Skip to content

A Will Eternal 177

บทที่ 177 เนตรทงเทียน!

ป๋ายเสี่ยวฉุนถือขวดหยกเอาไว้ ไม่ได้กลับไปที่ถ้ำ แต่หลังจากลังเลครู่หนึ่งก็เลือกใช้โอกาสที่ตัวเองได้มาเมื่อครั้งชนะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ โดยการเข้าไปสัมผัสกับสถานที่ลับครั้งหนึ่ง

การเข้าไปทำความเข้าใจในสถานที่ลับทั้งสามารถประจักษ์แจ้งได้ถึงวิชาลับ ขณะเดียวกันก็สามารถประจักษ์แจ้งถึงวิชาที่ตัวเองฝึกฝนด้วย เพราะในสถานที่ลับมีความมหัศจรรย์บางอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เข้าใจ เมื่อทำความเข้าใจอยู่ที่นั่นจะง่ายกว่าข้างนอก

หากรวมลมปราณเข้าไป เนื่องจากวิชาที่ฝึกมีจำกัด จะถือเป็นการเสียเปล่า แต่หากเข้าไปทำความเข้าใจในช่วงสร้างฐานรากถึงจะเหมาะสมที่สุด ส่วนขั้นยาอายุวัฒนะ…ไม่มีคนกล้าพูดว่าตัวเองจะฝึกไปถึงขั้นยาอายุวัฒนะได้สำเร็จ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เป็นสร้างฐานรากวิถีฟ้าก็แค่มีความเป็นได้ไปมากที่สุดเท่านั้น

ดังนั้นหากคิดจะเข้าไปในสถานที่ลับหลังจากอยู่ในขั้นยาอายุวัฒนะจึง…ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง

ทางเข้าของสถานที่ลับแห่งนี้อยู่บนเขาจ้งเต้า ทว่าพื้นที่ด้านในกลับอยู่ในความว่างเปล่าลึกลับแห่งหนึ่ง ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนส่งแผ่นหยกให้กับผู้อาวุโสไท่ซ่างที่รับผิดชอบเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าสถานที่ลับ ผู้เฒ่าผมสีดอกเลามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตามีความหมายลึกล้ำหนึ่งครั้ง

การมองนี้สร้างความกดดันให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก ไม่ต่างกับตอนที่เห็นผู้แข็งแกร่งสร้างฐานรากตอนที่เขายังเป็นรวมลมปราณ ความกดดันเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเผยท่าทางของเด็กดีออกมาทันที

“ผู้ชนะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ได้รับเวลาในการทำความเข้าใจหนึ่งวัน สร้างฐานรากวิถีฟ้า ได้รับเวลาในการทำความเข้าใจสามวัน เวลาสองวันที่หลี่ชิงโหวผู้นำเขาเซียงอวิ๋นสะสมเอาไว้ก็มอบให้เจ้าด้วย และยังมีเวลาสองวันของเจ้าสำนักก็มอบให้เจ้าเช่นกัน” ผู้เฒ่าเอ่ยปากเนิบช้า ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านข้างเบิกตากว้าง

เขาไม่เคยรู้เรื่องที่หลี่ชิงโหวและเจิ้งหย่วนตงมอบเวลาในการประจักษ์แจ้งให้กับเขามาก่อน อีกอย่างในสายตาของเขา การเข้าสู่สถานที่ลับถึงขนาดคำนวณโดยนับเป็นวัน เขารู้สึกว่านั่นไม่เพียงพอเลยสักนิด

“มีเวลาทั้งหมด…แปดวัน!” ผู้เฒ่าคนนี้มองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างละเอียด หลังจากส่งแผ่นหยกให้แล้ว มือขวาก็ทำมุทรา ชี้ไปยังหินก้อนใหญ่ด้านข้างหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นหินใหญ่พร่าเลือน ตามมาด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังอกสั่นขวัญหายอยู่นั้น เขาก็มองเห็นว่าหินก้อนใหญ่นั่นพองขยายออกมาเป็นมนุษย์หิน สูงพอสิบกว่าจั้ง เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า สองมือยกขึ้นฉีกกระชากความว่างเปล่าออกจากกันอย่างแรง

