บทที่ 187 ซ่งเชวียมีอาหญิงน้อยคนหนึ่ง…
“แค่สร้างฐานรากวิถีดินคนหนึ่งก็เรียกว่าเป็นนายหญิงน้อยได้ด้วยหรือ? งั้นข้าสร้างฐานรากวิถีฟ้า อยู่ในสำนักธาราเทพก็เรียกว่านายน้อยได้เหมือนกันน่ะสิ” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมแพ้ ทั้งยังอิจฉาอยู่ไม่น้อย ขณะที่ก้มหน้าก็รีบสื่อสารกับวิญญาณเย่จั้งตัวปลอม ถามว่าอีกฝ่ายรู้จักเซวี่ยเหมยผู้นี้หรือไม่
วิญญาณเย่จั้งตัวปลอมยามนี้กำลังตัวสั่น คล้ายหวาดกลัวเซวี่ยเหมยอยู่มาก พอได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนถามจึงรีบแนะนำทันที
“นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยผู้นี้ภูมิหลังยิ่งใหญ่มากเลยล่ะ นางคือลูกสาวเพียงคนเดียวของอู๋จี๋เจินเหรินที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นมาเป็นหนึ่งในบุรพาจารย์ทั้งแปดท่านของสำนักธาราโลหิต พรสวรรค์น่าตะลึง ชื่อเสียงความยิ่งใหญ่ในสำนักธาราโลหิต เหนือล้ำเกินกว่าซ่งเชวีย!”
“อีกอย่างตอนที่นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยอยู่ในขั้นรวมลมปราณก็บำเพ็ญตบะอยู่ในยอดเขาจู่เฟิง น้อยครั้งที่จะออกมาข้างนอก ตอนนี้น่าจะเป็นเพราะสร้างฐานรากแล้วถึงได้ออกมาปรากฏตัวในสำนักบ่อยขึ้น
เพราะว่าแต่เดิมบุรพาจารย์อู๋จี๋ถือกำเนิดขึ้นที่ยอดเขาจงเฟิง ดังนั้นจึงเล่าลือกันว่านายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยคือผู้อาวุโสที่ถูกเลือกเอาไว้แล้ว ทั้งยังเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งในการแย่งชิงเป็นบุตรโลหิตแห่งยอดเขาจงเฟิง!” เย่จั้งตัวปลอมพูดอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังไปฟังมาก็เริ่มตกใจจนลิ้นจุกปาก
“ศิษย์รุ่นก่อนๆ ของสำนักธาราโลหิตเราจะมีบุตรโลหิตเกิดขึ้นสี่คน คนละหนึ่งยอดเขา ตอนนี้อีกสามยอดเขาที่เหลือล้วนมีการแก่งแย่งกันเพื่อเป็นบุตรโลหิต มีเพียงยอดเขาจงเฟิงเท่านั้นที่ไม่มี หลังจากที่นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยสร้างฐานรากสำเร็จ ก้าวต่อไปก็น่าจะช่วงชิงสถานะบุตรโลหิตมาจากผู้อาวุโสใหญ่ยอดเขาชิงเฟิง
เดิมทีหากซ่งเชวียสามารถสร้างฐานรากวิถีฟ้าได้ก็จะมีสิทธิ์นี้เช่นกัน น่าเสียดายที่เมื่อได้แค่ชีพจรดิน ตระกูลซ่งย่อมไม่มีทางให้เขาเป็นศัตรูกับอาหญิงน้อยของตัวเองแน่นอน!”
“อาหญิงน้อย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ของยอดเขาจงเฟิง ซ่งจวินหว่านก็คืออาหญิงน้อยของซ่งเชวีย!” เย่จั้งกล่าวอย่างรวดเร็ว พูดจบก็หยุดพักเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงลึกลับ
“พูดถึงบุตรโลหิตแล้ว ผู้อาวุโสป๋าย ข้าจะบอกความลับอีกอย่างหนึ่งแก่ท่าน ท่านรู้ไหมว่าเหนือบุตรโลหิต ไม่ใช่สิ เหนืออังคุฐโลหิตก็ยังไม่เหมาะสม น่าจะเป็นเหนือบุรพาจารย์มากกว่า รู้ไหมว่าเหนือบุรพาจารย์ขึ้นไปนั้นคืออะไร?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังคำบอกเล่าของเย่จั้งตัวปลอม เวลานี้ได้ยินอีกฝ่ายทำท่าทางมีลับลมคมใน จึงอดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาไม่ได้ รีบถามทันที
เย่จั้งตัวปลอมกระแอมไอหนึ่งครั้ง เอ่ยปากภาคภูมิใจ
“ในตำนานบอกไว้ว่า เหนือบุรพาจารย์ขึ้นไป ยังมีมารโลหิต!”
