บทที่ 207 มารเย่ชื่อเสียงขจรไกล…
“มารเย่?” ได้ยินเสียงกรีดร้องของใบหน้าบนต้นไม้โลหิตเหล่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อึ้งงัน เขาไม่รู้ว่าเวลาหนึ่งวันมานี้ จากการที่ความโหดร้ายของเขาถูกเล่าลือต่อๆ กันไป ได้มีคนไม่น้อยแอบเรียกเขาว่ามารเย่ไปแล้ว
ยามนี้ใบหน้าบนต้นไม้โลหิตกรีดร้องไม่หยุด ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกรำคาญจึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง
“หุบปาก!”
เสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความโหดร้าย ทำเอาต้นไม้โลหิตพวกนั้นตกใจจนตัวสั่น รีบเก็บเสียงทันที ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ใบหน้าเผยความหวาดกลัว แต่ละต้นกระโดดโหยงดึงเอารากออกมาจากพื้นดิน รีบหนีไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นเส้นทางสายเล็กหนึ่งเส้น
“เสินซ่วนจื่อ เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง เชิดคางขึ้น เอ่ยปากเนิบนาบ น้ำเสียงดังไปสี่ทิศ หลังจากคนมากมายได้ยินใจก็หายวาบ
เสินซ่วนจื่อที่อยู่ในถ้ำยิ่งหน้าเผือดสี นัยน์ตาฉายความคลุ้มคลั่ง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เหงื่อเย็นๆ หยดลงต่อเนื่อง
“เย่จั้ง เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก!!” เสียงแหลมสูงของเขาดังลอยออกมาจากในถ้ำ
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เหยียบย่างเข้าไปในพื้นที่ต้นไม้โลหิต พลานุภาพสยบของค่ายกลจากถ้ำแห่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกคุกคามเล็กน้อย ยามนี้ได้ยินคำตอบของเสินซ่วนจื่อ เขาก็วางมาดเย็นชา จงใจบีบให้ปราณเลือดกระจายตัวออกมาด้านนอก พริบตาเดียวปราณเลือดรอบด้านก็โหมซัดอบอวล เริ่มก่อตัวกลายมาเป็นหมอก
ภาพนี้ทำให้ใบหน้าบนต้นไม้โลหิตยิ่งสั่นเทิ้ม ทว่ากลับไม่กล้ากรีดร้อง แต่ละต้นตัวลีบเข้าหากัน สีหน้าตะลึงพรึงเพริด
ส่วนนักพรตสร้างฐานรากรอบด้านที่สังเกตเห็นภาพนี้ก็มองปราณเลือดเข้มข้นบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความหวาดหวั่นเช่นกัน เสินซ่วนจื่อที่อยู่ในถ้ำยามนี้สีหน้าซีดเผือด หัวเราะสังเวชตนเอง นัยน์ตาเผยความคลุ้มคลั่ง ขณะที่กำลังเตรียมสู้ตายต่อกรกับอีกฝ่าย เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่แฝงไว้ด้วยความดุร้ายก็ดังลอยไปทั่วสี่ทิศ
“ข้าผู้แซ่เย่จะให้เวลาเจ้าสามชั่วลมหายใจ รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ ถ้ำแห่งนี้เป็นของข้าแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พูดด้วยความโอหัง รู้สึกว่าประโยคนี้ของตัวเองช่างพูดได้มีพลังอำนาจยิ่งนัก
“เย่จั้ง ข้าจะสู้ตายกับ…หืม? พูดจริงรึ!!” ในถ้ำ ตบะตลอดร่างของเสินซ่วนจื่อระเบิดออก กำลังจะใช้พลังทั้งหมดควบคุมค่ายกลของถ้ำเพื่อสู้ตายกับป๋ายเสี่ยวฉุน พลันได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างชัดเจน ดวงตาของเขาเบิกตากว้างทันที เผยความตะลึงระคนดีใจ คล้ายไม่อยากเชื่อ
