Skip to content

A Will Eternal 184

บทที่ 184 จะเป็นไปได้อย่างไร!!

สำนักธาราโลหิต ยึดครองแม่น้ำสายที่หนึ่งในบรรดาแม่น้ำสี่สายตอนล่างของสำนักธารฟ้า อยู่ติดกับสำนักธาราเทพ ตรงกลางมีเทือกเขาลั่วเฉินกั้นขวาง

ข้ามเทือกเขาลั่วเฉินไปก็จะถือว่าเข้าสู่ขอบเขตอำนาจของสำนักธาราโลหิต

ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อตะบึงมาตลอดทางด้วยความรู้สึกปลดปลง อาศัยความเร็วนักพรตสร้างฐานรากของตัวเองก็ค่อยๆ มาถึงเทือกเขาลั่วเฉิน ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในใจเขารู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย ด้านหนึ่งคิดถึงความอันตรายในปีนั้น อีกด้านหนึ่ง…คิดถึงตู้หลิงเฟยที่หายตัวไป

หากไม่มีเรื่องราวของเทือกเขาลั่วเฉินในปีนั้น ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟย บางทีอาจไม่ได้เกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ตู้หลิงเฟยคงยังเกลียดขี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นเดียวกับที่โจวซินฉีเป็นในตอนนี้

และป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คงไม่พยายามแสดงตัว ทว่าทุกอย่างนี้กลับเปลี่ยนไป เพราะการเปลี่ยนแปลงของตระกูลลั่วเฉินเมื่อปีนั้น

ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไปในเทือกเขาลั่วเฉิน ตอนที่เดินผ่านสถานที่ตั้งของตระกูลลั่วเฉินเก่า มองเห็นว่าที่นั่นไม่เหลือร่องรอยเท่าไหร่แล้ว พืชหญ้าขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด ราวกับว่าตระกูลลั่วเฉินไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

และในจุดลึกที่ห่างออกไปไกล ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถสัมผัสได้ว่าที่นั่นยังมีอีกตระกูลหนึ่งซึ่งถูกสำนักธาราเทพสนับสนุนให้ขึ้นมาแทนที่ตระกูลลั่วเฉิน คอยเฝ้าพิทักษ์เทือกเขาลั่วเฉินแห่งนี้เอาไว้

ไม่ได้ไปดึงความสนใจจากคนตระกูลนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเงียบๆ อยู่ในผืนป่า ต่อให้ตอนนี้เขาจะเป็นนักพรตสร้างฐานรากแล้ว ทว่าในเทือกเขาแห่งนี้ก็ยังมีสัตว์ร้ายอันตรายอยู่มากมายที่เขาไม่สามารถเข้าไปหาเรื่องได้

ช่วงเวลาเร่งรุดเดินทางก็ผ่านไปเช่นนี้ เขาได้เห็นความใหญ่โตมโหฬารของโลกใบนี้อีกครั้ง รวมไปถึงได้เห็นสัตว์ยักษ์สมัยดึกดำบรรพ์อีกหลายตัว

ขณะเดียวกันระหว่างทางที่เจอตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร เขาก็ได้รู้ถึงสาเหตุที่วันนั้นศิษย์พี่เจ้าสำนักเรียกรวมตัวนักพรตสร้างฐานรากแล้ว

“สำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถเปิดศึกต่อกันแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงการแย่งชิงเพื่อขึ้นเป็นสำนักธารฟ้าที่เจิ้งหย่วนตงพูดถึง ทอดสายตามองออกไปไกล ในสมองปรากฏเป็นภาพสงครามระหว่างสำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไกลแสนไกล

ศึกครั้งนี้ย่อมสะเทือนเลือนลั่นฟ้าดินแน่นอน ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็คิดว่าการเปิดศึกระหว่างสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพ คงอีกไม่นานเหมือนกัน

ครึ่งเดือนต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินข้ามเทือกเขาลั่วเฉิน ในที่สุดก็เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตของสำนักธาราโลหิต ก่อนที่จะเข้าไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบหน้ากากที่อยู่ในถุงเก็บของออกมา สวมลงบนใบหน้าช้าๆ

วินาทีที่หน้ากากชิ้นนี้สัมผัสเข้ากับผิวหนังของเขา หน้ากากพลันหลอมละลายเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับผิวหนังของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวรวดเร็ว ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย

ใบหน้าที่หล่อเหล่าอย่างมาก แฝงไว้ด้วยความเย็นชา แม้แต่สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังเปลี่ยนไปด้วย ไม่อ่อนโยนอีกต่อไป แต่เผยให้เห็นถึงความดุดันและโหดเหี้ยม

ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำใบหน้า หลังจากพอใจแล้วก็ถอดชุดของสำนักธาราเทพออก หยิบเอาอาภรณ์ของเย่จั้งในถุงเก็บของออกมาสวมใส่ กลายร่างเป็นเย่จั้งอย่างสมบูรณ์แบบ

แม้แต่วิชาในร่างกายก็ยังถูกหน้ากากนี้อำพรางเอาไว้ คนนอกไม่สามารถมองออก รวมไปถึงตบะของเขา ในสายตาของคนนอก ไม่ใช่สร้างฐานรากขั้นต้นอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณสิบ

หลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสอดคล้องกับตัวตนของเย่จั้งแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง ก้าวเท้าออกไป เหยียบเข้าไปในขอบเขตอิทธิพลของสำนักธาราโลหิต เมื่อเขามาอยู่ในเกาะอันเป็นที่ตั้งของสำนักธาราโลหิตแล้ว เขาไม่ได้รีบร้อน แต่เดินทางช้าๆ ระแวดระวังรอบด้านอยู่ตลอดเวลา

ระหว่างทางเขาสื่อสารกับวิญญาณเย่จั้งตัวปลอมอยู่หลายครั้ง ความเข้าใจที่มีต่อสำนักธาราโลหิตก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ รู้ว่าที่นั่นคือสำนักซึ่งถือหลักปลาใหญ่กินปลาเล็ก สนับสนุนให้ลูกศิษย์ต่อสู้กันเอง

ถึงกระทั่งที่ว่านอกสำนัก ความอันตรายเช่นนี้ก็มีอยู่ไม่ต่างกัน ตลอดทั้งเกาะโลหิต ล้วนเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดและไอสังหาร

ส่วนปัญหาเรื่องการกลับมายังสำนักธาราโลหิตของเขาก็สามารถอธิบายได้ดีเช่นกัน ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตล้วนถูกส่งกลับมาในเกาะโลหิต แม้ว่าจะมีส่วนหนึ่งที่หาเจอแล้วนำตัวกลับไปยังสำนัก ทว่าตามที่เย่จั้งบอก ยังไงก็ต้องมีลูกศิษย์ส่วนหนึ่งที่เลือกซ่อนตัวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ จะกลับสำนักก็เมื่อบาดแผลหายดีเท่านั้น

มิเช่นนั้นหากกลับสำนักไปทั้งที่บาดเจ็บ ระดับความอันตรายจะยิ่งมีเยอะกว่าตอนอยู่ด้านนอกมากนัก

ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็เคยหวาดหวั่นเช่นกัน รู้สึกว่าสำนักธาราโลหิตแห่งนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ทว่าความยั่วยวนใจของวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญ รวมไปถึงการวิเคราะห์ที่มีต่อหน้ากากและตัวตนนี้ ทำให้เขายอมกัดฟัน คว้าโอกาสเอาไว้

เวลานี้ขณะที่กำลังเดินเท้า เขามองเห็นว่าแผ่นดินใหญ่ของเกาะสำนักธาราโลหิตล้วนเป็นสีน้ำตาล ราวกับว่าเคยถูกเลือดอาบย้อมมาก่อน ตามที่เย่จั้งตัวปลอมกล่าว เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เหมือนว่านับแต่มีประวัติการณ์มา ผืนดินของที่แห่งนี้ก็เป็นแบบนี้แล้ว แม้แต่พืชหญ้าที่งอกขึ้นมาก็ยังมีพลังโจมตีที่รุนแรง

ตลอดทาง ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นพืชที่มีพลังโจมตีเช่นนี้ไม่น้อย บางส่วนก็ถูกเขาดับทำลายไปโดยตรง บางส่วนเขาก็ต้องหลบเลี่ยงด้วยความอกสั่นขวัญหาย

จนกระทั่งผ่านไปสองเดือน ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้ามาใกล้ประตูหน้าสำนักธาราโลหิต ประตูของสำนักธาราโลหิตเหมือนของสำนักธาราเทพ ต่างก็ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำทงเทียน

ชั่วขณะที่มองไกลๆ ไปเห็นประตูหน้าสำนักธาราโลหิตนั้น ต่อให้ก่อนหน้านี้เย่จั้งตัวปลอมจะพูดให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังมาก่อน ในสมองของเขาก็ยังอดเกิดเสียงดังอึงอลไม่ได้ สั่นเยือกไปทั้งร่าง เบิกตากว้าง สำลักลมหายใจ

ถูกทำให้สะท้านสะเทือนอย่างสมบูรณ์แบบ

ลักษณะพลังอำนาจไม่เหมือนกับยอดเขาทั้งเจ็ดของชายฝั่งเหนือใต้ และเขาจ้งเต้าที่ตั้งสูงตระหง่านและมั่นคง ภูเขาของสำนักธาราโลหิตกลับเป็น…

มือขนาดยักษ์สีเลือดข้างหนึ่ง!

มือเลือดขนาดใหญ่ยักษ์เกินจะเปรียบที่โผล่พ้นออกมาจากแม่น้ำทงเทียน มือข้างนี้ทำท่าคล้ายจะเอื้อมคว้านภากาศ ใหญ่มโหฬารอย่างที่มิอาจบรรยายได้ เพราะนิ้วมือทั้งห้านั่น แต่ละนิ้วก็คือภูเขาขนาดมหึมาหนึ่งลูก แต่ละยอดเขาล้วนมีขนาดเทียบเคียงได้กับเขาจ้งเต้า

และนิ้วมือขนาดที่ใหญ่หนาที่สุดนั้น กลับถูกหมอกสีเลือดปกคลุมเอาไว้ มองเห็นได้ไม่ชัดเจน

มือข้างนี้ไม่รู้ว่าดำรงอยู่มานานกี่ปีแล้ว ถูกลมพัดให้แห้งเหือด เต็มไปด้วยฝุ่นละอองและเศษหิน เมื่อเข้าไปมองใกล้ๆ สามารถเห็นได้แค่เพียงยอดเขามหึมาทั้งห้าที่เอียงตัวอยู่เท่านั้น!

มีเพียงมองไกลๆ เท่านั้นถึงจะมองออกว่ายอดเขาทั้งห้า และยังมีแขนครึ่งหนึ่งที่เชื่อมต่อกับภูเขา คือมือสีเลือดข้างหนึ่งซึ่งใหญ่มากพอจะทำให้ทุกคนจิตใจสะท้านไหว ขนพองสยองเกล้า!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตาถลน ลมหายใจไม่มั่นคง ไม่ว่าใครก็ตามที่มองเห็นภาพนี้ก็ล้วนตระหนักได้ว่า…นี่ก็คือมือของยักษ์ตนหนึ่งที่ร่างกายใหญ่โตจนน่าตกใจซึ่งได้ยื่นออกมาจากแม่น้ำทงเทียนก่อนจะตาย คล้ายแฝงไว้ด้วยความไม่ยินยอมและความโกรธแค้นรุนแรง ราวกับต้องการจะฉีกกระชากนภากาศ…

ทว่าตอนที่ยื่นมือออกมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้แข็งค้าง แต่เนื่องจากปณิธานยังคงอยู่ ประคับประคองให้มือข้างนี้ไม่ร่วงตกลง หลายปีต่อมาจึงกลายมาเป็นยอดเขา

บนยอดเขาเต็มไปด้วยพืชหญ้าสีเลือด และยิ่งมีหอเรือนจำนวนนับไม่ถ้วน มองเห็นรุ้งเส้นยาวมากมายเกินจะนับบินไปบินมาได้รำไร กลุ่มคนหนาแน่น เต็มไปด้วยไอสังหาร ทำให้ท้องฟ้าดำมืด

ที่นี่ก็คือ…สำนักธาราโลหิต!

“สำนักธาราโลหิต…ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดหายใจเฮือก หลังจากที่ได้เห็นกับตาตัวเอง เขาก็สัมผัสได้โดยตรงถึงความแข็งแกร่งและรากฐานของสำนักธาราโลหิต

“มิน่าล่ะคนของสำนักธาราโลหิตถึงได้โหดเหี้ยม สำนักของพวกเขาสร้างขึ้นมาบนแขนข้างหนึ่งของคนตาย และเย่จั้งตัวปลอมก็เคยพูดว่าวิชาของสำนักธาราโลหิตทั้งหมดก็แทบจะมาจากมือสีเลือดข้างนี้ทั้งสิ้น!” ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดเสียงดังอื้ออึง ยิ่งเข้าไปใกล้ มือยักษ์นั้นก็ยิ่งมีขนาดใหญ่มากขึ้น เขาค่อยๆ มองเห็นว่าบนยอดเขาของมือยักษ์นี้ล้วนมีน้ำตกเลือดอยู่ทั้งสิ้น