“มารโลหิต?” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน คำเรียกขานเช่นนี้ ในสายตาเขามันช่างเหี้ยมหาญยิ่งนัก แค่ฟังหนังหัวยังชาหนึบ ราวกับมองเห็นสุดยอดปีศาจร้าย ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา
“หึหึ สำนักธาราโลหิตของเราแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ข้าจะบอกท่านให้ ยังไม่ต้องนับยอดเขาจู่เฟิงของสำนักธาราโลหิตก่อน อีกสี่นิ้วที่เหลือ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ผลึกโลหิตก็จะได้กลายเป็นบุตรโลหิต และผลึกโลหิตก็อยู่ในร่างของบรรพบุรุษโลหิตเบื้องใต้แม่น้ำทงเทียนอันเป็นที่ตั้งของภูเขามือศักดิ์สิทธิ์สำนักธาราโลหิต
ทว่าในสำนักธาราโลหิตมีคำเล่าลืออย่างหนึ่ง ว่ากันว่าในร่างของบรรพบุรุษโลหิตเบื้องใต้แม่น้ำทงเทียน นอกจากเลือดที่รวมตัวกันเป็นผลึกโลหิตแล้ว ยังซุกซ่อนวิชาสืบทอดลึกลับอีกอย่างหนึ่งเอาไว้ด้วย!
ใครได้รับวิชาสืบทอดนี้ คนผู้นั้นก็จะได้เป็นมารโลหิต! นำสำนักธาราโลหิตสร้างตำนานมหัศจรรย์ขึ้นมา
ทว่านี่เป็นเพียงคำเล่าลือกันเท่านั้น ข้าก็แค่พูดให้ฟังเฉยๆ ท่านอย่าได้คิดจริงจัง อันที่จริงแล้วในสำนักมีคนไม่น้อยที่รู้สึกว่าเรื่องเล่านี้ไม่มีทางเป็นจริงได้เลยสักนิด” เย่จั้งตัวปลอมเอ่ยปากอย่างปลดปลง
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ในใจถูกเขย่าคลอน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจรู้สึกว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล่าหนึ่งเท่านั้น ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาแอบรู้สึกได้ว่าคนร่างยักษ์เบื้องใต้แม่น้ำทงเทียนที่คนในสำนักธาราโลหิตต่างเรียกกันว่าบรรพบุรุษโลหิตนี้ บางทีในร่างของเขาอาจซุกซ่อนวิชาสืบทอดไม่ธรรมดาอยู่จริงก็เป็นได้
ยามนี้ไอหมอกกลางอากาศลอยห่างไปไกล เกี้ยวโลหิตที่อยู่ท่ามกลางพลังอำนาจยิ่งใหญ่ก็ค่อยๆ บินไปทางยอดเขาจู่เฟิงด้วย นักพรตสร้างฐานรากคนอื่นที่อยู่กลางอากาศถึงได้ค่อยๆ แยกย้ายกันไป ส่วนทุกคนที่อยู่บนพื้นดินต่างก็หายใจหายคอกันสะดวกขึ้น
นัยน์ตาจ้าวอู๋ฉางแฝงไว้ด้วยความริษยา ก้มหน้าทอดถอนใจ
“เจ้านี่ช่างใจกล้ายิ่งนัก ยังดีที่นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยไม่ได้ให้ความสนใจ มิฉะนั้นที่เจ้าจ้องมองนางเขม็งก่อนหน้านี้ โทษสถานเบาคือควักดวงตาทั้งคู่ของเจ้า สถานหนักอาจโดนโบยจนตายเลยก็เป็นได้”
“อันธพาลเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดูแคลนอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่เผยสีหน้าใดออกมาให้เห็น พยักหน้าอย่างเย็นชา จ้าวอู๋ฉางมองเห็นท่าทางนั้นจึงไม่พูดหัวข้อนี้อีกต่อไป เดินไปถึงสถานที่ชุมนุมพร้อมป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรวดเร็ว
ที่แห่งนี้อยู่ริมขอบของหลังมือ เป็นสถานที่ตั้งของถ้ำสถิตลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งตอนที่อยู่ในดินแดนลึกลับอี้โยว สามารถรวบรวมตัวล่อปราณชีพจรดินออกมาได้ ทว่าเนื่องจากปราณชีพจรดินมีน้อยเกินไป ไม่สามารถสร้างน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่หนึ่ง สุดท้ายจึงมิอาจสร้างฐานรากชีพจรดินสำเร็จ
แม้ว่าจะถูกลดขั้น แต่ตบะของเขากลับถูกกลั่นหลอมมาแล้วหนึ่งรอบ ในบรรดาผู้พ่ายแพ้ เขาเองก็ถือเป็นบุคคลโดดเด่นผู้หนึ่ง