“หนวกหู ข้าผู้แซ่เย่พูดคำไหนคำนั้น บอกว่าจะเอาถ้ำของเจ้า วันนี้ถ้ำแห่งนี้ก็ต้องเป็นของข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางขึ้น พูดอย่างลำพองใจ
เขาเพิ่งจะพูดออกไป ประตูใหญ่ของถ้ำพลันเปิดกว้าง ร่างของเสินซ่วนจื่อลอยออกมาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ ปากก็เปล่งคำพูดออกมา
“เย่จั้ง แม้ว่าสำนักธาราโลหิตของเราจะเป็นสำนักมาร ทว่าก็เน้นย้ำในคำพูดที่มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ อยู่ต่อหน้าสหายนักพรตมากมายเช่นนี้ หากเจ้าตระบัดสัตย์ ย่อมถูกคนดูหมิ่น ชีวิตนี้จะไม่มีใครเชื่อเจ้าอีก!” เสินซ่วนจื่อกลัวนี่นา เขากลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะแสร้งทำเป็นปล่อยตัวเองออกมาเพื่อจะได้ลงมือกับตนได้ง่ายขึ้น ยามนี้จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแหลมคม ทั้งยังโยนแผ่นหยกที่ใช้ควบคุมถ้ำออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเผ่นหนีไปไกล
เขานึกไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ต้องการถ้ำของเขาเท่านั้น ไม่ได้คิดเอาชีวิตของเขา แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ มีความรู้สึกเหมือนรอดชีวิตหลังจากเจอภัยพิบัติ
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน รับเอาแผ่นหยกมา มองเสินซ่วนจื่อที่โกยแนบออกไปไกลด้วยสายตาแปลกใจ แต่ก็เข้าใจแจ่มแจ้งได้ทันที ปลงอนิจจังอยู่กับตัวเอง ไม่ได้สนใจนัก เดินเข้าไปในกลุ่มต้นไม้โลหิต
ต้นไม้โลหิตพวกนั้นพอเห็นว่าเปลี่ยนเจ้านายก็หน้าบานเป็นกระด้ง พากันประจบประแจง
“นายท่านมารเย่บารมีไม่ธรรมดา ใต้หล้าไร้ศัตรู”
“ไต้เท้ามารเย่อัจฉริยะและมีแผนการล้ำลึก แค่ยื่นมือออกไปก็คว้าความยิ่งใหญ่เผด็จการเอาไว้ได้!”
ได้ยินคำพูดของใบหน้าบนต้นไม้โลหิตเหล่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนทำหน้าเคร่งขรึม มองพวกเขาด้วยดวงตาเย็นชา ทว่านัยน์ตากลับเผยแววให้กำลังใจ ใบหน้าบนต้นไม้โลหิตเหล่านั้นแรกเริ่มยังกระวนกระวาย ทว่าพอมองเห็นแววให้กำลังใจในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละตนก็ปลุกความกล้าหาญ เอ่ยป้อยอต่อไป ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัวถอนหายใจ
“ข้านี่มันยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ต้องมีคนคอยยกย่องสรรเสริญ น่าปวดหัวจริงๆ แถมข้าก็ขัดขวางไม่ได้ด้วย” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังทอดถอนใจ คำประจบสอพลอจากต้นไม้โลหิตเหล่านั้นก็ยิ่งมีมาก
“แค่มารเย่ปรากฏตัว ใต้หล้าก็ไร้มาร!”
“แค่มารเย่กวาดตามอง ผู้หญิงทุกคนก็หลงใหลทันที…”
“แค่มารเย่ถอนหายใจ นภากาศก็ขาดสีสัน!”
