่มองไปก็สามารถประกอบชิ้นส่วนเสียหายของสมุนไพรนับร้อยชนิดนั้นได้ทันที

ก่อนจะมาเขาคิดไว้เยอะมาก เวลานี้เห็นการทดสอบแบบนี้ ในใจจึงผ่อนคลายลง แต่ก็กลับรู้สึกไม่วางใจตามมาติดๆ

“ไม่ได้ การทดสอบง่ายดายแบบนี้ สุดท้ายจำนวนที่ทำให้สามารถผ่านได้จะต้องสูงมากอย่างแน่นอน” พอป๋ายเสี่ยวฉุนเครียดจึงรีบทำเวลาทันที ยกมือขวาขึ้นมาชี้ติดต่อกันสิบกว่าครั้ง เศษสมุนไพรที่ถูกเขาชี้ไปทุกชิ้นล้วนเข้ามารวมกันตามความคิดของเขา พริบตาเดียวก็รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นสมุนไพรสองต้น

มือทั้งสองข้างของเขาไม่เคยหยุดพัก ชี้ติดต่อกันไปอีกครั้ง เศษซากจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาแทบจะไม่ได้หยุด แต่ละชิ้นบินเข้ามารวมกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสมุนไพรทีละต้นและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เป็นร้อยชนิดในเวลาอันรวดเร็ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กะพริบตา ตั้งสมาธิแน่วนิ่ง ลืมทุกเรื่องที่อยู่รอบกายไปหมด สายตาเห็นแค่เพียงเศษซากพืชหญ้าเหล่านี้ มือทั้งสองตวัดรัวเร็ว เขาร้อนใจ กังวลว่าการทดสอบจะล้มเหลว ดังนั้นในเวลานี้จึงยิ่งแน่วแน่ ดวงตาค่อยๆ มีเส้นเลือดฝอยปรากฏออกมา มือทั้งสองก็ยิ่งตวัดเร็วกว่าเดิม

หนึ่งร้อยต้น สองร้อยต้น สามร้อยต้น ห้าร้อยต้น…หนึ่งพันต้น!

ศรีษะของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเหงื่อ ถึงขนาดที่ว่ามีไอขาวลอยขึ้นกลางศีรษะ มือทั้งสองยิ่งตวัดเร็ว เศษซากพืชหญ้าเหล่านั้น เขาแค่มองครั้งเดียวก็สามารถจำได้ทันทีว่าเป็นชนิดไหน เพราะขณะที่เขาท่องจำจากแผ่นหยก เขาก็ทำถึงขั้นที่ว่าอยากจะเอาพืชหญ้าเหล่านั้นมาบดให้เป็นฝุ่นผงเพื่อศึกษาด้วยซ้ำ

ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงสังเกตอย่างถึงที่สุด มองจากสิ่งเล็กๆ เพื่อให้เข้าใจครบทุกส่วน

หากลูกศิษย์ที่อยู่ด้านนอกเห็นภาพนี้เข้า ทุกคนต้องล้วนอ้าปากค้าง ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน พวกเขาเข้าใจว่าการทดสอบนี้น่ากลัวจนขนหัวลุก แต่กลับไม่มีทางคิดถึงว่า การศึกษาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีต่อพืชหญ้านับหมื่นชนิดในแผ่นหยกนั้นต่างหากที่ทำให้คนขนหัวลุกได้อย่างแท้จริง

เวลาผ่านไป สองพันต้น สามพันต้น…

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย มือทั้งสองของเขาทำได้เพียงฝืนเคลื่อนไหวไปมา หากไม่ใช่เพราะพลังขั้นที่สี่ของการรวมลมปราณค้ำยันเอาไว้ เกรงว่าคงจะมิอาจเคลื่อนตามความคิดได้ทันตั้งนานแล้ว

มาถึงระดับนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตนเองจะผ่านไปได้หรือไม่ ทำได้เพียงกัดฟันยืนหยัดต่อไปไม่หยุด

สี่พันต้น ห้าพันต้น หกพันต้น เจ็ดพันต้น…

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ขณะที่เศษชิ้นส่วนของสมุนไพรเหล่านั้นเหลืออยู่ไม่มาก ทันใดนั้นทั้งหมดก็มีแสงวาบขึ้นมาแล้วหายไปในพริบตา ด้านหน้าพร่าเลือนอีกครั้ง เมื่อมองเห็นได้ชัดเจน ตัวเขาก็กลับเข้ามาอยู่ในบ้านไม้แล้ว บนป้ายศิลาปรากฏแผ่นหยกหนึ่งอัน ซึ่งก็คือแผ่นหยกพืชหญ้าแผ่นแรกของเขาที่หลอมละลายหายไปก่อนหน้านี้

“ยังขาดอีกนิดเดียว ขาดแค่นั้นเอง…” เขาคับข้องใจ หยิบแผ่นหยกขึ้นมาแล้วหน้าม่อยคอตกเดินออกจากบ้านไม้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องของคนจำนวนนับไม่ถ้วนด้านนอก

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ และเห็นในทันทีว่าบ้านไม้ที่โจวซินฉีเข้าไป เวลานี้หญิงสาวผู้นั้นกำลังเดินออกมาพอดีเช่นกัน อีกทั้งป้ายศิลาด้านหลังของนาง คนโทที่เป็นตัวแทนของนางก็ปรากฏขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่ง

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version