เพิ่งจะเข้ามาในถ้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันด้วยความโกรธแค้นจากลูกศิษย์รวมลมปราณสิบขั้นสมบูรณ์แบบสิบกว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในทันที
“เจ้าหลินมู่ของสำนักธาราโอสถนั่น หากมีโอกาส ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้ เพราะเจ้าคนนี้นี่แหละที่แย่งชิงเอาปราณชีพจรดินตัดหน้าข้าไป ทำให้ข้าไม่สามารถทำสำเร็จ!”
“เจ้าหลินมู่นั่นโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง ได้ยินว่าเพื่อบำเพ็ญตบะแล้ว เขายังถึงขั้นปลูกเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าลงไปบนตัวลูกศิษย์คนอื่น หักหลังและฆ่าลูกศิษย์รุ่นเดียวกัน เอาตัวเองรอดเพียงผู้เดียว”
“ไม่ว่าจะเป็นหลินมู่ก็ดี สุ่ยฟางของสำนักธาราทมิฬก็ช่าง พวกนั้นก็แค่มดตัวน้อยเท่านั้น คนที่น่าแค้นเคืองอย่างแท้จริงก็คือที่หุบเหวกระบี่อุกกาบาต ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนั่นคือปีศาจร้ายอย่างแท้จริง อำมหิตเหี้ยมโหดยิ่งกว่าสำนักธาราโลหิตของเราเสียอีก ตลอดทั้งหุบเหวกระบี่อุกกาบาต คนของสำนักธาราโลหิตเราที่รอดชีวิตกลับมาได้มีเพียงแค่ไม่กี่คน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกสองแห่งมีหรือจะเทียบได้!”
“เล่าลือกันว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนั่นฆ่าคนมากมาย ใจยักษ์ใจมาร แค่อ้าปากก็เขมือบกลืนคนทั้งเป็น ใครที่ต่อสู้กับเขา เพียงสัมผัสโดนตัวเขาเล็กน้อยร่างก็จะระเบิดพินาศย่อยยับ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเข้ามาก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใจหายวาบ นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตัวเองคือเย่จั้ง จิตใจถึงได้สงบลง เดินตามจ้าวอู๋ฉางมาหยุดอยู่ข้างกายทุกคน
คนเหล่านี้พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็พยักหน้าให้ ยังมีสองสามคนที่เอ่ยปากถามเขาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าจ้าวอู๋ฉางและเจ้า ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้!” จ้าวอู๋ฉางกำหมัดแน่น ใบหน้ามีเส้นเลือดปูดโปน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่นัยน์ตากลับยังมีความกริ่งเกรงหลงเหลืออยู่
“ศิษย์พี่จ้าวโปรดวางใจ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสำนักตั้งรางวัลไว้แล้ว หากใครตัดหัวของป๋ายเสี่ยวฉุนมาได้ จะประทานสมบัติล้ำค่าให้ทันที ถือว่าได้สร้างคุณความดีใหญ่หลวง ทั้งยังยกผลโอสถทองคำให้หนึ่งชิ้นด้วย!” มีลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตผู้หนึ่งเอ่ยปากปลอบใจเช่นนี้ ลูกศิษย์คนอื่นจึงรู้สึกคลายใจ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเบิกตากว้าง อกสั่นขวัญแขวน
“ผลโอสถทอง? วัตถุที่สามารถเพิ่มอัตราการเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมโอสถ สำนักธาราโลหิตเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะสูดลมหายใจเข้าปอด ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างพลันหัวเราะเสียงเย็น
“แค่นั้นมันจะไปพออะไร หลายวันก่อนข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่า บุตรโลหิตสามคนของสำนักธาราโลหิตเราออกไปข้างนอกแล้ว ต่างคนต่างมีวิธีการมากมายในการตามหาป๋ายเสี่ยวฉุน ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนกล้าออกมาจากสำนักธาราเทพ ถ้าเช่นนั้นเขาก็ต้องตายอย่างมิต้องสงสัย!”
