Skip to content

A Will Eternal 208

บทที่ 208 พี่หญิงซ่งช่วยข้าด้วย

“แค่กวักมือก็มาหา แค่โบกมือก็ถอยห่าง…นี่เป็นอีกขอบเขตหนึ่งเชียวนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งคาดหวัง ในสมองจินตนาการว่าต่อไปหากฝึกวิชาพลังแม่เหล็กสำเร็จแค่สะบัดปลายแขนเสื้อทุกอย่างก็สิ้นราบพนาสูร ปัดมือเบาๆ ศัตรูก็ถอยห่างไปไกล สหายพุ่งเข้ามาในอ้อมกอดได้จริงๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนปิติยินดี มองปลายแขนเสื้อของตัวเอง ทดลองสะบัดอยู่สองสามครั้ง

ดังนั้นจึงยิ่งตั้งใจศึกษามากยิ่งขึ้น ทำอย่างนี้จนเวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน

กลางดึกของคืนนี้ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังศึกษาพลังแม่เหล็ก นอกสำนักธาราโลหิตมีเกี้ยวสีเลือดหลังหนึ่งที่ใช้ปีศาจร่างเลือนรางแปดตนแบกหาม ค่อยๆ ลอยมาจากทิศไกล

รอบด้านของเกี้ยวสีเลือดหลังนี้ยังมีนางกำนัลจำนวนมากถือโคมไฟสีโลหิต ทุกที่ที่ผ่าน หมอกเลือดแผ่กระจาย ในเกี้ยว เซวี่ยเหมยซึ่งสวมหน้ากากมีสีหน้ามืดทะมึน ในมือถือแผ่นหยกหนึ่งแผ่น

เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้นางออกไปทำภารกิจให้กับสำนัก กำจัดตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรแห่งหนึ่งที่แอบติดต่อกับสำนักธาราทมิฬ บัดนี้ภารกิจเสร็จสิ้นแล้วจึงกลับมายังสำนัก

“เย่จั้ง…” ใกล้จะถึงสำนัก ดวงตาของเซวี่ยเหมยวาบวับไปด้วยไอสังหาร สำหรับเย่จั้งผู้นี้ เมื่อก่อนนางไม่ได้ใส่ใจมากนัก ในสายตาของนางเขาก็เป็นเหมือนมดตัวหนึ่ง นางพูดประโยคเดียวก็ตัดสินความเป็นความตายของเขาได้

หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นนางต้องออกไปทำภารกิจข้างนอก ต่อให้อีกฝ่ายไปหลบอยู่ในเขาซือเฟิง นางก็ยังตามไปสังหารได้ เพียงแต่ว่าจะให้ลงมือด้วยตัวเอง นางไม่คิดจะลดตัวถึงขั้นนั้น

แต่ตอนนี้…เจ้าเย่จั้งผู้นี้กลับอาจหาญถึงขั้นทำลายถ้ำของตน…แม้แต่นางเองก็ยังได้รับข่าวว่าเจ้าเย่จั้งผู้นี้ร่วมรบกับนักพรตสร้างฐานรากจำนวนไม่น้อย ทั้งยังกระตุ้นเอาปราณเลือดของเขาจงเฟิง ก่อให้เกิดเลือดหวนคืนสู่บรรพบุรุษ ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

ทว่า…คนที่นางเซวี่ยเหมยคิดกำจัด ยังไงก็ต้องกำจัดให้ได้!

เซวี่ยเหมยยกมือขวาขึ้นโบก เอ่ยปากเนิบช้า

“ไปเขาจงเฟิง!”

