Skip to content

A Will Eternal 128

บทที่ 128 จิตวิญญาณฟื้นตื่น!

ในฟ้าดินแห่งมายา โลกทั้งใบของป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถูกกรงเล็บของสัตว์ดึกดำบรรพ์ตัวัน้นฉีกกระชากออกไม่เหลือชิ้นดี เหมือนว่าจิตสำนึกของเขาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ความรู้สึกแตกสลายถูกส่งมาหาเป็นระลอก

การแตกสลายนี้ตามมาด้วยการค่อยๆ อันตรธานหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด กรงเล็บที่ฉีกกระชากท้องฟ้ากรงเล็บนั้นทำให้เขาสะท้านสะเทือนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่านี่คือพละกำลังแบบไหน จิตใต้สำนึกของเขาปรารถนาที่จะได้ครอบครองพลังเช่นนี้ ครอบครองพลังสูงสุดที่สามารถบุกฟ้าเบิกดินได้ ถึงขั้นที่ว่าต่อให้จิตสำนึกทั้งหมดของเขาที่แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกำลังค่อยๆ สลายหายไป เขาก็ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดูดซับมันเอาไว้ เพื่อให้เข้าใจและตระหนัก เพราะต้องการครอบครอง

ยิ่งคิดเช่นนี้จิตสำนึกของเขาก็ยิ่งสลายหายไปไวมากขึ้น แต่ขณะที่หายไปได้เกือบจะสองส่วน พลันร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะท้านเยือก เขาแอบรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง นึกขึ้นมาได้อย่างพร่าเลือนท่ามกลางการจมจ่อมอยู่ในกรงเล็บนี้ คล้ายว่านี่ไม่ใช่เป้าหมายที่ตนเองมาที่นี่

ความคิดนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงท้ายที่สุดเมื่อมันเข้ามาแทนที่ความปรารถนาที่จะได้ครอบครองพลังของกรงเล็บนี้ จิตสำนึกของเขาที่แตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยซึ่งกำลังจะอันตรธานหายไปนั้นจึงค่อยๆ หยุดชะงักลง เศษชิ้นส่วนที่แตกออกก่อนหน้านี้ เวลานี้สถานการณ์พลิกกลับกลายเป็นว่ามันได้ประกอบเข้าหากันใหม่อีกครั้ง

ท่ามกลางภาพมายา สัตว์ร้ายขนาดมโหฬารตัวัน้นปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่กรงเล็บอีกต่อไป แต่เป็นหางที่อยู่เบื้องหลัง ขณะที่มันกวาดสะบัดไปทั่วสารทิศราวกับแส้หนึ่งเส้น ฟ้าถล่มดินทลาย เกิดเสียงครั่นครืนดั่งการระเบิดครั้งแรกของโลก

จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หลงหายเข้าไปท่ามกลางฟ้าถล่มดินทลายนี้อีกครั้ง

ส่วนโลกภายนอก การประจักษ์แจ้งวันที่ยี่สิบหกของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ผ่านพ้นไปหลังจากการมาเยือนของค่ำคืนอันมืดมิด เมื่อวันที่ยี่สิบเจ็ดมาถึง ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงช่วงเที่ยง ถึงช่วงสายัณห์ แล้วก็มาถึงช่วงเที่ยงคืนอีกครั้ง

รอบด้านเวทีประลองที่ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่ ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือมากมายเกินจะนับ พวกเขาแต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี จนถึงท้ายที่สุดทุกคนก็ล้วนเบิกตากว้าง

เป่ยหันเลี่ยก็ดี พี่น้องกงซุนก็ช่าง และยังมีสวีซง รวมไปถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ในใจของพวกเขาล้วนมีคลื่นลูกใหญ่บังเกิดขึ้น

“ผ่านไปแล้ว…ยี่สิบเจ็ดวัน ล้ำหน้าเกินกว่าศิษย์พี่ใหญ่กุ่ยหยาไปแล้ว”

“สวรรค์ ไม่นึกเลยว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะประจักษ์แจ้งได้นานถึงเพียงนี้!”

“เขาจะประจักษ์แจ้งได้นานถึงขนาดไหนกันแน่? สามสิบวัน? สามสิบห้าวัน หรือว่า…สี่สิบวัน!!”