ท่ามกลางเสียงดังกัมปนาท รอยแตกขนาดมโหฬารรอยหนึ่งถูกฉีกออกท่ามกลางความว่างเปล่า

“ยังไม่เข้าไปอีก!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนนั้นพูดเสียงเรียบ น้ำเสียงราวกับฟ้าผ่าดังสนั่นไปทั่ว ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ประสานมือคารวะผู้เฒ่าแล้วบินตรงเข้าไปยังรอยแยก พริบตาเดียวก็หายเข้าไปด้านใน

จนกระทั่งร่างของเขาหายไป รอยแยกประสานตัวเข้าหากัน มนุษย์หินตนนั้นค่อยๆ หดร่างเล็กลง สุดท้ายก็กลายมาเป็นหินก้อนใหญ่อีกครั้ง ผู้เฒ่าหลับตาลง นั่งนิ่งไม่ขยับ

ตอนที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏขึ้นอีกครั้ง สถานที่เบื้องหน้าเขาคือโลกสีเทา โลกใบนี้แปลกประหลาดมาก เขามองไปรอบด้าน พบว่าตัวเองอยู่ตรงทางเข้าสถานที่ลับเมื่อครู่นี้

เขายังมองเห็นหินใหญ่ก้อนนั้นด้วย ทว่าผู้อาวุโสไม่อยู่แล้ว และตลอดทั้งสำนักธาราเทพก็ไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา ป๋ายเสี่ยวฉุนบินทะยานขึ้นพร้อมความแปลกใจ ทอดสายตามองไปทั่วสำนักธาราเทพ และลมหายใจของเขาก็เริ่มไม่มั่นคง

“ที่นี่…” ตลอดทั้งสำนักธาราเทพยังคงมีลักษณะเหมือนในความทรงจำของเขา ไม่ว่าจะเป็นหอเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง แต่ทว่า…กลับไร้ซึ่งพลังชีวิตและเงาของผู้คน

ความรู้สึกอ้างว่างเปล่าเปลี่ยวทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตกใจ โดยเฉพาะเมื่อเขามองเห็นแม่น้ำทงเทียนเบื้องล่างที่ปกติต้องโหมซัดสาดอยู่ตลอดเวลา แต่เวลานี้กลับแห้งขอด เขาก็ยิ่งรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ

“นี่มันสถานที่ลับอะไรกัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุขเล็กน้อย แต่กลับคิดไม่ออกว่าเป็นเพราะอะไร ท่ามกลางความลังเล เขามาที่ยอดเขาจ้งเต้า เดิมทีนี่เป็นที่ที่เขาไม่สามารถมาได้ แต่ตอนนี้กลับเหยียบย่างขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

ยืนทอดสายตาออกไปมองตลอดทั้งโลก โลกใบนี้เต็มไปด้วยม่านหมอกสีเทาปกคลุมแปดทิศ มองเห็นได้ไม่ไกลมากนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งลงเงียบๆ

“ไม่ต้องคิดแล้ว ดูสิว่าทำความเข้าใจกับวิชาที่ฝึกฝนจะง่ายกว่าจริงหรือไม่” ป๋ายเสี่ยวฉุนกดความกระวนกระวายใจลงไป นั่งขัดสมาธิ เมื่อหลับตาลงคาถาลมปราณม่วงทงเทียนลอยขึ้นมาในสมอง เริ่มทำความเข้าใจและฝึกฝนอีกครั้ง

ไม่นานเขาก็เบิกตาโพลง นัยน์ตาเผยความตกใจระคนยินดี หลายจุดที่เขาไม่เข้าใจตอนฝึกอยู่ข้างนอก ยามนี้กลับชัดแจ้งขึ้นมาหมดแล้ว เขายังถึงขั้นแอบรู้สึกว่า สถานที่แห่งนี้ทำให้ความคิดทั้งหมดในสมองขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าความคิดใดก็คล้ายกับจะกลายมาเป็นจริงได้ทั้งหมด!

