บทที่ 185 ความลับของสำนักธาราโลหิต
เนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก สะกดกลั้นความหวาดหวั่นในใจ เวลานี้เขาเข้ามาใกล้ประตูสำนักแล้ว รอบด้านมีรุ้งเส้นยาวมากมายบินผ่านไป ด้านในนั้นล้วนเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในของสำนักธาราโลหิต บางส่วนยังถึงขั้นเป็นผู้พิทักษ์สร้างฐานรากและผู้อาวุโสด้วยซ้ำ
นักพรตสร้างฐานรากเหล่านั้น บนร่างของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยไอดุร้ายเข้มข้น บินผ่านไปอย่างรวดเร็ว แฝงไว้ด้วยความเผด็จการและความอันธพาล ทุกที่ที่ผ่าน ลูกศิษย์ฝ่ายในล้วนก้มหน้าคำนับ ไม่กล้าเผยความไม่เคารพนับถือ
นักพรตสร้างฐานรากคนหนึ่งคล้ายรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเกะกะขวางทาง เข้ามาใกล้ได้ก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พลังมากมายระลอกหนึ่งกลายเป็นพายุบ้าคลั่งม้วนตลบลงมาบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง ป๋ายเสี่ยวฉุนมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วมาก รีบแสร้งทำท่าถูกลมแรงผลักกระเด็นออกไป ทั้งยังเค้นเลือดสดให้ไหลออกมาทางมุมปากเล็กน้อยด้วย
นักพรตสร้างฐานรากผู้นั้นไม่มองป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่หางตา คำรามผ่านไป
ส่วนลูกศิษย์ฝ่ายในรอบด้าน แต่ละคนก็คล้ายเห็นจนชินตา ต่างคนต่างบินผ่านไป ตรงพื้นดินคือที่อยู่อาศัยของพวกนักการ นักการเหล่านั้นเงยหน้าขึ้นอยู่ตลอดเวลา เต็มไปด้วยความเคารพหวาดเกรงลูกศิษย์ฝ่ายในและนักพรตสร้างฐานรากที่บินไปบินมาอยู่กลางท้องฟ้า
“ช่างอันธพาลนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือสำนักธาราโลหิต ดังนั้นจึงข่มกลั้นเอาไว้ บินไปทางส่วนของหลังมือ
เพิ่งจะเข้ามาใกล้ คลื่นสีเลือดระลอกหนึ่งพลันแผ่กระจายออกมาจากมือขนาดใหญ่นี้ กลายเป็นค่ายกล หลังจากสัมผัสกับตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปล่งแสงวิบวับอยู่ไม่กี่ทีแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ถูกสกัดขวางเอาไว้ สามารถเข้าไปในค่ายกลได้ เหยียบย่างลงบนมือใหญ่ข้างนั้น
“ด่านแรกผ่านมาได้แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก คลื่นเมื่อครู่นี้ก็คือส่วนหนึ่งของค่ายคุ้มกันสำนักธาราโลหิต ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตทุกคนหากสัมผัสโดนมันก็จะถูกตรวจสอบตัวตนทันที
พื้นที่บนหลังมือของมือข้างนี้กว้างใหญ่ไพศาลเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนย่างกรายมาถึง เมื่อมองออกไป มันสามารถเทียบเคียงได้กับชายฝั่งเหนือใต้ของสำนักธาราเทพที่รวมเข้าด้วยกัน ความกว้างใหญ่ของพื้นที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจความแข็งแกร่งของสำนักธาราโลหิตได้ในทางอ้อม
อาณาบริเวณตรงหลังมือมีเพียงลูกศิษย์ฝ่ายในเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกยกเว้นผู้ที่ถือวัตถุยืนยัน มิเช่นนั้นหากเหยียบย่างเข้าไปจะถูกลงโทษทันที เบาสุดคือโบยตี หนักสุดคือตัดแขนขา ทารุณเป็นอย่างมาก ภายใต้หลักการที่โหดร้ายเช่นนี้ ตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตจึงดูบูดเบี้ยว และท่ามกลางความบูดเบี้ยวนี้การจัดแบ่งลำดับชั้นจึงเข้มงวดอย่างมาก
เดิมทีใจของป๋ายเสี่ยวฉุนตึงเครียดไม่น้อย ทว่าขณะที่เหยียบลงบนมือใหญ่ ความรู้สึกสนิทสนมที่มาจากมือใหญ่และการโคจรของวิชาอมตะมิวางวายในร่างกายทำให้ความสะท้านสะเทือนในใจของเขารุนแรงเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ
“นี่จะเป็นไปได้ยังไง…” จนถึงตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ เขาสังเกตพื้นดินของที่นี่อย่างละเอียด สุดท้ายจำเป็นต้องยอมรับความจริงที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงนี้
“นึกไม่ถึงว่า…มือใหญ่ข้างนี้จะ…ฝึกวิชาอมตะมิวางวาย!” หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ยักษ์ตนนั้นที่มองไม่เห็นร่าง ซึ่งยื่นมือข้างเดียวออกมาจากใต้แม่น้ำทงเทียนต่างหากที่…ฝึกวิชาอมตะมิวางวาย!