หลังจากความกดดดันและความเงียบสงบในระยะเวลาสั้นๆ คนมากมายของสถานที่แห่งนี้ก็พากันเปล่งเสียงตื่นตะลึงออกมาดังสนั่น ทุกคนล้วนมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไร้ซึ่งลมหายใจ แต่ละคนเผยความตะลึงพรึงเพริด

แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกตะลึงกันเร็วเกินไป

เวลาผ่านไปอีกครั้ง สามสิบวัน สามสิบสามวัน สามสิบเจ็ดวัน…จนกระทั่งวันที่สี่สิบมาถึง ลูกศิษย์ของชายฝั่งทิศเหนืออึ้งงันกันไปหมด

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่ตะลึงงัน แม้แต่ผู้นำทั้งสี่ก็ยังต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ประจักษ์แจ้งมากเพิ่มขึ้นหนึ่งวัน ความหมายนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภายใต้การประจักษ์แจ้งเช่นนั้น เวลาหนึ่งวันในนั้นนานกว่าเวลาปกติหลายเท่า

กุ่ยหยาเงียบงัน แต่นัย์นตาของเขากลับฉายแววน่าตกใจ เขามองป๋ายเสี่ยวฉุน เขาอยากรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุน…ได้เห็นอะไรบ้าง!

“เขาจะต้องเดินออกมาจากการหลงทางอยู่ในกรงเล็บนั้นได้แล้วแน่นอน ถ้าเช่นนั้นสิ่งต่อไปที่เขาจะได้เห็นคืออะไร?”

ในโลกมายา จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหว เขาไม่รู้ว่าตัวเองหลงอยู่ในพลังของหางสัตว์โบราณเนิ่นนานแค่ไหน จิตสำนึกของเขาลดหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ความคิดในสมองกลับยังคงเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการอันตรธานหายไปของจิตสำนึกนี้ บอกกับเขาว่าพลังของหางที่บ้าคลั่งนี้…ไม่ใช่เป้าหมายที่เขามาที่นี่เช่นเดียวกัน

“นี่ไม่ใช่!” เขาพึมพำเสียงเบา

วินาทีที่เสียงดังออกมานั้น จิตสำนึกของเขาหยุดการพังทลายลง หลังจากไม่มีสัญญาณการแตกสลายใดๆ เกิดขึ้นอีก สัตว์ดึกดำบรรพ์ขนาดยักษ์ตัวัน้นพลันอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่ากรงเล็บ น่าหวาดผวายิ่งกว่าหางซึ่งก็คือ…ฟันแหลมคม!

ฟันแต่ละแถวัน้นคล้ายแฝงฝังไว้ด้วยพลังอำมหิตโชติช่วงซึ่งสามารถทำลายุทกสิ่งอย่างให้ดับสูญลงไปได้ คล้ายว่าสามารถกัดการดำรงอยู่ของทุกอย่างให้แหลกละเอียดได้ แค่กัดลงไปคำเดียว ความมืดมิดตลอดทั้งโลกก็พังทลายลงไปอีกครั้ง

“ไม่ใช่ นี่ยังคงไม่ใช่เป้าหมายที่ข้ามาที่นี่!” เสียงพึมพำของป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้อนไปรอบด้าน ยิ่งเพิ่มระดับความดังมากขึ้นเรื่อยๆ

“เป้าหมายที่ข้ามาที่นี่คือสังเกตและศึกษาสัตว์ดึกดำบรรพ์ตัวนี้ เพื่อให้จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขตแดนธารา…ก่อกำเนิดขึ้น!”

“สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่แค่พลังของกรงเล็บ หาง หรือฟันเท่านั้น สิ่งที่ข้าต้องการ…คือศึกษาและสังเกตตลอดทั้งร่างของสัตว์ดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งอย่างละเอียด เพื่อจดจำมันไว้ในสมองอย่างแม่นมั่น ใช้มันเป็นตัวเปิดจิตวิญญาณแห่งชะตาตนวิชาเขตแดนธาราของข้า!”

“ส่วนมัน ก็ไม่มีทางกลายมาเป็นจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของข้า มันทำได้แค่หลอมรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของข้าเท่านั้น!”

“นี่ต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่ทำให้ข้า…มาที่นี่!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เป็นเสียงเบาพึมพำอีกต่อไป แต่เป็นเสียงคำรามดังระเบิดตูมตามออกมาในโลกมายาแห่งนี้ ขยายออกไปรอบทิศอย่างต่อเนื่อง จิตสำนึกของเขาพลันขมวดวนเข้าหากันกลายเป็นลำแสงหนึ่งเส้นดิ่งทะยานเข้าไปหาสัตว์ยักษ์ที่ห่างออกไปไกล

ความรวดเร็วัน้นยากที่จะอธิบาย ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึง เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง วินาทีที่จิตสำนึกของเขาสัมผัสเข้ากับสัตว์ยักษ์ตัวัน้นก็พลันหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของมันและแผ่ขยายออก สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดโหมกระหน่ำอย่างดุเดือด เขามีความรู้สึกรุนแรงบางอย่างว่าตัวเองในเวลานี้…กำลังกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายตัวัน้น!