การรู้แจ้งที่มหัศจรรย์มากเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหลือเชื่อ มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าเมื่อจินตนาการถึงโลกใบหนึ่งแล้ว โลกใบนี้สามารถปรากฏขึ้นมาได้จริง

เขาหลับตาลงอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น จมจ่อมอยู่กับการทำให้ความเข้าใจคาถาลมปราณม่วงทงเทียนให้รู้แจ้ง

เวลาผันผ่าน รัตติกาลมาเยือน ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ตัวเลยสักนิด ยังคงทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงวันที่สอง วันที่สาม…

กลางดึกของคืนวันที่สาม ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกดวงตาทั้งคู่ขึ้น นัยน์ตาเขาเผยความรู้แจ้ง ตอนที่มองไป สามารถมองเห็นได้ว่าในลูกตาดำของเขามีอักขระตัวหนึ่งเปล่งประกายแสง

“คาถาลมปราณม่วงทงเทียน ที่ยากที่สุด…ก็คือการสั่งสมวิญญาณในขั้นแรก…น้ำของแม่น้ำดุจดวงดารา ร่วงหล่นลงบนโลกมนุษย์ เลือดเนื้อกลายเป็นเส้นใย ชูดวงดาราขึ้นสูง ร่างกายกลายเป็นนภากาศ ทำให้ดวงดาวอยู่ในร่างกาย ดุจอยู่บนท้องฟ้า ไม่ร่วงลงมา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ถุงเก็บของเปิดออก ขวดหยกหนึ่งขวดลอยออกมาทันที

เมื่อขวดหยกเปิดออก แม่น้ำทงเทียนสีทองหยดหนึ่งค่อยๆ ลอยออกมา กลายเป็นสีสันเดียวที่มีอยู่ในโลกสีเทาใบนี้

จ้องนิ่งไปที่แม่น้ำทงเทียนหยดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็สูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟันกรอด

“ทั้งหมดเพื่อความเป็นอมตะ เพื่อคุณสมบัติในการข้ามผ่านมหาสมุทรทงเทียน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมเข้าแรงๆ ทันใดนั้นน้ำแม่น้ำสีทองหยดนี้ก็ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนทันที ไม่ได้เข้าทางปาก แต่พุ่งเข้าหาหว่างคิ้ว

ชั่วขณะที่สองสิ่งสัมผัสกัน ความเจ็บปวดมหาศาลส่งตรงมาจากหว่างคิ้ว ราวกับเลือดเนื้อกำลังหลอมละลาย ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กัดฟันยืนหยัดต่อไป โคจรตบะในร่าง มหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นหมุนเวียนพร้อมกันทั้งหมด เริ่มการดูดซับตามวิชาคาถาลมปราณม่วงทงเทียน

ข้างหูของเขามีเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ไม่นานของเหลวสีทองหยดนั้นก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้าไปในหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลังจากที่มันผลุบเข้าไปหมดแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปล่งเสียงคำรามแหบห้าว ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ในร่างของเขา แม่น้ำทงเทียนสีทองหยดนั้นผ่านไปตามชีพจร ผ่านไปตามเลือดเนื้อซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จนกระทั่งไล่ระดับร่วงลงไปราวกับจะทะลุทะลวงไปทั่วร่างของเขา

นี่ก็คือ…น้ำของแม่น้ำดุจดวงดารา ร่วงหล่นลงบนโลกมนุษย์

ตลอดทางที่ผ่าน ชีพจรและเลือดเนื้อทุกส่วนล้วนหลอมละลายทั้งหมด แม้แต่อวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะกลวงทั้งหกก็ยังได้รับบาดเจ็บ รวมไปถึงกระดูกด้วย…ความเจ็บปวดเช่นนั้น อาการบาดเจ็บเช่นนั้น ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าซีดเผือด เลือดสดไหลซึมออกมาต่อเนื่อง