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าฝึกได้ถึงระดับที่ลึกล้ำถึงขีดสุด ตลอดทั้งมือขวานี้ ผิวหนังที่เป็นพื้นดินซึ่งปรากฏให้เห็นภายนอกนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามันคือ…ผิวหนังคงกระพัน!
และใต้ผิวหนังคงกระพันนี้ เมื่อมองลงไปจากรอยปริแตกมากมายเบื้องล่าง ดินโคลนที่เห็นก็คือเนื้อคงกระพันของยักษ์ตนนี้ และจุดที่ลึกลงไปจากดินโคลน ในสถานที่ที่มองไม่เห็น กระดูกที่ดำรงอยู่ก็คือกระดูกคงกระพัน!
และที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตะลึงที่สุดก็คือตอนที่เขามองไปยังยอดเขาทั้งห้านิ้ว น้ำตกสีเลือดที่มองเห็นได้รำไร เห็นได้ชัดว่ามันคือ…ขอบเขตสูงสุดของบทมิวางวาย เลือดคงกระพัน!
“สวรรค์ ตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตตั้งอยู่บนแขนของยักษ์ตนหนึ่งที่ฝึกวิชาอมตะมิวางวาย และวิชาที่พวกเขาฝึก ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เห็นได้ว่ามันคือ…วิชาที่คนรุ่นก่อนๆ ของสำนักธาราโลหิตสร้างขึ้นมาผ่านมือยักษ์ข้างนี้…
และต้นกำเนิดของวิชานี้ก็คือวิชาที่ข้าฝึกอย่าง…วิชาอมตะมิวางวาย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ บทแรกของวิชาอมตะมิวางวาย ตามที่เขารู้มา ไม่ใช่วิชาที่หายากอะไรนัก หลายสำนักล้วนมีการบันทึกเอาไว้ ทว่าเนื่องจากฝึกฝนได้อย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงแทบจะไม่มีใครฝึกได้ถึงขั้นผิวหนังทองคงกระพัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฝ่าทะลุพันธนาการแห่งชีวิตขั้นที่หนึ่ง และเห็นได้ชัดว่าบางทีคนในสำนักธาราโลหิตก็อาจจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างวิชาอมตะมิวางวายและมือสีเลือดข้างนี้
เมื่อวิเคราะห์เช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงตัดสินออกมาได้อย่างมั่นใจว่ามีเพียงคนที่ฝึกถึงขั้นผิวหนังทองคงกระพัน และฝ่าทะลุพันธนาการขั้นแรกแห่งชีวิตแล้วเท่านั้น ที่เวลาเข้ามาใกล้มือใหญ่จึงจะสัมผัสถึงการเรียกหาราวกับเป็นสายเลือดเดียวกันเช่นนั้น
ทว่าทั้งหมดล้วนคือการคาดเดาของป๋ายเสี่ยวฉุน บางทีอาจมีจุดที่ยังไม่ถูกต้อง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื่อว่าจากการที่ตนเองเข้าใจสำนักธาราโลหิตมากขึ้นเรื่อยๆ คำถามข้อนี้ สักวันเขาต้องได้คำตอบ และยังอาจถึงขั้นสามารถพิสูจน์ในมุมมองอื่นได้ด้วย
“มิน่าล่ะตอนอยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาต พอซ่งเชวียเอาก้อนเลือดออกมา ข้าถึงได้รู้สึกคุ้นเคย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงตอนที่ประมือกับซ่งเชวียในโลกกระบี่อุกกาบาต อีกฝ่ายเอาก้อนเลือดที่ระเบิดได้ออกมา ตอนนี้เขามาย้อนคิดดู ก้อนเลือดนั้นชัดเจนว่าคือเลือดคงกระพัน เป็นวิชาพิเศษของสำนักธาราโลหิตที่ต้องรอให้ซ่งเชวียสร้างฐานรากได้ก่อนถึงจะพอฝืนเอาออกมาใช้ได้
“และที่ข้าเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตแทบทุกคนในโลกกระบี่อุกกาบาต ที่แท้ก็มาจากสาเหตุนี้นี่เอง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะที่ในใจเกิดคลื่นยักษ์ถาโถม เขาก็ได้ไปที่ฝ่ายภารกิจของสำนักธาราโลหิตตามที่เย่จั้งตัวปลอมแนะนำ ไปเอาหยกตัวตนมาจากที่นั่น หลังจากลงบันทึกว่าตัวเองกลับมายังสำนักแล้ว กำลังจะจากไป ทว่าเวลานี้เอง มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งคำรามเข้ามา พอเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลายร่างเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง
ผู้เฒ่าคนนี้มีตบะสร้างฐานราก กวาดสายตาเย็นชามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบหยุดความคิดทั้งหมด ประสานมือคารวะ แอบถามเย่จั้งตัวปลอม หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายคือผู้อาวุโสผู้รับผิดชอบฝ่ายภารกิจจึงทำความเคารพทันที
“ศิษย์เย่จั้ง คารวะผู้อาวุโสหัน”
“เหตุใดเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้!” ผู้อาวุโสหันเอ่ยปากเนิบช้า
“ก่อนหน้านี้ศิษย์บาดเจ็บหนัก ดังนั้นจึงรอให้บาดแผลหายดีก่อนถึงค่อยกลับมา” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างระมัดระวัง หลังจากคิดแล้ว เขาก็ตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง หยิบเอาหินวิเศษออกมาจำนวนมาก ส่งไปให้เบื้องหน้าผู้เฒ่าหัน
“ผู้อาวุโสหัน นี่คือผลพวงที่ศิษย์ได้มาจากในโลกกระบี่อุกกาบาต หวังว่าผู้อาวุโสหันจะรับไว้ ยืดหยุ่นให้ข้าหน่อย เพราะยังไงซะศิษย์ก็กลับมาช้าแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ
ผู้อาวุโสหันอึ้งตะลึง สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง รับเอาหินวิเศษมา มองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายที พยักหน้าน้อยๆ
“ยังมีอีกสองสามคนยังไม่ได้กลับมา ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้วก็จงตั้งใจบำเพ็ญตบะ ช่วงชิงสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ เอาล่ะ กลับไปเถอะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเอ่ยลา เมื่อห่างออกไปไกล ผู้อาวุโสหันมองเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายที รู้สึกว่าเย่จั้งผู้นี้หลังจากมีประสบการณ์จากในหุบเหวกระบี่อุกกาบาต ก็คล้ายว่าจะรู้ประสาขึ้นมาบ้างแล้ว
“ช่างเถอะ ในเมื่อรู้จักคิดเช่นนี้ ข้าก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจแล้ว มิเช่นนั้นกล้ากลับมาช้าขนาดนี้ก็สมควรต้องโดนโบยสิบไม้!” ผู้อาวุโสหันสะบัดร่างทีเดียวก็จากไปไกลไร้ร่องรอย
ภาพนี้เย่จั้งตัวปลอมก็สามารถสัมผัสได้ เมื่อสวมหน้ากาก คนนอกจึงมองไม่ออกถึงเส้นสนกลใน เขาเบิกตากว้าง มองเห็นภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนติดสินบน ผู้อาวุโสหันอย่างเป็นธรรมชาติด้วยตาตนเองก็อด สำลักลมหายใจไม่ได้ แอบรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเหมาะที่จะอยู่ในสำนักธาราโลหิตยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก…
เดินอยู่ในสำนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนสนใจใคร่รู้กับทุกสิ่งรอบกายเป็นอย่างมาก มองซ้ายที มองขวาที น่าเสียดายที่คนที่นี่ต่างก็เย็นชาอย่างถึงขีดสุด ไปมาเร่งร้อน น้อยนักที่จะมีคนเดินใกล้กัน ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าระแวดระวัง รักษาระยะห่างป้องกันกันเอง
ถึงกระทั่งที่ว่าตลอดทางที่เดินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนยังมองเห็นลูกศิษย์สองคนเข่นฆ่ากันถึงสี่ห้าครั้งด้วยซ้ำ ต่างฝ่ายต่างแย่งชิงยากัน ลงมือโหดเหี้ยมทารุณ เหมือนต้องการเอาชีวิตอีกฝ่ายจริงๆ
และพวกคนที่มองดูความคึกคักอยู่รอบด้านก็มีบางคนที่ดวงตาเป็นประกาย ดั่งว่าสามารถเข้าไปลงมือแย่งชิงได้ทุกเมื่อ
ทั้งยังมีคนหนึ่ง ถูกทำร้ายจนกระอักเลือด แม้แต่เครื่องในที่แหลกละเอียดก็ยังถูกพ่นออกมาด้วย
“สำนักธาราเทพของข้านั่นแหละดีแล้ว ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างเอื้ออารี มีแต่ความสุขสวยงาม”
“ที่นี่อันตรายเหลือเกิน พูดจาไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ลงมือต่อยตี…” ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวา ยังดีที่ถึงแม้เย่จั้งจะไม่มีชื่อเสียงในสำนักเท่าไหร่นัก ทว่ายังไงซะตบะของเขาก็อยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณสิบ ตลอดทางจึงไม่มีใครคิดลงมือกับเขา บวกกับท่าทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามทำให้ดูเหี้ยมเกรียม ราวกับใครเข้าใกล้เป็นต้องมีเรื่องนั้นก็พอได้ใช้ผลอยู่บ้าง
