Skip to content

A Will Eternal 206

บทที่ 206 ชื่อเสียงแห่งความโหดร้ายเป็นที่เลื่องลือ

เลยช่วงพลบค่ำมาแล้ว ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า เพียงแต่ว่าดวงจันทร์นี้หากมองจากนอกสำนักธาราโลหิตจะเป็นสีขาว แต่เมื่อเงยหน้ามองจากในสำนักธาราโลหิตกลับเป็นสีชาด

แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาก็เป็นสีเลือดเช่นกัน ปกคลุมไปทั่วสำนักธาราโลหิต ทำให้ตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตมองดูแล้วเต็มไปด้วยความน่าครั่นคร้าม

หากลูกศิษย์ของสำนักอื่นมาเห็นต้องจิตใจสะท้านไหวอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ในสำนักธาราโลหิตได้ช่วงหนึ่งแล้วจึงคุ้นชินนานแล้ว

ใช้แสงจันทร์นำทาง ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินอยู่บนยอดเขาจงเฟิง รอบด้านมีแต่ซากปรักหักพัง พื้นดิน ต้นไม้ ถ้ำสถิตจำนวนไม่น้อยล้วนพังถล่มทลาย รอบด้านก็ยิ่งเงียบสงัด ความวุ่นวายเมื่อตอนกลางวันทำให้ชื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดออกไปทั่วเขาจงเฟิงแห่งนี้ เขย่าคลอนทุกคนที่ได้ยิน

สำหรับสำนักธาราโลหิตแล้ว เนื่องจากถือหลักปลาใหญ่กินปลาเล็ก ดังนั้นจึงยิ่งต้องให้ความเคารพยำเกรงผู้ที่แข็งแกร่ง

และเมื่อผ่านศึกตอนกลางวันนั้นมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เผยให้เห็นถึงความโหดเหี้ยม บ้าคลั่ง กระหายเลือด ทั้งหมดนี้…สร้างความทรงจำที่ลึกล้ำให้แก่ทุกคน คนคนหนึ่งต่อสู้กับนักพรตสร้างฐานรากหลายสิบคน ทั้งยังฆ่าคนไปถึงเจ็ดแปดคน เรื่องนี้แม้จะเป็นในสำนักธาราโลหิตก็ยังหาได้ยากยิ่ง ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายเป็น…ฝันร้ายสำหรับคนมากมายไปเสียแล้ว

ไม่มีใครสงสัยอีกว่าเขาไม่ใช่ศิษย์ของสำนักธาราโลหิต หากคนแบบนี้ยังไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้นคนอื่นคงรู้สึกเหลือเชื่อ…

“ข้าไม่ชอบการรบราฆ่าฟันจริงๆ นะ…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังปลงอนิจจังกับตัวเองก็มาถึงหน้าถ้ำของเขา มองซากปรักหักพังที่ถูกคนอื่นทำลายย่อยยับ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจเฮือก นั่งอยู่ด้านข้าง ครุ่นคิดว่าพรุ่งนี้ตนค่อยไปเลือกถ้ำใหม่ก็แล้วกัน

คืนหนึ่งผ่านไปอย่างเงียบสงบ…

คืนนี้จิตใจของนักพรตหลายคนบนยอดเขาจงเฟิงล้วนหวาดผวาพรั่นพรึง ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันได้กลายมาเป็นฝันร้ายของพวกเขาอย่างแท้จริง พวกเขากลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมาแก้แค้น แต่ละคนที่อยู่ในถ้ำจึงเปิดใช้ค่ายกลทั้งหมดที่มี ทว่าก็ยังคงไม่เป็นสุขอยู่ดี และยังมีบางส่วนที่หนีออกจากเขาจงเฟิงไปหลบอยู่ที่อื่น

และความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นในเขาจงเฟิงรวมไปถึงการระเบิดอารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนวันนี้ ก็ได้แพร่ไปทั่วทั้งสำนักธาราโลหิตภายในค่ำคืนเดียว เขาเส้าเจ๋อเฟิง เขาซือเฟิง เขาอู๋หมิงเฟิง นักพรตสร้างฐานรากของทั้งสามเขานี้มีทั้งคนที่ได้เห็นกับตาของตัวเอง และมีบางส่วนที่ได้ยินเขาพูดมาอีกที ทุกคนต่างก็กริ่งเกรง

“คนคนเดียว ต่อกรกับสร้างฐานรากหลายสิบคน?”