เมื่อมองอย่างละเอียดก็คล้ายว่ามือยักษ์นี้ได้ดูดซับเอาน้ำจากแม่น้ำทงเทียนมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากทำการการเปลี่ยนแปลง เมื่อมันไหลท่วมออกมาตามจุดปริแตกของแขนแห่งนี้ แม่น้ำที่เดิมทีเป็นสีทองจึงกลายมาเป็นสีเลือด

และสีแดงนี้ก็คือรากฐานในการฝึกบำเพ็ญตบะของสำนักธาราโลหิต

“เลือดวิญญาณ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน ในสมองมีคำแนะนำเกี่ยวกับสำนักธาราโลหิตที่เย่จั้งตัวปลอมพูดให้ฟังตลอดทางลอยขึ้นมา

ระบบของสำนักธาราโลหิตมีส่วนคล้ายคลึง และก็มีส่วนต่างกับสำนักธาราเทพ ส่วนที่เหมือนกันก็คือมีฝ่ายนักการ ลูกศิษย์ฝ่ายนอก ลูกศิษย์ฝ่ายในเช่นกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือสำนักธาราโลหิตไม่มีลำดับผู้สืบทอด แต่มีบุตรโลหิต

พูดโดยภาพรวมแล้ว ระดับชั้นมีการแบ่งแยกอย่างเข้มงวด นักการไม่มีสิทธิ์ไปอาศัยอยู่บนมือ ได้อาศัยอยู่แค่เพียงส่วนพื้นดินล่างแขนเท่านั้น ถือเป็นขอบเขตฝ่ายนอกของสำนักธาราโลหิต

ที่นั่นมีคนเยอะมากที่สุด สิ่งปลูกสร้างก็มากมายเกินจะนับ แผ่ขยายออกไปสามด้าน เรียงทอดกันเป็นชั้นๆ

มีเพียงกลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกแล้วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์หลุดพ้นไปจากพื้นดิน ได้อาศัยอยู่บนแขน อาณาบริเวณของที่นั่นคือพื้นที่ที่กว้างที่สุดของแขน

หลังจากได้กลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายใน ถึงจะมีสิทธิ์อาศัยอยู่บนหลังมือ

ส่วนยอดเขาที่เกิดจากนิ้วมือทั้งห้า นอกจากนิ้วโป้งแล้ว อีกสี่ยอดเขาที่เหลือจะแบ่งออกเป็นนิ้วส่วนบนและนิ้วส่วนล่าง พื้นที่นิ้วส่วนล่างคือสถานที่พักอาศัยของสร้างฐานราก สร้างฐานรากวิถีมนุษย์เรียกว่าผู้พิทักษ์ สร้างฐานรากวิถีดินคือผู้อาวุโส

ส่วนนิ้วด้านบน พื้นที่ขนาดใหญ่นั้นมีเพียงคนผู้เดียวที่มีสิทธิ์พักอาศัย นั่นก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของแต่ละยอดเขา ตำแหน่งเทียบเคียงได้กับผู้นำเขาของสำนักธาราเทพ แต่เนื่องจากยอดเขามีน้อย ผู้ที่มีคุณสมบัติกลายมาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ได้จึงล้วนเป็นผู้ที่มีฝีมือไม่ธรรมดาทั้งสิ้น

ส่วนบุตรโลหิตก็ยิ่งเป็นที่จับตามองของคนนับหมื่น ตลอดทั้งระบบของสำนักธาราโลหิต นอกจากยอดเขาของนิ้วหัวแม่มือแล้ว บุตรโลหิตถือว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับเจ้าสำนัก แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ของทุกยอดเขาก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่ง

ลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิต ไม่ว่าใครก็ตามล้วนวาดฝันว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ตนได้กลายมาเป็นบุตรโลหิตของหนึ่งยอดเขา และตลอดทั้งสำนักธาราโลหิต บุตรโลหิตแต่ละสมัยในอดีตที่ผ่านมา อย่างมากที่สุดก็มีเพียงสี่คน คนละหนึ่งยอดเขา