เขากัดฟันยืนหยันทำต่อ ต่อให้ลมปราณจะแหลกละเอียดก็ยังคงพยายามโคจรต่อไป ทำให้พลังวิญญาณที่อยู่ในร่างกายเริ่มขยายออกมาอย่างต่อเนื่องจากชีพจรที่แตกขาด จากเลือดเนื้อที่หลอมละลาย กลายมาเป็นเส้นใยหลายเส้น ตรงเข้าไปรัดพันน้ำสีทองหยดนั้น รัดพันทีละชั้น ทีละชั้นไปเรื่อยๆ และนี่ก็คือเลือดเนื้อกลายเป็นเส้นใย ชูดวงดาราขึ้นสูง!

เส้นใยเหล่านั้นปริแตกอย่างไม่เว้นระยะ ทว่าเส้นใยส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนตรงเข้าไปรัดพันหยดน้ำสีทองนั้นอย่างบ้าคลั่ง!

จนกระทั่งน้ำสีทองหยดนั้นร่วงลงบนจุดตันเถียนของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเปล่งประกาย

“ร่างกายกลายเป็นนภากาศ ทำให้ดวงดาวอยู่ในร่างกาย ดุจอยู่บนท้องฟ้า ไม่ร่วงลงมา สั่งสมวิญญาณลมปราณม่วง!”

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง มหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นในร่างของเขาระเบิดออกทั้งหมด กลายเป็นน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้ง พุ่งกระแทกเข้าใส่ของเหลวสีทองนั่น พยายามทำให้มันหลอมละลาย ไม่นาน มหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นถูกทะลุทะลวง ชั้นที่แปด ชั้นที่เจ็ด…

หลังจากการเจาะทะลุ มหาสมุทรวิญญาณเหล่านั้นกลายมาเป็นเส้นใยวิญญาณปริมาณมากจนน่าตกใจ รัดพันไปทั่วหยดน้ำสีทอง

จนกระทั่งมหาสมุทรวิญญาณแปดชั้นแรกล้วนถูกผ่าทะลุหมด ในที่สุดของเหลวสีทองหยดนั้นก็ถูกเส้นใยวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนรัดพันจนค่อยๆ สงบนิ่งลง ล่องลอยอยู่บนมหาสมุทรวิญญาณชั้นหนึ่ง!

และตอนที่มันหยุดร่วงลงต่ำ ล่องลอยอยู่บนมหาสมุทรวิญญาณชั้นหนึ่งนั้นเอง น้ำหยดนี้ก็เปล่งประกายแสงสีทองออกมาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด แสงสีทองนี้ระเบิดอยู่ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ทอดยาวไปตลอดเส้นทาง ทุกที่ที่ผ่าน มหาสมุทรวิญญาณ ชีพจร เลือดเนื้อ กระดูกทั้งหมด วินาทีนั้นล้วนสมานตัวหายเป็นปกติ ไม่เพียงเท่านั้น มันยังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นอีกด้วย

หลังจากการเปลี่ยนแปลง ปราณบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดตูมออก แม้จะยังคงเป็นช่วงต้นของสร้างฐานราก แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีเพียงพลานุภาพสยบ พลังสร้างฐานรากในร่างกายอยู่ในสภาพกระจัดกระจายไปทั่ว ราวกับพลทหารที่ต่างฝ่ายต่างรบเนื่องจากไม่มีแม่ทัพ ทว่าตอนนี้หลังจากรู้แจ้งคาถาลมปราณม่วงทงเทียนแล้ว ก็เหมือนแม่ทัพได้ปรากฏตัวขึ้น ทำให้พลังวิญญาณทั้งหมดรวมตัวเข้าหากันในยามนี้ พลังการรบจึงแตกต่างไปจากเดิมทันที