“ถึงขนาดขัดคำสั่งของบุรพาจารย์ด้วย?”

“ภายใต้การจับตามองของคนมากมาย ถึงขนาดฆ่าคนไปเจ็ดแปดคน!! บีบให้คนที่เหลือจำต้องร่วมมือกันสร้างค่ายกลเพื่อรักษาชีวิต!”

คำเล่าลือ ความบ้าคลั่งมากมายส่งต่อกระจายไปทั่วทั้งสี่ยอดเขาของสำนักธาราโลหิตภายในค่ำคืนนี้

หรือแม้แต่ลูกศิษย์ฝ่ายในที่อยู่ในส่วนหลังมือก็ยังได้ยินเรื่องราวของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรวดเร็ว แต่ละคนตะลึงพรึงเพริด โดยเฉพาะในคำเล่าลือครั้งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ถูกวาดภาพให้เป็นปีศาจคลั่งจอมกระหายเลือด ทำให้ในสมองของลูกศิษย์ฝ่ายในส่วนใหญ่ล้วนจินตนาการถึงภาพความอำมหิตมากมายเกินจะนับ

“เจ้าเย่จั้งผู้นี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว เขาฉีกคนทั้งเป็น ดื่มเลือดสดพลางสังหารคนไปด้วย!!”

“ข้าได้ยินมาว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่นักพรต แต่เป็นผีร้ายแปลงกายมา เป็นผีร้ายที่มีผิวหนังสีเขียว!”

“คนผู้นี้มีพละกำลังมหาศาล พลังพุ่งชนของเขาสามารถเขย่าคลอนภูเขาทั้งลูกได้!”

คำเล่าลือพวกนี้ยิ่งส่งต่อก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เป็นช่วงกลางคืนก็ยังคงมีการแพร่กระจายต่อๆ กันไปไม่หยุด ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนรู้แล้วว่านับจากนี้ไป…ในสำนักธาราโลหิต มีบุคคลอีกคนหนึ่งที่ไม่ควรไปหาเรื่อง คนผู้นี้ชื่อว่าเย่จั้ง!

เมื่อฟ้าสว่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาทั้งคู่ขึ้น ขณะที่เดินอยู่บนเขาจงเฟิง ข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขาก็ยิ่งแพร่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ตลอดทั้งสำนักธาราโลหิต แม้แต่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกก็ยังได้ยินเรื่องนี้ หรือยังถึงขั้นใช้วิธีการมากมายส่งต่อเรื่องที่เย่จั้งโดดเด่นขึ้นมาไปตามตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรนอกสำนักธาราโลหิตด้วย

สามารถนึกภาพได้ว่า อีกไม่นานเท่าไหร่ ชื่อของเย่จั้งก็จะเป็นที่เลื่องลือไปถึงสำนักอื่น…

ไม่พูดไม่ได้ว่าในเรื่องของการถ่ายทอดข่าวนั้น สำนักธาราโลหิตกระตือรือร้นยิ่งกว่าสำนักธาราเทพ อาจเป็นเพราะเส้นประสาทของลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตนั้นตึงแน่นอยู่ตลอดเวลา ยากที่จะหาความบันเทิงใดๆ ได้ บวกกับที่มีความกระตือรือร้นอย่างถึงที่สุดกับเรื่องของผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นเมื่อมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนใหม่กำเนิดขึ้นมาจึงให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ

ในจุดนี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินอยู่บนทางเส้นเล็กของยอดเขาจงเฟิงก็ได้ประสบกับตัวเองแล้ว ตลอดทางมานี้นักพรตสร้างฐานรากทุกคนที่มองเห็นเขาล้วนหน้าเปลี่ยนสี หลายคนที่เข้าร่วมการต่อสู้เมื่อวานจะรีบเผยรอยยิ้มเป็นมิตรออกมาทันที ประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกซาบซึ้งใจอีกครั้ง เขารู้สึกว่าในที่สุดก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นถึงคุณค่าของตนเอง หาความรู้สึกอย่างเมื่อตอนอยู่ในสำนักธาราเทพเจอ ดังนั้นจึงแย้มยิ้ม พยักหน้าน้อยๆ

ทว่ารอยยิ้มของเขาเพิ่งปรากฏ นักพรตสร้างฐานรากที่แสดงความเป็นมิตรต่อเขาเหล่านั้นกลับเบิกตากว้าง คล้ายไม่อยากเชื่อ และยังมีบางส่วนที่ถึงขนาดถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว เผยความตื่นตะลึงและสงสัย