ภายใต้การยกยออย่างสุดชีวิตของต้นไม้โลหิตมากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไปในถ้ำของเสินซ่วนจื่อด้วยใจเบิกบาน หลังจากมองเห็นว่าปราณเลือดเข้มข้นของที่นี่เทียบเคียงได้กับน้ำตกที่ซ่งเชวียอยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งพอใจ
หุ่นเชิดเจ็ดแปดตนรอบด้านถวายคำนับพร้อมกัน หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจัดระเบียบในถ้ำเรียบร้อย เขาก็อยู่อาศัยอย่างสงบสุข
ไม่นานเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแย่งชิงเอาถ้ำของเสินซ่วนจื่อมาก็แพร่ไปทั่วเขาจงเฟิง กระจายต่อไปทั่วสำนัก สำหรับความอำมหิตของเย่จั้งจึงเกิดเรื่องเล่าลือชุดใหม่ขึ้นมาอีกระลอก
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งเดือนมานี้ เรื่องราวเกี่ยวกับเย่จั้ง หลังจากที่ก่อตัวสะสมมาอย่างต่อเนื่อง ทุกตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรในขอบเขตตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตจึงรับรู้กันหมด
ต่างก็รู้กันว่าในสำนักธาราโลหิตมีบุคคลเหี้ยมโหดเกินจะเปรียบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ทั้งยังใช้พละกำลังของคนคนเดียวเปิดศึกกับสร้างฐานรากทั้งกลุ่ม จู่โจมสังหารคนเจ็ดแปดคนเพื่อกระตุ้นปราณเลือดของเขาจงเฟิงให้มารวมตัวกันเป็นกระบี่โลหิตน่าครั่นคร้าม
โดยเฉพาะเลือดหวนคืนสู่บรรพบุรุษก็ยิ่งเขย่าคลอนจิตใจของทุกคน
“คนผู้นี้นิสัยแปลกประหลาด ไม่สามารถคาดเดาได้ เดี๋ยวๆ ก็ระเบิดอารมณ์ฆ่าคน เดี๋ยวๆ ก็ปล่อยไปง่ายๆ นิสัยเช่นนี้ยากที่จะเดาใจได้…”
“ขนาดบุรพาจารย์อู๋จี๋จื่อแห่งสำนักธาราโลหิตยังออกปากเองว่าเด็กคนนี้มีความเป็นมาร…สามารถรอดชีวิตมาได้จากน้ำมือของป๋ายเสี่ยวฉุน เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา!”
“แม้แต่ซ่งเชวียก็คล้ายจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา น่าเสียดายที่เขาแค่สร้างฐานรากวิถีดิน มิฉะนั้นต้องยิ่งแข็งแกร่งมากกว่าเดิมแน่นอน!”
“เรื่องแค่นั้นจะไปสำคัญอะไร ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสใหญ่ของทั้งสี่เขาล้วนแย่งตัวคนผู้นี้กันอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายคือผู้อาวุโสใหญ่ซ่งจวินหว่านของเขาจงเฟิงที่ทุ่มเทโดยไม่เสียดายสิ่งตอบแทนจนได้ตัวคนผู้นี้ไป…”
ขณะที่ข่าวคราวเกี่ยวกับเย่จั้งแพร่ไปทั่วขอบเขตของสำนักธาราโลหิต ก็ยังได้เผยแพร่ออกไปตามช่องทางต่างๆ ทำให้แม้แต่สำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถที่กำลังเปิดศึกกันก็ยังได้ยินเรื่องนี้ด้วย