ดวงตาทั้งคู่ที่ปิดสนิทพลันเบิกโพลง ในลูกตาดำของเขา อักขระเปล่งแสงวาบชัดเจน จากนั้นถึงได้หายลงไปยังจุดลึกของลูกตาดำช้าๆ และหยดน้ำสีทองในร่างของเขาก็ค่อยๆ หลอมละลายท่ามกลางการถูกโอบอุ้มจากมหาสมุทรวิญญาณชั้นหนึ่ง

หากอีกหลายเดือนต่อมา หยดน้ำนี้หลอมละลายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็หมายความว่าคาถาลมปราณม่วงทงเทียนขั้นหนึ่งของป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกสำเร็จ

เวลาเดียวกันนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สัมผัสได้ถึงความปวดแสบปวดร้อนตรงกลางหว่างคิ้ว ความแสบร้อนนี้มาพร้อมกับความคัน ราวกับว่าตรงนั้นกำลังมีดวงตาอีกข้างหนึ่งค่อยๆ กำเนิดขึ้น ทำให้เขารู้สึกใจร้อนอยากลืมตาขึ้นมา ความใจร้อนนี้รุนแรงอย่างมาก

นั่นคือวิชา…เนตรทงเทียนของเขา!

“สำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจอย่างบ้าคลั่ง ลูบคลำหว่างคิ้วของตัวเอง แค่แตะลงไป ความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งคันก็ยิ่งเด่นชัด แต่เขาไม่ตกใจกลัวลนลาน กลับยิ่งฮึกเหิมมากกว่าเดิม

“ฮ่าๆ ต่อไปข้าก็จะมีสามตาแล้ว แค่คิดก็ร้ายกาจ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระโดดโลดเต้น ขณะที่มองออกไปไกล เขาก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกฉับพลัน

“แม้จะอยู่ในช่วงก่อกำเนิด แต่ก็น่าจะพอกล้อมแกล้มใช้ได้แหละนะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย หลังจากที่ดวงตาทั้งคู่ปิดลง มหาสมุทรชั้นแรกในร่างกายพลันโหมซัดสาดโดยพลัน น้ำสีทองหยดนั้นก็ฉายประกายแสงสีทองออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง แสงสีทองเหล่านี้ไหลเวียนไปทั่วชีพจรในร่างเขาหนึ่งรอบ แล้วจึงเกาะตัวกันพุ่งดิ่งไปยังหว่างคิ้วของเขา

พริบตานั้น รอยปริตรงหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังประสานตัวกลับคืนมาเป็นปกติก็ปริแตกออกจากกันทันที เผยดวงตาสีม่วงข้างหนึ่งอยู่ด้านใน เมื่อดวงตานี้จ้องมองไปยังทิศทางห่างไกล มันก็สามารถมองทะลุไอหมอกออกไปเห็นสภาพด้านนอกทันที…

ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้ม ในที่สุดเขาก็มองเห็นสภาพนอกไอหมอกแล้ว…ที่นั่นไม่ใช่ผืนแผ่นดินใหญ่อย่างที่เขาเข้าใจ แต่เป็นมหาสมุทรที่แทบจะแห้งขอดแห่งหนึ่ง เทือกเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักธาราเทพแห่งนี้แค่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กเกาะน้อยซึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศเท่านั้น ห่างออกไปไกลยังมีเกาะที่เหมือนเศษชิ้นส่วนเช่นนี้อีกนับไม่ถ้วน!

มีสายฟ้าทรงโค้งงออ่อนกำลังหลายเส้นไหลเวียนอยู่ในมหาสมุทร เชื่อมต่อเศษเกาะแห่งแล้วแห่งเล่าเข้าด้วยกัน…

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะมองให้ละเอียดยิ่งกว่าเดิม หว่างคิ้วของเขาพลันปวดแสบปวดร้อน เลือดสดไหลออกมา รอยแยกปิดเข้าหากัน เมื่อเขาลืมตาทั้งคู่ขึ้น ร่างก็สั่นเยือก พลังวิญญาณในร่างหายไปเกินครึ่ง

“ที่นี่คือ…สถานที่ลับอะไร?” ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น เผยความตกตะลึง

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version