คำพูดนางปล่อยออกไป นางกำนัลและปีศาจเหล่านั้นก็เปลี่ยนทิศทางทันที ไม่กลับเขาจู่เฟิง แต่ตรงดิ่งมายังเขาจงเฟิง ท่ามกลางราตรีมืดมิด เข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็ว

จากการมาถึงของนาง พลานุภาพระลอกหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากร่างของนาง ทำให้นักพรตสร้างฐานรากของเขาจงเฟิงจำนวนไม่น้อยสัมผัสได้ พากันเงยหน้าขึ้น พอเห็นเกี้ยวสีเลือด นัยน์ตาของพวกนักพรตที่เคยร่วมมือกันสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนเหล่านั้นก็ฉายแววดีใจอย่างบ้าคลั่ง

โดยเฉพาะเสินซ่วนจื่อ ถ้ำสถิตที่เขาอาศัยอยู่ตอนนี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง ยามนี้สังเกตเห็นเซวี่ยเหมยบินผ่านไป ร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม ดวงตาเผยแววฮึกเหิม

“เย่จั้ง คราวนี้…ดูสิว่าเจ้าจะไปหลบที่ไหนได้ คนอื่นหวาดกลัวไม่กล้าลงมือกับเจ้า ต่อให้บุรพาจารย์อู๋จี๋จื่อยอมรับในตัวเจ้า แต่นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้ง ทั้งยังเป็นลูกสาวที่รักของบุรพาจารย์อู๋จี๋จื่อ นางต้องการฆ่าเจ้า แม้แต่บุรพาจารย์เองก็ไม่คิดยื่นมือเข้ายุ่ง!”

“เย่จั้ง เจ้าตายแน่!”

ตลอดทั้งเขาจงเฟิง ยามนี้เงียบสงัด ทว่าหากตั้งใจฟังจะได้ยินเสียงลมหายใจที่พยายามสะกดกลั้นของคนไม่น้อย ราวกับเป็นความเงียบก่อนพายุฝนฟ้ากระหน่ำจะมาเยือน

เมื่อเกี้ยวโลหิตเข้ามาใกล้ ไม่นานก็มาหยุดอยู่กลางอากาศบนถ้ำของเซวี่ยเหมย เซวี่ยเหมยที่นั่งอยู่ในเกี้ยวก้มหน้าลงมองถ้ำที่พังทลาย ลมหายใจของนางถี่กระชั้นน้อยๆ สะบัดร่างกลายเป็นรุ้งเส้นยาวตรงดิ่งลงไปยังถ้ำเบื้องล่าง

สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เศษซากก้อนหินก็บินกระจายออกทันที หลังจากจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว นางก็มองเห็นว่าบนค่ายกลที่พังทลายมีขวดสีเลือดแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ

นางเงียบงันไปครู่ใหญ่ ไอดุร้ายที่ลอยขึ้นมาบนร่างยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไอดุร้ายนี้ระเบิดออกอย่างรวดเร็วกลายเป็นพลังอำนาจระลอกหนึ่งแผ่ครั่นครืนไปทั่วด้าน สามารถมองเห็นได้รำไรว่ารอบกายนางปรากฏเป็นน้ำวนเก้าชั้น

น้ำวนเก้าชั้นนี้ก็คือปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงเก้ารอบของวิถีดิน ขณะที่มันหมุนวนอย่างต่อเนื่องก็กลายมาเป็นพายุบ้าคลั่งขนาดใหญ่ยักษ์ ขณะเดียวกันกับที่ทำให้คนไม่น้อยตะลึงพรึงเพริด เสียงของเซวี่ยเหมยที่แฝงไว้ด้วยจิตสังหารไร้ที่สิ้นสุดก็ดังไปทั่วสี่ทิศ

“เย่จั้งอยู่ที่ไหน?”

เสินซ่วนจื่อสังเกตดูการกระทำของเซวี่ยเหมยอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ยินเสียงนี้ เขาจึงเป็นคนแรกที่พุ่งออกไป รีบบินเข้ามาใกล้เซวี่ยเหมย ประสานมือโค้งตัวต่ำ ตอนที่เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความฮึกเหิม สะกดกลั้นความตื่นเต้น รีบเอ่ยปากว่องไว

“นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยโปรดจัดการให้พวกเราด้วย เย่จั้งผู้นั้นดุร้ายเกินจะเปรียบ กระหายเลือดเป็นสันดาน ก่อกรรมทำชั่วไปทั่ว ไม่เพียงแต่ทำลายถ้ำสถิตของท่าน ฆ่าสหายร่วมสำนักไปไม่น้อย ทั้งยังแย่งถ้ำของข้า ยามนี้เขาอยู่ในถ้ำของข้า ข้าน้อยยินดีนำทางให้กับนายหญิงน้อย!”

