บทที่ 129 ปุ่มกระดูกชิ้นหนึ่ง!
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววเลื่อนลอย แม้จิตสำนึกจะกลับคืนมาแล้ว แต่คล้ายว่ายังไม่ฟื้นตัวกลับมาจากโลกมายาของการประจักษ์แจ้ง เวลานี้จึงยังสับสน โลกเบื้องหน้าดูพร่ามัว
ลูกศิษย์ของศาลาพิพากษ์ที่อยู่รอบด้านก็พากันตื่นตัวขึ้นมาเช่นกัน เงยหน้ามองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ยังมีลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่เฝ้าสังเกตอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ทุกคนล้วนเบิกตากว้าง ร้องตะลึงไม่หยุด
“หนึ่งร้อยสามสิบวัน!”
“เขาใช้เวลาห้าเท่าของศิษย์พี่ใหญ่กุ่ยหยาถึงจะเข้าสู่การประจักษ์แจ้งได้ ทว่าเวลาในการประจักษ์แจ้งก็มากกว่าศิษย์ใหญ่พี่กุ่ยหยาถึงห้าเท่าเช่นกัน!”
ลูกศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านฮือฮา พากันหยิบแผ่นหยกออกมา ส่งข่าวเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนฟื้นแล้วออกไปด้วยความว่องไวอย่างถึงที่สุด ไม่นานตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือก็ราวกับเกิดลมบ้าคลั่งพัดไปทั่วสารทิศ ลูกศิษย์ทุกคนที่รู้ข่าวนี้ล้วนใจสั่นสะท้าน ตรงดิ่งไปยังเวทีประลอง
และเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านล่างเวทีประลอง นัย์นตาของเขายิ่งเลื่อนลอย ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมาชี้ไปด้านหน้าอย่างไม่รู้ตัว โบกสะบัดเบาๆ หนึ่งครั้ง ปากก็พูดพึมพำ
“เขตแดน”
เสียงนั้นเบามาก คนนอกยากจะได้ยิน แต่วินาทีที่ปากของป๋ายเสี่ยวฉุนพูดออกมาและมันดังสะท้อนอยู่ในจิตใจของเขานั้น เสียงเลือนลั่นสะท้านฟ้าสะเทือนดินราวกับฟ้าผ่าก็ดังลอยมาอย่างรุนแรง
ตูมๆๆ!!
เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบล้วนใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง และท่ามกลางเสียงฟ้าผ่านี้ ไอน้ำมหาศาลระลอกหนึ่งพลันแผ่ขยายไปรอบด้าน
สามจั้ง สิบจั้ง ยี่สิบจั้ง ห้าสิบจั้ง หนึ่งร้อยจั้ง…จนกระทั่งถึงสองร้อยจั้ง!
ภายในรัศมีสองร้อยจั้งรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน พริบตานั้นได้ถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำมากมายอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ไอน้ำนั้นทำให้ทุกสรรพสิ่งพร่าเลือน และยังแฝงไปด้วยพลังผลักดันระลอกหนึ่ง ซึ่งทำให้ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ภายในรัศมีสองร้อยจั้ง รวมไปถึงลูกศิษย์ของศาลาพิพากษ์ล้วนสำลักลมหายใจ ร่างถูกผลักกระเด็นออกไป
อีกทั้งแรงผลักนี้ยังมีกำลังสูงสุด ทำให้ลูกศิษย์ที่อยู่ภายในระยะสองร้อยจั้งไม่สามารถต่อต้านได้ ทุกคนถอยร่นออกไป พริบตาเดียวรัศมีสองร้อยจั้งรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่มีเงาร่างคนให้เห็นอีก
ไอน้ำขมุกขมัวกระตุ้นชั้นเมฆบนท้องฟ้า แม้แต่พลังฟ้าดินสี่ทิศก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อรูปกลายเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ ขยับหมุนกลางอากาศอย่างเชื่องช้า ลูกศิษย์ทุกคนที่มองเห็นภาพนี้ล้วนใจสั่น นึกถึงตอนที่กุ่ยหยาร่ายวิชาขบวนภูตรัตติกาลแล้วมีกรงเล็บปีศาจโผล่ลงมาจากท้องฟ้า
นั่นเป็นวิชาลับที่ลูกศิษย์รวมลมปราณแทบจะร่ายใช้ไม่ได้ ทำให้ขณะเดียวกันกับที่ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือเคารพยำเกรงกุ่ยหยาแล้ว ก็ยังทำให้พวกเขาหวาดกลัวไปด้วย ทว่าบัดนี้…สำหรับตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ!