ขั้นตอนการกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายก็คือขั้นตอนที่ทำให้เขาได้ทำความเข้าใจกับสัตว์ดึกดำบรรพ์ตัวนี้ ซึ่งไม่มีวิธีไหนจะเหมาะสมสำหรับการศึกษาและสังเกต…ไปมากกว่าวิธีนี้อีกแล้ว ถึงขั้นพูดได้ว่านี่ไม่ใช่การสังเกตและศึกษา ไม่ใช่การเข้าสู่ความประณีตลึกซึ้ง แต่เป็นบรรลุถึง…การหลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน

จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนระเหยออกมาอย่างรวดเร็ว หลอมรวมเข้าไปทั่วร่างของสัตว์โบราณตัวัน้นอย่างต่อเนื่อง เข้าไปทำความเข้าใจ เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปยึดกุม เข้าไปสังเกตและศึกษา และเข้าไป…ควบคุม!

เริ่มตั้งแต่เลือดเนื้อ แผ่ขยายไปยังแผ่นเกล็ด ปุ่มกระดูก กรงเล็บ ฟัน โครงกระดูก หรือแม้แต่เครื่องใน…ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้คิดถึงเรื่องเวลา จิตสำนึกทั้งหมดของเขาล้วนโบยบินไปทำความเข้าใจกับสัตว์ดึกดำบรรพ์ตัวนี้

จนกระทั่งบางช่วงขณะมาถึง จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา ในที่สุดมันก็อาบไล้ไปทั่วร่างของสัตว์ดึกดำบรรพ์ เขาได้กลายเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์แล้ว

พอเงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามหนึ่งทีก็เหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังสั่นคลอน แต่ที่ตามมาติดๆ คือร่างของสัตว์ดึกดำบรรพ์ตัวนี้พลันบิดงอ เลือดเนื้อเปลี่ยนแปลงโดยวิธีที่ลึกลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง จนสุดท้ายกลายมาเป็นอีกาดำสามตาตัวหนึ่ง!

อีกาดำตัวนี้ร่างกายใหญ่โต ขณะที่โบยบินอยู่ในโลกมายาด้วยความรวดเร็ว นัย์นตาของมันเผยให้เห็นถึงจิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อกะพริบตา อีกาดำตัวนี้บิดเบี้ยวอีกครั้ง กลายร่างเป็นนกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสี

และภายหลังก็กลายมาเป็นกิ้งก่ายักษ์ หรือแม้แต่ภูตภูเขาของเขากุ่ยหยาเอง ภายใต้จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุน วินาทีนั้นก็ยังกลายร่างออกมาได้ ซึ่งนั่นยังไม่สิ้นสุด พริบตานั้นสัตว์ร้ายเกือบพันตัวของหอร้อยสัตว์ล้วนปรากฏร่างออกมาทีละตัวพร้อมจิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุน

เสือบิน ตัวลิ่น หมียักษ์ กวางวิเศษ ฯลฯ สัตว์ร้ายุทกตัวเมื่อกลายร่างออกมาหมดแล้วกลับยังไม่สิ้นสุด สัตว์ร้ายที่อยู่ข้างกายของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนแอบสังเกตและศึกษาเหล่านั้นก็ยังกลายร่างออกมาด้วย

จนกระทั่งเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้นมา สัตว์ร้ายพวกนั้นอันตรธานหายไปหมด จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นหมอกหนาทึบกลุ่มหนึ่ง หมอกกลุ่มนี้ซัดสาดไล่หลังกันอย่างต่อเนื่อง คล้ายว่าด้านในมีจิตวิญญาณที่น่าหวาดกลัวบางอย่างกำลังถือกำเนิดขึ้น

มองไม่ออกว่าด้านในนั้นเป็นจิตวิญญาณเช่นไรกันแน่ แม้แต่จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังไม่อาจมองเห็นได้ชัด คล้ายว่า…รูปร่างของจิตวิญญาณนี้ยังไม่สมบูรณ์