ขณะที่กำลังเดินกลับไปทางถ้ำสถิตของเย่จั้งด้วยใจหวาดหวั่น มองเห็นว่าใกล้จะถึงแล้ว ด้านขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีลูกศิษย์หญิงของสำนักธาราโลหิตสามห้าคนเดินผ่านมา ทันใดนั้นหญิงร่างบึกบึนคนหนึ่งสังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากหันไปพูดกับหญิงสาวข้างกายสองสามประโยค หญิงสาวนางนี้ก็เดินเข้ามาป๋ายเสี่ยวฉุน ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนหญิง
“เย่จั้ง!” หญิงสาวบึกบึนผู้นี้เสียงดังมาก ทั้งน้ำเสียงยังแหบนิดๆ ด้วย
“ใครกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง รีบหันไปมอง หลังจากมองเห็นรูปร่างของหญิงสาวผู้นี้ชัดเจนก็ระวังตัวทันที หญิงสาวผู้นี้ค่อนข้างอ้วน บนใบหน้ามีกระอยู่ไม่น้อย ยามนี้กำลังเดินยักย้ายเอวหนาๆ นั่น ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตากลับฉายประกายแสงบางอย่างคล้ายความหิวกระหาย ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาใกล้
“เจ้าคนบ้านี่ ไม่มีคนอื่นสักหน่อย ไม่ต้องทำท่าจะฆ่าจะแกงกันแบบนั้นหรอก ไหน ยิ้มให้ศิษย์พี่หญิงหน่อยสิ” หญิงร่างบึกบึนผู้นี้ถลึงตาใส่ จากนั้นก็หัวเราะ พอเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยื่นนิ้วมือออกมาทำท่าจะจับคางของป๋ายเสี่ยวฉุน
การกระทำและรอยยิ้มเช่นนี้ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนสำลักลมหายใจ ถอยหลังกรูด
“โอ๊ะโอ ไปหุบเหวกระบี่อุกกาบาตครั้งเดียวก็ลืมศิษย์พี่หญิงอย่างข้าแล้วหรือ? เร็วเข้า ตามข้ากลับไปที่ถ้ำ ในถ้ำข้ายังมียาเหลืออยู่ไม่น้อยเลยนะ” หญิงร่างใหญ่หัวเราะเสียงเย็น เลียริมฝีปาก เดินรุดหน้ามาคิดจะดึงป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเข้าไปในถ้ำด้วยกัน
หนังหัวของป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะระเบิดออกเต็มที สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง รีบห้ามปราม
“หยุดนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแตกตื่น รีบคำรามเสียงต่ำ
“ดีนักนะเจ้าเย่จั้ง กล้าทำถึงเพียงนี้ หึ ข้าจะคอยดูวันที่เจ้ามาขอร้องข้า!” นัยน์ตาของหญิงสาวเผยความดุดัน ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนเสร็จก็หมุนกายจากไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ รีบแอบถามวิญญาณเย่จั้งตัวปลอมทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือใคร
“ท่านผู้อาวุโสอย่างเพิ่งโมโห นางคือ…นางคือหนึ่งในชู้รักของข้าในสำนัก…” วิญญาณเย่จั้งรีบอธิบาย
“ชู้รัก? เจ้า…รสนิยมเจ้าแปลกประหลาดเสียจริง” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กน้อย รูปโฉมของเย่จั้ง ไม่ต้องพูดถึงความหล่อเหลาที่มากล้น ทั้งยังเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง มองดูแล้วเป็นคนใจดำอำมหิตด้วยซ้ำ ทว่ากลับมามีความสัมพันธ์คลุมเครือกับหญิงร่างบึกนั่นได้
“ท่านผู้อาวุโสไม่รู้อะไร หลังจากที่ข้าได้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายใน ตบะก็เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า จำเป็นต้องใช้ยาจำนวนมาก ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก…ตระกูลของศิษย์พี่หญิงซุนคือตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร มียาเยอะมาก ข้าเองก็จนใจ ถึงได้ยอมคล้อยตาม…” เย่จั้งตัวปลอมร้องไห้ระบายทุกข์
————