ขณะที่มีเสียงสูดลมหายใจัดงลอยมาให้ได้ยินเป็นระลอก ลูกศิษย์มากมายที่เร่งรุดเดินทางมาที่นี่ก็ทยอยกันปรากฏตัวขึ้น ซึ่งในนั้นคือลูกศิษย์ฝ่ายในเสียเป็นส่วนมาก พวกเป่ยหันเลี่ย พี่น้องกงซุน สวีซง ฯลฯ ล้วนอยู่ในคนกลุ่มนี้ด้วย
พวกเขามองเห็นน้ำวนกลางอากาศ มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าก็เผือดสี
“เขตแดนธารา!”
“เขาน่าจะฝึกสำเร็จแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขาคืออะไร…”
เงาร่างของกุ่ยหยาปรากฏกายอยู่กลางอากาศ เขาจ้องมองป๋ายเสี่ยวฉุน นัย์นตาเผยความปรารถนาในการรบ แต่ก็สะกดกลั้นมันลงไป
ขณะที่ลูกศิษย์ทุกคนหวั่นไหวกันอยู่นั้น ผู้นำทั้งสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือรวมไปถึงหลี่ชิงโหวก็พากันปรากฏตัว แต่ละคนล้วนจดจ้องไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านข้างรูปปั้น
“ข้าเองก็รอคอยจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของป๋ายเสี่ยวฉุนมากเช่นกัน!”
“แค่ร่ายธารน้ำออกมาก็มีพลังมากถึงเพียงนี้ สุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไรกันแน่นะ…”
ดวงตาหลี่ชิงโหวฉายแววตะลึงระคนดีใจ เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฟื้นคืนมาจากการประจักษ์แจ้ง ใจเขาเวลานี้ก็รอคอยอยู่เช่นเดียวกัน
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตายังคงเลื่อนลอย มือขวาที่ยกขึ้นค่อยๆ…วางลง!
“…ธารา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา
พริบตาที่มือขวาของเขาตกลง ลมหายใจของทุกคนรอบด้านที่จับจ้องอยู่ล้วนหยุดชะงัก ลมปราณที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกระลอกหนึ่งพลันแผ่ซ่านออกมาจากในร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุน พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปแปดทิศ
ทัศนียภาพในรัศมีสองร้อยจั้งถูกปกคลุมไว้จนหมด แทบจะมองไม่ออกว่ารูปร่างดั้งเดิมเป็นเช่นไร ที่มองเห็น…คือไอน้ำที่เข้มข้นอย่างถึงที่สุดซึ่งกำลังก่อร่างขึ้นมาเป็น…ธารน้ำ!
ยามนี้ในธารน้ำแห่งนี้มีเสียงสัตว์คำรามดังลอยมา เสียงคำรามนี้ฟังแล้วช่างแปลกประหลาด ราวกับว่าได้รวบรวมเอาเสียงของสัตว์ร้ายจำนวนเหลือคณานับเข้าไว้ด้วยกันจนกลายมาเป็นเสียงร้องคำรามที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างยิ่งยวด
โฮก!!