สำนักธาราเทพอยู่ติดกับสำนักธาราโลหิตจึงยิ่งรู้รายละเอียดลึกซึ้ง เมื่อชื่อของเย่จั้งได้เผยแพร่ไปในสำนักธาราเทพเป็นครั้งแรก กระจายไปทั่วชายฝั่งเหนือใต้ ทำให้ลูกศิษย์สำนักธาราเทพจำนวนนับไม่ถ้วนพากันตื่นตระหนก
“เย่จั้ง? ไม่เห็นจะจำได้…” แม้ว่ากุ่ยหยาจะปิดด่านแต่ก็ยังได้ยินเรื่องนี้ ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นานมาก แต่ก็นึกไม่ออกว่าเย่จั้งของสำนักธาราโลหิตที่อยู่ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตคือใคร
ซ่างกวานเทียนโย่วเองก็ไม่ต่างกัน ขบคิดอยู่นานมาก แม้จะจำไม่ได้ ทว่ากลับให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ในใจยิ่งมากด้วยความไม่ยินยอม เขารู้ว่าในยุคของเขา ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจปรากฏตัวเพิ่มขึ้นทุกวัน หากไม่อยากถูกคัดออก ก็มีเพียงทำให้ตัวเองยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
“เย่จั้ง…” โจวซินฉีสูดลมหายใจเข้าลึก สำหรับเรื่องราวในสำนักธาราโลหิต สำนักธาราเทพได้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ใจของโจวซินฉีเองก็หวาดผวาไม่ต่างจากคนอื่น โดยเฉพาะได้ยินว่าเย่จั้งคนเดียวเปิดศึกกับสร้างฐานรากจำนวนมาก เหตุการณ์นี้ทำให้โจวซินฉีกัดฟัน บำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากมากขึ้น
และยังมีเป่ยหันเลี่ย หลู่เทียนเหล่ย สวีซง รวมไปถึงกงซุ่นอวิ๋น ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้ไม่เพียงแต่ถูกเรื่องของเย่จั้งกระตุ้น แม้แต่พวกเจ้าสำนักเองก็ไม่ต่างกัน สำหรับนักพรตสร้างฐานรากคนหนึ่งที่สามารถเปิดศึกกับคนระดับเดียวกันได้ทั้งกลุ่ม แม้ว่าพวกเขาจะใส่ใจ แต่ที่ยิ่งใส่ใจมากกว่านั้นกลับเป็นเลือดหวนคืนสู่บรรพบุรุษ
“เจ้าเย่จั้งผู้นี้หากเติบโตต่อไป ต้องกลายมาเป็นภัยพิบัติที่ไม่เล็กแน่นอน…”
“เพิ่มกำลังคนออกไปตามหาป๋ายเสี่ยวฉุน ตั้งแต่เจ้าเด็กคนนี้จากไปก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่เหลือร่องรอย แม้แต่พวกผู้พิทักษ์ที่สำนักส่งออกไปก็ยังไม่พบปราณของเขา”
ขณะที่ฝ่ายสูงและศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราเทพพากันตื่นตะลึง ในส่วนของลูกศิษย์ฝ่ายในที่ได้ยินเรื่องราวของเย่จั้ง กลับมีคำพูดดูถูกออกมาเสียมากกว่า
“เจ้าเย่จั้งนี่จะร้ายกาจแค่ไหนกันเชียว สู้อาจารย์อาป๋ายของเราได้หรือ?”