ขณะที่คนสิบกว่าคนในถ้ำแห่งนี้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สบถด่าระบายความเคียดแค้นออกมาอย่างต่อเนื่อง พลันสังเกตเห็นว่าตั้งแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ ดังนั้นจ้าวอู่ฉางจึงมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาแปลกใจหนึ่งครั้ง
“ทำไมศิษย์น้องเย่ไม่พูดอะไรเลยล่ะ ตอนนั้นเจ้าแทบเอาชีวิตไม่รอดจากกำมือของป๋ายเสี่ยวฉุน รู้สึกเช่นไรกับคนผู้นี้บ้าง?” จ้าวอู๋ฉางเอ่ยปากเช่นนี้ คนอื่นจึงให้ความสนใจขึ้นมา พากันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหวาดผวาอยู่ในใจ กระวนกระวายนั่งไม่เป็นสุข พอได้ยินคำพูดของจ้าวอู๋ฉางเขาก็รีบยืดอก ตบลงไปแรงๆ หนึ่งครั้ง สีหน้าเผยความชั่วร้าย ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำขึ้นมาทันที
“ข้ากับป๋ายเสี่ยวฉุน มีข้าไม่มีเขา มีเขาไม่มีข้า อย่ามาพูดถึงชื่อเขาต่อหน้าข้า เป้าหมายในชีวิตนี้ของข้าเย่จั้ง ก็คือกำจัดป๋ายเสี่ยวฉุนให้สิ้นซาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเร็วปร๋อ แสดงความเด็ดเดี่ยวออกมาต่อเนื่อง ยิ่งพูดยิ่งอารมณ์รุนแรง คนรอบด้านพอได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าถี่ๆ เช่นเดียวกับจ้าวอู๋ฉาง รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนพูดได้โดนใจตัวเองยิ่งนัก ขณะที่พากันปลงอนิจจังก็เริ่มถกเรื่องนี้กันต่อ
ทุกคนคุยกันไปได้อีกพักใหญ่จึงเปลี่ยนหัวข้อ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็พอหายใจหายคอคล่องขึ้น รู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ในสำนักธาราโลหิตช่างเสี่ยงอันตรายยิ่งนัก ใจเขาเริ่มคิดถึงสำนักธาราเทพขึ้นมาเสียแล้ว
“จะบอกกับทุกคนเรื่องหนึ่ง ข้าไปสืบข่าวถึงวิธีการที่ทางสำนักจะจัดการกับผู้ล้มเหลวจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากอย่างพวกเรามาแล้ว ได้ยินว่าจะให้โอกาสพวกเราอีกหนึ่งครั้ง!” เจ้าของถ้ำแห่งนี้ ลูกศิษย์คนที่มองดูแล้วแข็งแกร่งมากที่สุด ยามนี้เอ่ยปากเนิบช้า คนรอบด้านพลันเก็บเสียง รับฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่คือโอกาสครั้งหนึ่งในการสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ น่าเสียดายที่โอสถสร้างฐานรากมีไม่เยอะ น่าจะมีการประลองครั้งหนึ่ง ให้ผู้พ่ายแพ้อย่างพวกเราทุกคนช่วงชิงเอาโอสถสร้างฐานรากมาจากในสถานที่ประลอง!”
