Skip to content

A Will Eternal 310

บทที่ 310 ตู้เซวี่ยเหมย คารวะบุตรโลหิต!

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่หนึ่ง หลายปีมานี้เมื่อใดที่เขาสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ ก็ล้วนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ทุกครั้ง แล้วก็ไม่เคยถูกใครขัดจังหวะมาก่อนด้วย ตอนนี้หลังจากชะงักงันไปครู่หนึ่ง เขาพลันเบิกตากว้าง มองปราดเดียวก็เห็นว่าตรงปากถุงเก็บของมีหัวสีเขียวมันขลับของเจ้าเต่าน้อยนั่นโผล่ออกมา

“บัดซบ เจ้ายังอยู่ในถุงเก็บของจริงๆ ด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเบ็งเสียงดัง มือขวายกขึ้นหมายจะคว้าจับ เจ้าเต่าน้อยเหลือบตามองสูงใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้งแล้วหดหัวผลุบหายวับไปทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนเกรี้ยวกราด ตอนนั้นเจ้าเต่าน้อยเล่นงานเขาอย่างโหดร้ายยิ่งนัก เวลานี้พอย้อนนึกถึงวันเวลาที่ตนถูกจระเข้สีทองไล่โจมตี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกสั่นเยือกไปทั้งใจ

ไฟโทสะเดือดดาลที่มีต่อเจ้าเต่าน้อยยิ่งลุกโชติช่วง แต่ไม่ว่าเขาจะหาอย่างไรก็หาไม่เจอแม้แต่เงาของมัน สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนจึงทำได้เพียงกัดฟันกรอด ถือโอกาสเปลี่ยนถุงเก็บใบใหม่ แล้วขว้างถุงเก็บของใบก่อนหน้านี้โยนทิ้งออกไปนอกเมืองอย่างแรง

“เจ้าแน่จริงก็ออกมาอีกสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยความแค้นเคือง เพิ่งจะพูดจบในถุงเก็บของที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ก็มีหัวของเต่าน้อยโผล่ออกมา มันกวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาดูหมิ่น

“เห็นแก่ที่เจ้าเปลี่ยนบ้านใหม่ให้ท่านเต่า คราวนี้ท่านเต่าจึงยอมฟังเจ้า ออกมาให้เจ้ากราบคารวะสักหน่อย!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะร้องไห้ซะจริงๆ เนิ่นนานถึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด เขารู้ว่าตัวเองทำอะไรเจ้าเต่าน้อยนี่ไม่ได้จริงๆ จึงเงยหน้าขึ้นด้วยความกลัดกลุ้ม ตอนที่มองไปยังรอบด้าน เห็นว่าเวลานี้นักพรตเทพโลหิตสองสำนักต่างก็พากันเฮโลเข้าไปในเมืองคูน้ำ ยอมรับการยอมจำนนจากสำนักธาราทมิฬ…

ส่วนลิงและกระต่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนหาอยู่นานมากก็ยังมองไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกมัน รวมทั้งเถี่ยตั้นที่พอเมืองแตกก็บินเข้าไป แล้วไม่เห็นหัวอีก…

“ลิงและกระต่ายนั่น ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลุ้มใจ ทั้งยังรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย อดถึงนึกสัตว์เล็กสัตว์น้อยตัวอื่นไม่ได้

ไม่นานกองกำลังที่เหลืออยู่ของสำนักธาราโอสถก็กรูกันเข้ามาจากด้านหลังของเมืองคูน้ำ ด้านหนึ่งมองประสานสายตากับสหายร่วมสำนักที่สวามิภักดิ์เข้ากับสำนักธาราทมิฬด้วยความซับซ้อน อีกด้านหนึ่งช่วยเหลือเทพโลหิตจัดการกับพละกำลังทั้งหมดของสำนักธาราทมิฬ

บุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราทมิฬ โดยเฉพาะบุรพาจารย์ชื่อหุนผู้นั้นไม่ได้โดนปิดผนึก แต่ถูกปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตและบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพกักตัวเอาไว้ท่ามกลางความนิ่งสงบ

ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้ใช้วิธีการมากมายของเทพโลหิตจัดระบบพวกเขาเสียใหม่

เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นกังวล เขาแค่มองไม่กี่ครั้งก็ถอนสายตากลับ มองนักพรตเทพโลหิตที่อยู่ในเมืองคูน้ำ คนเหล่านี้ต่างก็ตื่นเต้นและฮึกเหิม เสียงไชโยโห่ร้องมีให้ได้ยินจากทุกแห่งในเมืองคูน้ำที่ย่อยยับแห่งนี้ สามารถพูดได้ว่า การยุติลงของสงครามครั้งนี้เป็นตัวแทนของการรวมตัวกันเป็นหนึ่งของตลอดทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออกตอนล่างอย่างแท้จริง!