“นั่นสิ หากอาจารย์อาป๋ายลงมือ เจ้าเย่จั้งนี่ก็ต้องวอดวายทันทีทันใด!” คำพูดประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้วมาจากปากของพวกโหวเสี่ยวเม่ยและจางต้าพั่ง โดยเฉพาะสวีเป่าไฉที่ยิ่งกระตือรือร้นป่าวประกาศ
เพื่อพิสูจน์ว่าเย่จั้งที่เลื่องชื่อขึ้นมาใหม่ผู้นี้ แค่ป๋ายเสี่ยวฉุนดีดนิ้วก็สามารถทำลายได้ โหวเสี่ยวเม่ยยังถึงขั้นไปสอบถามโหวอวิ๋นเฟยที่ปิดด่านอยู่ด้วย
“เย่จั้ง? ตอนนั้นคนที่ล้อมโจมตีเสี่ยวฉุนมีมากเกินไป จำเขาไม่ได้เลย” โหวอวิ๋นเฟยคิดอยู่นานก็ยังคิดไม่ออก จึงเอ่ยปากพร้อมเสียงหัวเราะ
“ข้าก็ว่าแล้ว พี่เสี่ยวฉุนเก่งที่สุดแล้ว ท่านพี่ ท่านว่าตอนนี้พี่เสี่ยวฉุนอยู่ที่ไหนหรือ ทำไมถึงหาเขาไม่เจอสักที เขาจะมีอันตรายหรือเปล่า” โหวเสี่ยวเม่ยดีใจมาก ทว่าก็ต้องหดหูอย่างรวดเร็ว
โหวอวิ๋นเฟยลูบศีรษะของโหวเสี่ยวเม่ย ทอดสายตามองไปไกล เนิ่นนานถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก เจ้าหมอนี่…ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ที่ต้องเป็นกังวลน่ะไม่ใช่เขา แต่เป็นพวกคนดวงซวยที่อยู่รอบกายเขานั่นต่างหาก…ตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจมีคนไม่น้อยกำลังเก็บกดใกล้จะเป็นบ้าเพราะเขาก็ได้”
โหวเสี่ยวเม่ยนึกถึงเรื่องราวในอดีตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะออกมาทันที สูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ใบหน้าขาวนวลแดงปลั่งน้อยๆ นางรู้ว่าตนต้องยิ่งขยันฝึกบำเพ็ญตบะ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น บางทีในอนาคต…นางกับป๋ายเสี่ยวฉุน ถึงจะมีความเป็นไปได้
ขณะที่ชื่อเสียงของเย่จั้งโด่งดังไปสี่ทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังฝึกบำเพ็ญตบะอยู่ในบ่อเลือด ยืมปราณเลือดที่เข้มข้นแห่งนี้มาฝึกวิชาเนื้อคงกระพันขั้นที่สอง
เวลาเดียวกันนั้น น้ำของแม่น้ำทงเทียนหยดนั้นที่อยู่ในมหาสมุทรวิญญาณชั้นหนึ่งของเขาได้หลอมละลายไปแล้วเกินครึ่ง ไม่นานเท่าไหร่ก็น่าจะละลายได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นี่หมายความว่าเขาได้ฝ่าทะลุสร้างฐานรากขั้นต้น ขณะเดียวกันก็หมายความว่ามหาเวทควบคุมคนของป๋ายเสี่ยวฉุนพัฒนาไปอีกก้าว สามารถทดลองตามวิธีที่จินตนาการไว้มากมายซึ่งก่อนหน้านี้ทำไม่ได้
ส่วนเนตรทงเทียนตรงหว่างคิ้วของเขา แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้ ทว่ากลับยังคงก่อตัวอยู่กลางหว่างคิ้วตลอดเวลา ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื่อว่าเมื่อดวงตาที่สามของตนเปิดขึ้น พลานุภาพจะต้องมากขึ้นยิ่งกว่าที่เคยเป็นแน่นอน
ยังมีชนาเขย่าภูเขา ภายใต้การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องของป๋ายเสี่ยวฉุน นอกถ้ำของเขามักจะมีเสียงดังกัมปนาทอยู่เสมอ นั่นจึงยิ่งทำให้เขาเริ่มคุ้นเคยมากขึ้น
สำหรับการศึกษาพลังแม่เหล็ก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ละทิ้งเหมือนกัน แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะยังไม่บรรลุ แต่เขาก็เชื่อว่าวิชานี้ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังผลักและพลังดูด ใจของเขาก็เต้นกระหน่ำ
“นี่หากข้าศึกษาจนเข้าใจ ต่อไปใครคิดจะฆ่าข้า แข็งแกร่งกว่าข้า แค่ข้าชี้นิ้ว อีกฝ่ายก็ไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้ อ่อนแอกว่าข้า เพียงข้ากวักมือ เขาก็บินเข้ามาหาด้วยตัวเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกมาถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นจนดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายวิบวับ
——