“แต่ข้ายังได้ยินมาอีกว่าไม่ใช่ผู้พ่ายแพ้ทุกคนที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลอง ก่อนการประลองจำเป็นต้องทำภารกิจหนึ่งที่สำนักมอบให้สำเร็จเสียก่อน มีเพียงผู้ที่ทำสำเร็จเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์” หลังจากที่เจ้าของถ้ำเอ่ยปาก ทุกคนรอบด้านก็พากันเงียบงัน ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ แสร้งวางท่าเย็นชาครุ่นคิดอย่างหนักเช่นกัน
เจ้าของถ้ำผู้นั้นกวาดตามองทุกคน ดวงตาเปล่งแสงวาบเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยปากพูดต่อ
“สหายร่วมสำนักทุกท่าน ผู้พ่ายแพ้มิได้มีแค่พวกเราเท่านั้น ยังมีบางคนที่อยู่ลำพัง ดูแคลนพวกเราไม่คิดจะมาเป็นพวกด้วย ครั้งนี้ พวกเราต้องร่วมมือกันกำจัดคนอื่น แล้วค่อยมาจัดสรรโอสถสร้างฐานรากกันภายใน!”
ไม่ว่าทุกคนจะคิดเช่นไร แต่สีหน้าก็แสดงออกมาว่าสนับสนุนความคิดนี้ ไม่นานทุกคนก็บรรลุเป้าหมายเดียวกัน หลังจากแลกข้อมูลในสำนักต่อกันแล้วถึงได้แยกย้ายกันไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินอยู่ในสำนัก ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว เขากำลังครุ่นคิดเรื่องการประลองสร้างฐานรากของสำนักธาราโลหิต คิดว่าทางที่ดีไม่ควรให้คนอื่นสร้างฐานรากได้สำเร็จ เพราะหากพูดกันจริงๆ แล้ว สำนักธาราโลหิตก็คือศัตรูของสำนักธาราเทพ
ขณะที่กำลังขบคิดถึงวิธีการ ทันใดนั้น ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเปล่งแสงวาบ มือขวายกขึ้นคว้าจับไปที่ด้านหลังทันควัน ด้านหลังของเขามีเงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ดูเหมือนไม่คิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบเร็วขนาดนี้ คิดจะถอยหลังกลับ ทว่าสายไปเสียแล้ว มองเห็นว่ามือป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะคว้ามาโดน คนผู้นี้จึงไม่หลบหลีก กลับเด้งอกเข้าใส่
“เจ้าคนบ้า คิดจะทำอะไร จะเอาตรงนี้เลยหรือไง?” เงาร่างนี้คือหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ทั้งยังมีแผลเป็นอีกหนึ่งรอยยาวลงมาจากหว่างคิ้วจนถึงมุมปาก เมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์ยามราตรีจึงดูราวกับยักษ์ร้าย
ตบะอยู่ในขั้นรวมลมปราณสิบเช่นกัน ยามนี้นัยน์ตาเปล่งประกายวิบวับ ทั้งยังชม้ายชายตาส่งมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนเบิกตากว้าง รีบดึงมือกลับถอยหลังกรูด
“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้ามีอารมณ์คึกคักเช่นนี้ ข้าก็จะตามใจเจ้าแล้วกัน” หญิงวัยกลางคนผู้นี้ส่งสายตามาให้อีกครั้ง กำลังจะปลดอาภรณ์ออก ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจรีบสะบัดตัวเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
“สมควรตายเอ๊ย บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้ามีชู้รักทั้งหมดกี่คนกันแน่!” ไม่สนใจเสียงร้องเรียกจากหญิงสาวด้านหลัง ขณะที่กำลังโกยแนบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตวาดถามเย่จั้งตัวปลอมทันควัน
“ข้า…ข้าจำได้ไม่หมดจริงๆ ข้าใช้ชีวิตอยู่ในสำนักธาราโลหิตไม่ง่ายนี่นา หลายปีมานี้ ใครให้ยากับข้า ข้าก็ไปกับคนนั้น” เย่จั้งตัวปลอมกลัวจนรีบตอบลนลาน
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงว่าตัวเองหน้ามืด
———–