พริบตาที่ดังออกมา เขย่าคลอนนภากาศ สะเทือนท้องฟ้าสะท้านพื้นดิน ทำให้ทุกคนรอบด้านที่ได้ยิน ไม่ว่าจะมีตบะมากแค่ไหนก็ล้วนจิตใจผวาสั่น ความรู้สึกกดดันในระดับที่แตกต่างกันออกไปพุ่งสูงขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม
และชั่วขณะที่เสียงคำรามนี้ดังออกมานั้นเอง สัตว์รบของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือทุกคนพากันพลุ่งพล่านขึ้นมา แต่ละตัวเงยหน้าส่งเสียงร้องคำราม ถึงขั้นที่ยังมีบางส่วนระเบิดพลังโจมตีออกมา สัตว์รบทุกตัวแตกตื่นชุลมุนกันไปหมด
และยังมีสัตว์ร้ายนับพันตัวในหอร้อยสัตว์ที่เวลานี้ก็พากันร้องคำรามอย่างพร้อมเพรียง ไม่นานตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือก็มีแต่เสียงสัตว์ร้ายแผดร้องดังกลบธรณี สะท้อนไปสี่ทิศ ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือหวาดผวา
“จิตวิญญาณแห่งชะตาตนวิชาเขตแดนธาราของป๋ายเสี่ยวฉุนคืออะไรกันแน่!!”
“สวรรค์ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้!” ลูกศิษย์ของชายฝั่งทิศเหนือแต่ละคนพยายามปลุกปลอบสัตว์รบข้างกายตัวเองอย่างเต็มกำลัง ทุกคนล้วนหน้าถอดสี เผยความตะลึงพรึงเพริด โดยเฉพาะลูกศิษย์ฝ่ายใน ระดับสายเลือดของสัตว์รบข้างกายพวกเขานั้นต่างออกไป การปลอบประโลมจึงยิ่งยากลำบาก สัตว์รบแต่ละตัวเหล่านั้นคล้ายใกล้เป็นบ้าอย่างไรอย่างนั้น
ขณะที่ทุกคนพยายามปลอบใจสัตว์ร้ายที่ร้องคำรามไม่หยุดอยู่นั้นเอง…
ธารน้ำขนาดสองร้อยจั้งเกิดส่ายไหวบิดเบี้ยว ประหนึ่งว่าธารน้ำนี้คือทางออกของมิติแห่งหนึ่งที่แตกต่างออกไป และยามนี้มีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่มองไม่เห็นกำลังผลักดันทางออกแห่งนี้เพื่อดิ้นรนที่จะออกมาจากอีกมิติหนึ่ง
หลังจากที่ธารน้ำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลันยอดเขาแห่งหนึ่งก็โผล่ทะลุขึ้นมาจากในเขตแดนธาราแห่งนี้!
ยอดเขานี้มองแวบแรกนั้นใหญ่โตมหึมาอย่างถึงขีดสุด แต่เมื่อมองอย่างละเอียดกลับค้นพบอย่างยากลำบากว่ายอดเขาแห่งนี้…ใหญ่ยิ่งกว่านั้น เพราะยอดเขาที่โผล่ขึ้นมาจากธาราน้ำขนาดสองร้อยจั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงปลายยอดของมันเท่านั้น!!
ถึงขั้นที่ว่าหากมองให้ละเอียดกว่าเดิมจะพบภาพที่ทำให้ทุกคนหนังหัวชาดิก นั่นไม่ใช่ยอดเขา แต่เป็นปลายของ…ปุ่มกระดูกชิ้นหนึ่ง!!
“ปุ่มกระดูก สวรรค์ นั่นมันคือปลายยอดของปุ่มกระดูกชิ้นหนึ่ง!”
“แค่ปลายกระดูกก็ใหญ่ถึงสองร้อยจั้ง ร่างกายของสัตว์ตัวนี้จะใหญ่มากแค่ไหน นี่…จิตวิญญาณแห่งชะตาตนนี้รูปร่างเป็นอย่างไรกันแน่!”