สายตาของเซวี่ยเหมยกวาดมองไปที่ร่างของเสินซ่วนจื่อหนึ่งครั้ง สายตานั้นทำให้ใจเสินซ่วนจื่อสั่นวาบ รีบก้มหน้าลง นำทางไปทันที ตรงดิ่งไปยังถ้ำที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่

นักพรตสร้างฐานรากจำนวนไม่น้อยรอบด้านพากันแอบตามหลังไปเงียบๆ ดวงตาแต่ละคนแฝงไปด้วยความอำมหิต ต่างก็ต้องการเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะถูกนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยกำจัดอย่างไร

“เจ้าเย่จั้งผู้นี้ตายแน่!”

“หึ ดูสิว่าจะมีหน้ากำเริบเสิบสานอีกไหม เขาสามารถรังแกพวกเรา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านายหญิงน้อยเซวี่ยเหมย เขาก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง!”

“นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้ง ชื่อเสียงเขย่าคลอนไปทั่วโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออกช่วงล่าง ในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนที่ชื่อเสียงเล่าลือแล้ว ใครจะยังสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยได้อีก?”

คนพวกนี้ยิ่งฮึกเหิมมากกว่าเดิม ติดตามไปเงียบๆ ไม่นานก็มาถึงนอกถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน

“นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมย เจ้าคนชั่วนั่นอยู่ที่นี่!” เสินซ่วนจื่อกัดฟันพูด ความเกลียดที่เขามีต่อป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อผ่านเหตุการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าจึงได้ซึมลึกเข้าไปในกระดูกแล้ว

สายตาของเซวี่ยเหมยกวาดมองบนหน้าใบของต้นไม้โลหิตนอกถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน เพียงแค่มองครั้งเดียว ใบหน้าของต้นไม้โลหิตเหล่านั้นก็เบิกตากว้างขึ้นทันที ตัวสั่นเทา ทว่ากลับไม่กล้าพูดอะไร เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้สึกว่านายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าเย่จั้ง

ไม่เพียงแต่ไม่กล้าพูด ทั้งยังกระโดดถอนรากของตัวเองหลีกทางให้ทันควัน เผยให้เห็นบ่อเลือดและถ้ำสถิตที่อยู่ข้างบ่อเลือด

จิตสังหารในดวงตาของเซวี่ยเหมยกลายเป็นปราณเลือดลอยกระจายออกไปด้านนอก ก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในพื้นที่แห่งนี้ จนกระทั่งมาปรากฏอยู่กลางอากาศบนถ้ำสถิตของป๋ายเสี่ยวฉุน มือขวายกขึ้น นิ้วเรียวยาวขาวราวหยกเนื้อดีพลันกลายเป็นสีเลือดตบลงไปเบื้องล่างโดยตรง

การตบครั้งนี้ตลอดทั้งเขาจงเฟิงสั่นสะเทือน ค่ายกลที่เคยปรากฏขึ้นเมื่อครั้งบุรพาจารย์ลงมือในวันนั้นเผยตัวออกมาอีกครั้ง หลังจากเปล่งแสงกะพริบวิบวับอยู่หลายที ปราณเลือดจำนวนมากที่ระเบิดออกก็มารวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นรูปดอกเหมยสีเลือดหนึ่งดอกอยู่ใต้ร่างของเซวี่ยเหมย

แล้วพุ่งเข้ากระแทกลงไปบนถ้ำสถิต!

ถ้ำสั่นไหวรุนแรง ค่ายกลปรากฏขึ้น พยายามต่อต้าน ทว่าดอกเหมยสีเลือดดอกนั่นน่าตื่นตะลึงมากเกินไป รวบรวมเอาปราณเลือดจากแปดทิศ ราวกับต้องการปราบค่ายกลแห่งนี้ ทำให้ค่ายกลของถ้ำต่อต้านได้เพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจก็พลันดับแสงลง การโจมตีของเซวี่ยเหมยจึงกระแทกลงไปจังๆ

เสียงตูมตามดั่งสนั่นหวั่นไหว สั่นสะเทือนไปสี่ทิศ ทุกคนที่อยู่รอบด้านมองเห็นด้วยความฮึกเหิมว่าบัดนี้ถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันถล่มทลาย แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ก้อนหินจำนวนมากมายลอยกระเด็น

“นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยมากบารมี!!”