แต่ต่อให้เป็นรูปร่างที่ไม่สมบูรณ์แบบ ทว่าเวลานี้ก็ยังปล่อยพลังอำนาจอันน่าตื่นตะลึงออกมา สามารถมองออกได้อย่างเลือนรางว่าในกลุ่มหมอกหนาทึบนั้นมีวัตถุขนาดมโหฬารอยู่ ปุ่มกระดูกแต่ละชิ้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทั้งยังมีพลานุภาพสยบอย่างหนึ่งที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกซึ่งกำลังรวมตัวเข้าหากันอย่างต่อเนื่องตามการโหมซัดสาดของไอหมอก

เวลาเดียวกันนั้น จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนประคองตนไม่ไหวอีกต่อไป เริ่มสลายหายไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งส่วน สองส่วน สามส่วน…พริบตาเดียวก็หายไปแล้วถึงห้าส่วน!

จากการที่มันสลายหายไป ตลอดทั้งโลกมายาเริ่มเกิดการสั่นสะเทือน จิตวิญญาณแห่งชะตาตนที่กำลังถือกำเนิดขึ้นในกลุ่มหมอกนี้ก็เริ่มเกิดลางที่จะดับหายไปเช่นกัน

“เร็วหน่อย เร็วอีกหน่อย ก่อนที่จิตสำนึกของข้าจะหายไป จิตวิญญาณแห่งชะตาตน…จงตื่นขึ้นมา!”

จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตะโกนกร้าว ไม่นานเสียงกัมปนาทดังไปทั่วสี่ทิศ จิตสำนึกของเขาลดหายไปเร็วยิ่งขึ้น หกส่วน เจ็ดส่วน แปดส่วน…เก้าส่วน!

โลกมายาแห่งนี้เกิดรอยปริแตกขึ้นเป็นเส้นๆ เริ่มพังทลาย กลายเป็นพายุพัดกวาดไปแปดทิศ ฝังกลบหมอกหนาทึบกลุ่มัน้นเอาไว้ และพริบตาที่จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนสูญสลายไปถึงสิบส่วนนั้นเอง เขาเปล่งเสียงคำรามอย่างร้อนรนออกมาเป็นครั้งสุดท้าย

ตูม!

โลกมายาพังถล่ม แต่ชั่วขณะที่พังทลายลงมานี้เอง กลุ่มหมอกหนาทึบกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นดวงตาสีแดงคู่หนึ่งพลัน…เปิดออก!

จิตวิญญาณแห่งชะตาตน ฟื้นตื่น!!

โลกภายนอก หลังจากการประจักษ์แจ้งของป๋ายเสี่ยวฉุนเกินวันที่สี่สิบไปแล้ว ยังคงเพิ่มขึ้นไปอีกอย่างต่อเนื่อง ห้าสิบวัน หกสิบวัน เจ็ดสิบวัน แปดสิบวัน เก้าสิบวัน…หนึ่งร้อยวัน!

การเพิ่มขึ้นของเวลานี้ในที่สุดก็ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือรู้สึกหวาดกลัว

“หนึ่งร้อยวัน สามเดือนกว่า ป๋ายเสี่ยวฉุน…เขายังคงประจักษ์แจ้ง!!”

“เขาคงไม่ได้ตายไปแล้วหรอกนะ…”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว ชีวิตนี้ของข้ายังไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนเลย!”

ฝ่ายนอกตะลึงระคนหวาดกลัว ฝ่ายในสะท้านสะเทือน ในสมองของพวกเป่ยหันเลี่ยราวกับโดนฟ้าผ่า ทุกอย่างนี้ยังไม่สิ้นสุด หนึ่งร้อยสิบวัน หนึ่งร้อยยี่สิบวัน จนถึงกระทั่งวันที่หนึ่งร้อยสามสิบเอ็ด ยามเที่ยงวัน ด้านล่างเวทีประลองของชายฝั่งทิศเหนือ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสั่นเยือกขึ้นมาหนึ่งที

การสั่นครั้งนี้ ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือรอบด้านที่จับตามองมาเนิ่นนานสังเกตเห็นได้ทันที หลังจากพากันขยี้ตาแล้ว ก็หันขวับไปมอง เมื่อเห็นร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มขึ้นมาอีกครั้ง แต่ละคนก็ปล่อยเสียงร้องตกตะลึงออกมา

และวินาทีที่เสียงตื่นตะลึงนี้ดังสะท้อนไปรอบด้าน…ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกโพลง!

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version