ส่วนหัวแม่มือ ไม่มีบุตรโลหิตอาศัยอยู่ เนื่องจากถูกหมอกโลหิตปกคลุม นิ้วหัวแม่มือจึงเป็นเขตหวงห้ามของสำนัก บุรพาจารย์ ผู้อาวุโสไท่ซ่าง หรือผู้ได้ก็ตามที่เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตยาอาวุวัฒนะของสำนักธาราโลหิตล้วนอาศัยอยู่บนนิ้วหัวแม่มือทั้งสิ้น

และในอดีตยังมีบุตรโลหิตที่ได้เลื่อนขั้นเป็นนักพรตยาอายุวัฒนะ กลายมาเป็นอังคุฐโลหิต จึงได้เหยียบย่างเข้าไปอาศัยอยู่ในนิ้วหัวแม่มือเช่นกัน กลายเป็นผู้ที่มีตำแหน่งน่าตื่นตะลึง อยู่เหนือผู้อาวุโสไท่ซ่าง เป็นรองแค่บุรพาจารย์เท่านั้น

และพื้นที่ล่างสุดของนิ้วหัวแม่มือซึ่งเป็นเหมือนผู้ที่คอยปกปักษ์รักษานิ้วหัวแม่มือนั้น ก็คือที่อยู่ของเจ้าสำนักธาราโลหิต คอยดูแลตลอดทั้งสำนัก

“ยอดเขาทั้งห้า นิ้วหัวแม่มือถูกเรียกว่ายอดเขาจู่เฟิง! นิ้วชี้เรียกยอดเขาซือเฟิง นิ้วกลางคือยอดเขาจงเฟิง นิ้วนางคือยอดเขาอู๋หมิงเฟิง สุดท้ายนิ้วก้อยเรียกว่ายอดเขาเส้าเจ๋อเฟิง!”

“ยอดเขาซือเฟิงหลอมซากศพ ยอดเขาจงเฟิงกระบี่โลหิต ยอดเขาอู๋หมิงเฟิงหลอมหัวปีศาจ ยอดเขาเส้าเจ๋อเฟิงเลือดปีศาจหลอมร่างกาย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปใกล้ประตูของสำนักธาราโลหิตมากขึ้นเรื่อยๆ ในสมองก็ปรากฏข้อมูลทั้งหมดที่เขาเข้าใจลอยขึ้นมา

โดยเฉพาะเขานึกถึงเหล่าลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตที่ได้เจอในโลกกระบี่อุกกาบาต มีบางคนควบคุมศีรษะปีศาจที่ดุร้ายราวกับผีร้าย บางคนก็ควบคุมซากศพอย่างที่สวีเสี่ยวซานทำ ยังมีซ่งเชวียที่ใช้กระบี่โลหิต และยังมีบางส่วนที่กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่ามาจากเลือดปีศาจหลอมร่างกายของยอดเขาเส้าเจ๋อเฟิง

ในเวลานี้ตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตปรากฏขึ้นมาต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเด่นชัด เมื่อกวาดสายตามองไปก็ยืนยันได้ถึงข้อมูลแต่ละข้อที่เขารู้มา

ทว่าขณะที่ในใจเขาสั่นสะท้าน ชะลอฝีเท้าด้วยใจที่ไม่เป็นสุขนั้นเอง วินาทีที่เข้าไปใกล้มือใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันถอดสี หลังจากที่เขาเดินออกไปอีกหนึ่งก้าวแล้วเหยียบย่างเข้าสู่ในขอบเขตของสำนัก วิชาอมตะมิวางวายในร่างของเขาโคจรขึ้นมาเองอย่างฉับพลัน ถ่ายทอดความกระหายใคร่รุนแรงระลอกหนึ่งออกมาให้เขา

เวลาเดียวกันนั้น มือยักษ์มองดูเหมือนเป็นปกติ ทว่าในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน วินาทีนี้กลับมีการเรียกหาดุเดือดส่งมาหาเขา

ในการเรียกหานี้แฝงไว้ด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันดังสะเทือนเลือนลั่น ทุกความกระวนกระวาย ทุกความลังเลล้วนหายไปหมด ความคุ้นเคยที่สัมผัสได้ราวกับเป็นสายเลือดเดียวกันถูกความคิดหนึ่งซึ่งลอยมาในสมองทำให้จิตใจสะท้านไหว

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version