“ฮ่าๆ เย่จั้ง เจ้า…” ขณะที่ทุกคนกำลังไชโยโห่ร้อง ทว่ากลับค้นพบอย่างรวดเร็วว่าด้านในไม่มีคนอยู่…

เซวี่ยเหมยทำเสียงขึ้นจมูกหนึ่งครั้ง มือขวายกขึ้นอีกรอบ ชี้ไปที่บ่อเลือดด้านข้าง ปราณเลือดระลอกหนึ่งพลันระเบิดเข้าหาบ่อเลือด วินาทีที่บ่อเลือดแห่งนี้ถูกโจมตี มันก็สั่นคลอนแล้วพังทลายลง ร่างหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากในบ่อเลือด ซึ่งก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน

“ทุกคนล้วนเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ มีอะไรก็พูดกันดีๆ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวา เขากำลังบำเพ็ญตบะอยู่ในบ่อเลือดดีๆ ได้ยินเสียงกัมปนาทจากด้านนอก ยังไม่ทันได้สังเกตอย่างละเอียด บ่อเลือดก็ระเบิดออก ยังดีที่เขาวิ่งได้เร็ว ไม่ถูกลูกหลง แต่ก็ผวาอยู่ไม่น้อย รู้ว่าบนร่างของเซวี่ยเหมยผู้นี้ต้องมีของวิเศษลึกลับอะไรบางอย่างที่สามารถปกปิดลมปราณได้ มิฉะนั้นก่อนหน้านี้เขาไม่มีทางสัมผัสไม่ถึงแม้แต่นิดอย่างแน่นอน

เซวี่ยเหมยไม่พูดไม่จา สีหน้าราบเรียบ ราวกับว่าในสายตาของนาง นอกจากคนบางจำพวกแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นเพียงมดตัวน้อย และเห็นได้ชัดว่าคนบางจำพวกที่ว่านี้ไม่รวมเย่จั้งอยู่ด้วย

ยามนี้ยกมือขวาขึ้นชี้ไปอีกครั้ง การชี้ครั้งนี้ อันดับแรกทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสถึงวิกฤต นั่นคือการระเบิดเก้าครั้งจากน้ำขึ้นน้ำลงวิถีดินเก้ารอบ

มองดูแล้วเป็นเพียงแค่การชี้นิ้วครั้งเดียว ทว่าในความเป็นจริงกลับแฝงเร้นไว้ด้วยพลังทับซ้อน พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็โกรธเหมือนกัน เขารู้สึกว่าทุกคนต่างก็เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหมือนกัน มีเรื่องอะไรก็สามารถปรึกษากันได้ ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดเช่นนี้ ยามนี้ปราณเลือดตลอดทั้งร่างแผ่ออก มือขวายกขึ้นจับไปที่ด้านหลัง กระบี่โลหิตเล่มหนึ่งก่อตัวขึ้นมาเองทันใด เมื่อคว้าจับไว้ได้ก็ตวัดฉับลงไปปะทะกับปราณเลือดจากนิ้วที่ชี้ลงมา

เสียงกัมปนาทดังสะเทือน เขย่าคลอนไปสี่ด้าน ก่อให้เกิดพลังโจมตีแผ่กระจายออก ผมของป๋ายเสี่ยวฉุนปลิวสยาย ดวงตาของเซวี่ยเหมยเผยประกายแปลกใจออกมาเป็นครั้งแรก ร่างกายไม่ขยับ แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง

“มีความสามารถจริงเสียด้วย ทว่าพลังภายนอกก็คือพลังภายนอก ปราณเลือด ผนึก!” ขณะที่นางเอ่ยปากราบเรียบ มือขวาก็ทำมุทราชี้ไปที่พื้น การชี้ครั้งนี้ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดจากการลงมือของบุรพาจารย์ผู้นั้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนบังเกิดขึ้นอีกครั้ง

ปราณเลือดรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนพลันส่ายไหว ทั้งยังกระจัดกระจายออกไปเอง มองปราดเดียวเขาก็เห็นว่าพื้นดินรอบด้านปรากฏตราประทับค่ายกลก่อนหน้านั้นขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่าเซวี่ยเหมยไม่สามารถควบคุมตลอดทั้งเขาจงเฟิงได้อย่างอู๋จี๋จื่อ ทว่ากลับสามารถควบคุมพื้นที่รอบด้านนี้เอาไว้ได้

“ตอนนี้เจ้าก็คือมดตัวหนึ่ง” เซวี่ยเหมยเอ่ยปากด้วยความนิ่งสงบ สะบัดร่างหนึ่งครั้งพุ่งเข้าเข่นฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยซฉุนหน้าถอดสี ปราณเลือดรอบด้านถูกยับยั้งเอาไว้อย่างแท้จริง แต่หากเขาคิดจะปลดพันธนาการ เขาก็ย่อมทำได้ เพียงแต่ว่าการทำเช่นนี้จะเป็นการเปิดเผยความลับบางอย่างที่เขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ออกมา

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง พริบตาเดียวคนทั้งสองก็ปะทะเข้าหากัน ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูด ไฟโทสะยิ่งมากกว่าเดิม มองเห็นว่าในดวงตาของเซวี่ยเหมยผู้นั้นอบอวลไปด้วยไอสังหาร นางทำมุทราอีกครั้ง กลายเป็นดอกเหมยสีเลือดหนึ่งดอกตรงดิ่งเข้าหาตน

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววเย็นยะเยียบ ความช่างก่อกวนของเซวี่ยเหมยผู้นี้มีมากกว่าซ่งเชวียหลายเท่านัก เป็นศัตรูตัวฉกาจที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพบเจอเป็นคนแรกหลังจากสร้างฐานราก ยามนี้ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการอย่างไรดี ทันใดนั้นเสียงหัวเราะยั่วเย้าเสียงหนึ่งพลันดังมาจากสี่ทิศ

“นี่มันลมอะไรกันหนอถึงได้พัดนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยของเรามาถึงที่นี่ได้ ทำไมล่ะ ถูกใจศิษย์น้องเย่จั้งของข้าเข้าแล้วหรือไง?” เสียงหัวเราะนั้นแฝงไว้ด้วยความเกียจคร้าน ขณะที่มันดังก้องไปรอบทิศ เงาร่างของผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิง ซ่งจวินหว่านก็มาปรากฏกายอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน นางเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่แล้ว แต่ชุดนี้ออกจะเล็กไปเสียหน่อย ไม่สามารถห่อหุ้มเรือนร่างของนางไว้ได้ เหมือนเป็นอาภรณ์ที่ไว้สวมใส่เวลาพักผ่อน ส่วนเว้าส่วนโค้งเห็นเด่นชัด ผิวขาวนวลราวหิมะ เร่าร้อนยั่วยวน…

ขณะที่พูด ดอกเหมยสีเลือดนั่นแข็งค้างอยู่กลางอากาศ ส่วนซ่งจวินหว่านที่เยื้องกรายลงมานั้นเส้นผมโบกสะบัด แผ่กลิ่นหอมอบอวล ตลอดทั้งร่างราวกับลูกท้อที่สุกงอมเต็มที่ ทำให้นักพรตสร้างฐานรากจำนวนไม่น้อยรอบด้านสำลักลมหายใจ ปากคอแห้งผากก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็รีบก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้ามองความเย้ายวนที่อาจนำไปสู่ความตายนั้น

มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองอยู่หลายที เอ่ยปากอย่างกล้ำกลืน ทำท่าทางของคนถูกรังแก

“ศิษย์พี่หญิงซ่ง…หากท่านมาช้าอีกนิด ชีวิตน้อยๆ ของข้าคงหายไปแล้ว”

——-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version