ขณะที่เสียงร้องตื่นตะลึงดังอยู่นั้น พลังอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดินระลอกหนึ่งพลันระเบิดตูมออกมาจากในเขตแดนธาราดุจการโจมตีไร้รูปลักษณ์ แผ่กระจายไปแปดทิศ สัตว์รบข้างกายลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือปลุกปลอบให้อยู่สงบไม่ได้อีกต่อไป ทุกตัวคำรามเสียงแหบแห้งขึ้นมา ไม่นานแต่ละตัวก็ทรุดลงหมอบคลานตัวสั่นเทิ้ม!
“เป็นไปไม่ได้!!”
“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร!!” ท่ามกลางเสียงแตกตื่นของลูกศิษย์มากมาย สัตว์รบของชายฝั่งทิศเหนือหมอบคลานตัวสั่นอยู่นั้น เวลานี้เอง เสียงคำรามแหบแห้งคล้ายโดนคุกคามสี่เสียงพลันดังลอยมาจากยอดเขาทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือ
นกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีตัวหนึ่งถลาร่อนเข้ามา จ้องเขม็งไปยังยอดเขาในเขตแดนธาราของป๋ายเสี่ยวฉุน ท่าทางระแวงภัยอย่างยิ่งยวด และยังมีอีกาสามตาสีดำอีกตัวหนึ่งที่บินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
แทบจะเวลาเดียวกับที่พวกมันปรากฏตัว กิ้งก่ายักษ์ตัวัน้นก็แสดงตัวออกมาเช่นกัน มันคำรามเสียงหนักไปทางยอดเขาของเขตแดนธารา
ส่วนภูตภูเขาของเขากุ่ยหยาก็เยื้องกรายมาถึงเช่นกัน โบกสะบัดง่ามกระดูกที่อยู่ในมือ ไอสีดำตลอดร่างโหมปะทุ สีหน้าเผยให้เห็นถึงความตึงเครียด ถึงขั้นที่ว่าหากมองอย่างละเอียด จะเห็นได้ว่าส่วนลึกในดวงตาของสัตว์พิทักษ์เขาทั้งสี่นี้ล้วนแฝงเร้นไว้ด้วยความเคารพยำเกรง!
และชั่วขณะนี้เอง หุบเหวสัตว์โบราณที่อยู่ในจุดลึกของหอร้อยสัตว์ ท่ามกลางความมืดมิดมีดวงตาคู่หนึ่งพลันลืมขึ้นมา ดวงตาคู่นี้ขนาดมโหฬาร เผยแววเฉียบคมและแน่วแน่ คล้ายว่าได้ทลายความว่างเปล่า ทะลุทะลวงสิ่งกีดขวาง มองตรงไปยังเขตแดนธาราของป๋ายเสี่ยวฉุน
มันก็คือสัตว์เทพพิทักษ์สำนักธาราเทพ มังกรนิลเขาสวรรค์!
จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของป๋ายเสี่ยวฉุน แม้แต่มันก็ยังต้องมองด้วยความจริงจัง
ตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือสะเทิ้นสะท้านอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้อาวุโสของทั้งสี่เขาตระหนกตกใจ พุ่งถลาออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เอง สายตาที่แฝงเร้นไว้ด้วยพลานุภาพสุดจะคณาบนเขาจ้งเต้าก็จ้องมองมายังที่แห่งนี้ด้วย
ผู้นำของทั้งสี่เขาหายใจถี่กระชั้น ทั้งยังถึงขั้นรู้สึกชาบนหนังศีรษะอยู่ไม่น้อย
“นี่คือจิตวิญญาณแห่งชะตาตนแบบใดกันแน่!”
“ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน!!”
“พลานุภาพเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่รวมลมปราณจะครอบครองได้แล้ว ไม่ต่างไปจากกุ่ยหยา ถึงขั้นเหนือล้ำเกินกว่ากุ่ยหยาด้วยซ้ำ!”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ยอดเขาที่อยู่ในเขตแดนธาราค่อยๆ จมลงไป ดั่งว่าเขตแดนธาราสองร้อยจั้งนี้เล็กเกินไป จิตวิญญาณแห่งชะตาตนไม่อาจปรากฏกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ เวลานี้หลังจากที่ค่อยๆ จมลงไป ธารน้ำผืนนี้ก็แตกกระสานซ่านเซ็น ค่อยๆ สลายหายไปเช่นกัน
เผยให้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าซีดเผือด เขาฟื้นคืนสติมานานแล้ว ยามนี้เบิกตากว้าง นัย์นตาไม่เหลือความเลื่อนลอย แต่แฝงเร้นไว้ด้วยความตื่นตะลึง เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกใจปุ่มกระดูกที่โผล่ออกมาจากในเขตแดนธารานั้นเช่นกัน
หลังจากที่เขตแดนธาราสลายหายไป สัตว์รบที่อยู่รอบด้านก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ แต่เจ้านายของพวกมัน ลูกศิษย์เหล่านั้นของชายฝั่งทิศเหนือ ในสมองของแต่ละคนกลับเกิดเสียงดังอื้ออึง หลังจากเงียบสงัดอยู่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ พลันเสียงฮือฮาเลือนลั่นก็ระเบิดออกมา
“ข้า…ข้าไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม…”
“นี่น่ะหรือเขตแดนธารา?!”
“จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของป๋ายเสี่ยวฉุนโผล่มาแค่ปลายกระดูกเท่านั้น…”
“พลังอำนาจที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเมื่อครู่นี้มาจาก…นักพรตรวมลมปราณแบบเดียวกับพวกเราน่ะรึ? เฮ้อ หากเขาเป็นคนของชายฝั่งทิศเหนือเราคงจะดียิ่งนัก”
ท่ามกลางเสียงดังเกรียวกราวของคนมากมาย ผู้นำของทั้งสี่เขาก็มองหน้ากันไปมา แล้วก็มองไปยังหลี่ชิงโหวที่ตกตะลึงไปเช่นกัน
“คนหนุ่มมีพลังน่าเคารพเลื่อมใส…ข้าอยากรู้นักว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขาจะเป็นอะไรกันแน่”
“เขตแดนธาราเมื่อมาอยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน สามารถจินตนาการได้ว่าคงต้องสำแดงพลานุภาพและความสามารถทั้งหมดที่มีออกมาได้อย่างแน่นอน”
“จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขาโผล่มาแค่ปลายกระดูกชิ้นหนึ่งเท่านั้น นั่นเป็นเพราะตบะของเขายังมีไม่มากพอ ธารน้ำจึงกว้างเพียงแค่สองร้อยจั้ง เด็กคนนี้หากวันหน้าตบะมีการพัฒนาก้าวหน้า สักวันหนึ่งก็อาจจะมีโอกาสได้เหยียบย่างเข้าสู่ยาอายุวัฒนะได้อย่างแท้จริง…ร่ายเขตแดนธาราในรัศมีหนึ่งพันลี้ออกมา ถ้าเช่นนั้นคาดว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขาต้องปรากฏกายขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน”
“หากมีวันนั้นจริง…ด้วยวิชาเขตแดนธารานี้ ในบรรดาคนระดับเดียวกัน เขาก็จะถือเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างที่น้อยคนนักจะเป็นได้!”
หลี่ชิงโหวปลาบปลื้ม รู้สึกภาคภูมิใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุน เขาไม่ได้ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ถึงการมาเยือนของตัวเอง เวลานี้เมื่อวางใจแล้วจึงสะบัดร่างไปจากชายฝั่งทิศเหนือ จากไปพร้อมกับความดีใจ จากไปพร้อมกับความตื่นเต้น ส่วนเขาเองก็ต้องเริ่มเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อช่วงชิงโอกาสในการทดลองฝ่าทะลุเข้าสู่ขอบเขตของยาอายุวัฒนะภายในสิบปีเช่นกัน
———-