หลังจากนี้จำเป็นต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งในการปรับตัวเข้าหากัน รวบรวมพละกำลังของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนล่างบุกขึ้นไปฆ่ายังตอนกลาง ท้าชิงสำนักธารฟ้า!

ศึกครั้งนี้ เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นที่จับตามองนานแล้ว บัดนี้จึงยิ่งกลายเป็นดั่งดวงตะวันแรงกล้าในใจของนักพรตเทพโลหิตสองสำนัก สายตาทุกคนที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็แฝงไว้ด้วยความเคารพยำเกรงและความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะลูกศิษย์หญิงที่ดวงตายิ่งเปล่งประกายแฝงความนัยที่แตกต่าง ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถูกมองรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์อย่างมาก ข่มกลั้นความไม่พอใจที่มีต่อเจ้าเต่าน้อยลงไป ในใจปิติเบิกบานถึงขีดสุด วางมาดของผู้อาวุโสเดินไปเดินมาอยู่ในเมืองคูน้ำ

บางครั้งมองเห็นนักพรตที่รู้จักเขาก็จะพยักหน้าอมยิ้มน้อยๆ ตลอดทางที่เดินมาคำเรียกขานว่าบุรพาจารย์น้อยมีให้ได้ยินไม่ขาดระยะ

ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขาพบว่านอกจากตัวเองแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่เป็นที่จับตามองของคนมากมายบนสนามรบแห่งนี้เช่นกัน โดยเฉพาะทุกคนของสำนักธาราโอสถที่ระหว่างอยู่ในขั้นตอนหลอมรวมเข้ากับเทพโลหิตก็ยิ่งพร่ำพูดถึงคนผู้นี้ไม่หยุดปาก…

นาง ก็คือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราโอสถที่โดดเด่นขึ้นมาในสงครามครั้งนี้ เฉินม่านเหยา!

เมื่อเปรียบเทียนด้านตบะ และการจัดวางค่ายกลของหญิงสาวผู้นี้แล้ว จุดที่ทำให้นางได้รับความสนใจจากผู้คนมากที่สุดก็คือโฉมหน้าที่เรียกได้ว่าเป็นเอกเลิศลบธรณี ถึงแม้จะสวมผ้าคลุมหน้า ทว่าผ้าคลุมกึ่งโปร่งใสนั้นมิอาจบดบังความงามของนางได้เลย ทำให้ทุกที่ที่นางผ่านจึงกลายมาเป็นจุดรวมสายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเฉินม่านเหยาที่ถูกลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งห้อมล้อมห่างออกไปไกล ขณะที่เขากำลังรู้สึกยอมไม่ได้อยู่นั้น เฉินม่านเหยาพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเย็นชา

หลังจากถูกมองด้วยสายตาเย็นเยียบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่

“ตบะไม่ลึกล้ำเท่าข้า ฐานะไม่สูงส่งเหมือนข้า วิชาที่ฝึกไม่ดีเท่าข้า ภูมิหลังก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนข้า มีดีตรงไหนกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำหนึ่งประโยค คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะหน้าตาดีเท่าตัวเอง ดังนั้นจึงถลึงตาดุดันตอบกลับไป ทว่าเฉินม่านเหยากลับถอนสายตาคืน ค่อยๆ จากไปไกลพร้อมกับนักพรตจำนวนมากที่ห้อมล้อมอยู่ข้างกาย เสียงหัวเราะเบาๆ ดังลอยมาให้ได้ยินเป็นระยะ

ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึดฮัดเบาๆ หนึ่งครั้ง ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นยามสนธยาแล้ว เขาเดินอยู่ในเมืองคูน้ำ หลังจากสอบถามคนอื่นจึงหาพวกสวีเป่าไฉ จางต้าพั่ง โหวอวิ๋นเฟย เฮยซานพั่งเจอ พวกเขาบางคนได้รับบาดเจ็บ บางคนอ่อนแรง ยังดีที่ไม่มีใครตาย ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนลมหายใจอยู่ในใจ และตั้งใจไปขอบคุณลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ในค่ายกลเดียวกันกับสหายเหล่านี้ของเขาเป็นพิเศษ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนรู้จักวางตัว เขารู้ดีว่ามีความเป็นไปได้มากว่าคนอื่นๆ ตั้งใจให้การคุ้มครองเพื่อนสนิทเหล่านี้ของตัวเองมากเป็นพิเศษ พวกเขาถึงได้ยังมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยขอบคุณ ลูกศิษย์เหล่านั้นที่อยู่ในค่ายกลต่างก็รู้สึกเบิกบานใจ ยิ่งเคารพนับถือป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น

ที่นั่นยังมีนักพรตสำนักธาราโลหิตจำนวนไม่น้อย ทั้งยังมีผู้อาวุโสไท่ซ่างอีกหลายคนที่กำลังคุยโวเรื่องความโหดร้ายของสงครามครั้งนี้กับคนรุ่นเดียวกันของสำนักธาราเทพ การมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้ผู้อาวุโสไท่ซ่างเหล่านี้ต่างก็อมยิ้ม ทักทายปราศรัยกันอยู่ครู่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถามถึงจุดที่เซวี่ยเหมยถูกพาตัวไป

“ตอนนั้นที่อยู่บนสนามรบเซวี่ยเหมยบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็จำเป็นต้องปิดด่าน ตอนนี้เมืองคูน้ำถูกตีแตก ในฐานะที่นางเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของสำนักธาราโลหิต ย่อมต้องไปอยู่ที่ฝ่ายตะวันตกของเมืองซึ่งเป็นเขตที่มีการพังถล่มน้อยที่สุด เจ้าลองไปหาดูที่นั่นก็น่าจะหาเจอ” ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งของสำนักธาราโลหิตหัวเราะฮ่าๆ มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตายั่วเย้าหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยปาก

หลังจากรู้ว่าเซวี่ยเหมยอยู่ที่ไหน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง รู้สึกขัดเขินเล็กน้อยกับสายตายั่วเย้าของผู้อาวุโสไท่ซ่างคนนี้ หลังจากแสร้งทำเอื่อยเฉื่อยอยู่ต่ออีกครู่หนึ่งก็รีบห้อตะบึงไปทางฝั่งตะวันตกของเมืองทันที

ตลอดทางเขามองเห็นเมืองคูน้ำที่มีซากปรักหักพังอยู่รอบด้าน มองลูกศิษย์เทพโลหิตสองสำนักที่กำลังจัดระบบระเบียบ เขารู้สึกพึงพอใจอย่างมาก รู้สึกว่าการตัดสินใจของตัวเองตอนอยู่นอกเทือกเขาลั่วเฉินตอนนั้นช่างเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะหลังจากเห็นว่าระหว่างลูกศิษย์เทพโลหิตสองสำนักคล้ายจะกลมกลืนปรองดองกันขึ้นมาบ้างแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งชอบใจ ขณะที่เดินผ่านจุดศูนย์กลางของเมือง ที่นี่เป็นที่ตั้งของคลังสมบัติสำนักธาราทมิฬ แม้ว่าเวลานี้จะดึกมากแล้ว ทว่าที่แห่งนี้ก็ยังมีนักพรตจำนวนไม่น้อยกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตรวจนับสมบัติ หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนมองอยู่หลายที สีหน้าก็พลันกระตุก

“ปีนั้นซากปราการโอสถที่ข้าเห็นในสำนักธาราโลหิต ว่ากันว่าแย่งชิงเอามาจากสำนักธาราโอสถเมื่อหลายปีก่อน ดูเหมือนว่าในสำนักธาราโอสถจะยังมีซากปราการอยู่อีกครึ่งหนึ่ง และสำนักธาราโอสถก็เกือบจะถูกสำนักธาราทมิฬดับทำลายไปหมดแล้ว ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่ยอมสวามิภักดิ์ ไม่แน่ว่าปราการโอสถนั่นอาจจะอยู่ในคลังสมบัติของสำนักธาราทมิฬ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกมาถึงตรงนี้ก็เกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ รีบสาวเท้าถี่ๆ เข้าไปใกล้ หลังจากเจอลูกศิษย์ที่รับผิดชอบจัดระเบียบสมบัติของสำนักธาราทมิฬจึงสอบถามทันที

เรื่องแบบนี้หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ย่อมไม่มีทางได้รับคำตอบแน่นอน ทว่าตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนแตกต่างออกไป ลูกศิษย์ผู้นั้นที่รับผิดชอบตรวจนับสิ่งของแค่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า หลังจากช่วยตรวจสอบให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วยังพาเขาเข้าไปในคลังสมบัติ หยิบเอาปราการโอสถอีกครึ่งหนึ่งของสำนักธาราโอสถออกมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรงด้วย

เพียงแต่จำเป็นต้องลงบันทึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยืมปราการโอสถนี้ไป เรื่องนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว สีหน้าเขาตื่นเต้น มองปราการโอสถชิ้นนั้นแล้วเริ่มศึกษาอยู่ครู่หนึ่ง

ยังดีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะเข้าฌาน จึงทำเพียงศึกษาแบบผ่านๆ แม้ไม่ได้ผลพวงมากนัก ทว่าเขากลับมองออกว่าหากตัวเองเข้าฌานด้วยปราการโอสถนี้ ถ้าเช่นนั้นความรู้วิถีโอสถที่จะได้รับต้องทำให้การหลอมยาของตนก้าวทะยานพรวดพราดแน่นอน

“ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นอาจสามารถทดลองหลอมยาทวนธาราได้อีกครั้ง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเกาหัว เก็บปราการโอสถลงไป หลังจากเอ่ยขอบคุณลูกศิษย์ที่รับผิดชอบตรวจนับสมบัติของสำนักธาราทมิฬแล้วจึงเร่งเดินทางไปยังฝั่งตะวันตกของเมืองอย่างว่องไว

เวลานี้พระจันทร์ลอยสูงเด่นอยู่กลางฟ้า เมื่อเปรียบเทียบกับเขตอื่นๆ ฝั่งตะวันตกของเมืองถือเป็นจุดที่นักพรตสำนักธาราโลหิตใช้รักษาอาการบาดเจ็บจึงเงียบสงบไม่น้อย เงาร่างที่พบเห็นระหว่างทางส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ หลังจากมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน คนเหล่านี้ก็รีบคารวะเขาทันที

สอบถามอีกเล็กน้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรู้ที่พักที่แน่นอนของเซวี่ยเหมย ในใจร้อนเร่านิดๆ เดินลิ่วๆ ดิ่งไปหาจุดที่เซวี่ยเหมยอยู่ ไม่นานเขาก็มาถึงด้านหน้าประตูที่พักวิเศษแห่งหนึ่ง

ที่พักวิเศษแห่งนี้ไม่ใหญ่ ทว่ารอบด้านกลับมาแสงค่ายกลเปล่งประกายรำไร ทั้งยังมีค่ายกลของสำนักธาราโลหิตที่กำลังดูดซับปราณเลือดมากมาย ทำให้นักพรตที่อยู่ในเขตที่พักวิเศษแห่งนี้รักษาบาดแผลได้รวดเร็วมากขึ้น

มาถึงหน้าประตู ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก สำหรับตู้หลิงเฟย ป๋ายเสี่ยวฉุนมีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ยถาม ตอนนี้มาอยู่หน้าประตูที่พักวิเศษแล้วแต่เขากลับเกิดลังเลขึ้นมา

เงียบงันอยู่พักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเผยรอยยิ้มสง่างาม

“ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็คือตู้ตู้น้อย ปีนั้นธรรมะและอธรรมมิอาจอยู่ร่วมกัน ทว่าตอนนี้ธาราเทพและธาราโลหิตได้กลายมาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบเดินรุดหน้า ยกมือขวาขึ้นกดลงไปกลางอากาศหน้าประตูใหญ่ของที่พักวิเศษ

เสียงครั่นครืนส่งเข้าไปในที่พักอย่างอ่อนโยน ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าเขายังไม่ทันได้พูด ประตูใหญ่ของที่พักวิเศษก็ค่อยๆ เปิดออกเชื่องช้า เซวี่ยเหมยที่สวมหน้ากากปรากฏตัวอยู่ตรงนั้น จ้องมองนิ่งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยเบาๆ

“ตู้เซวี่ยเหมย คารวะบุตรโลหิต”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version