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน รีบวางมาดเย็นชาโหดร้ายออกมาทันที มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเย็นเยียบ ท่าทางเช่นนี้ของเขาถึงได้ทำให้นักพรตสร้างฐานรากเหล่านั้นผ่อนลมหายใจ คล้ายรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเหมาะสมกับเย่จั้งในความรู้สึกของพวกเขา

“ข้าเป็นคนดีนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจอยู่ในใจ ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงทำหน้าเคร่ง รักษาความเย็นชาดุร้ายเอาไว้ เดินไปทางไหนก็ถลึงตาใส่คนที่เจอหนึ่งครั้ง แลกมาด้วยความเคารพยำเกรงจากผู้คนมากมาย

ตลอดทางนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาบ่อยจนรู้สึกเหนื่อย จนกระทั่งมาถึงหอเรือนที่รับผิดชอบการเลือกถ้ำ ยังไม่ทันที่เขาจะเดินเข้าไปใกล้ ผู้เฒ่าที่อยู่ด้านในซึ่งก่อนหน้านี้ไม่แยแสเขาก็เดินออกมาคารวะรับหน้าอย่างกระตือรือร้นทันที

หลังจากรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมาเลือกถ้ำใหม่ ผู้เฒ่าคนนั้นตะลึงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นท่าทางก็แตกต่างไปอย่างที่เคยเป็นโดยสิ้นเชิง ขมีขมันหยิบเอาตำราม้วนออกมาด้วยความตั้งใจอย่างถึงที่สุด เปิดให้ป๋ายเสี่ยวฉุนดูด้วยตัวเอง

“ศิษย์น้องเย่เจ้าว่าตรงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ถ้ำแห่งนี้สภาพแวดล้อมหรูหรางามสง่า ปราณเลือดก็ไม่ธรรมดา!”

“แล้วก็ยังมีตรงนี้ ที่นี่เคยเป็นถ้ำของผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งเชียวนะ ปกติแล้วข้าไม่เอาออกมาให้ใครดูหรอก…”

“ตรงนี้ล่ะเป็นอย่างไร? ข้าจำได้ว่าที่นี่ข้าทิ้งหุ่นเชิดเอาไว้หลายตัวเลย” หลังจากผู้เฒ่าคนนี้แนะนำด้วยความตั้งใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปลดปลงอยู่ในใจ ทว่าสีหน้ากลับเย็นชาดุจเดิม มองถ้ำทุกแห่งอย่างละเอียด หัวคิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ถ้ำเหล่านี้แม้จะดีกว่าถ้ำที่พังถล่มของเขาอยู่ไม่น้อย ทว่าก็ยังแย่กว่าพื้นที่ที่เขาเคยเห็นว่ามีปราณเลือดเข้มข้นพวกนั้นอยู่มาก

เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ผู้เฒ่าทำท่าจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดชะงักลง หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็มองป๋ายเสี่ยวฉุน นึกถึงผลงานการต่อสู้เมื่อวานของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงกัดฟัน เอ่ยปากด้วยเสียงเบา

“ศิษย์น้องเย่ อันที่จริง…เจ้าไม่จำเป็นต้องมาเลือกถ้ำหรอกนะ”

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ทำท่าใคร่ครวญ ผู้เฒ่าจึงกดเสียงลงต่ำอธิบายให้ชัดเจนอีกครั้ง

“สำนักธาราโลหิตของเราเคารพผู้แข็งแกร่ง ถ้ำมากมาย…ไม่ได้เลือก แต่แย่งเอามา เจ้าชอบถ้ำของใครก็แค่แย่งมา มันก็จะเป็นของเจ้า”

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย รู้ว่าตัวเองอยู่สำนักธาราเทพมานาน ตัวตนแท้จริงของเขาไม่ใช่คนของสำนักธาราโลหิต ดังนั้นในด้านความคิดจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะตามไม่ทันไปบ้าง มิฉะนั้น เรื่องนี้เขาก็คงคิดได้เองนานแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง วางมาดอำมหิตต่อ พยักหน้าให้กับผู้อาวุโสเบาๆ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หมุนกายจากไป ในใจรู้สึกฮึกเหิมเล็กน้อย ความรู้สึกเช่นนั้นคล้ายเป็นความคาดหวังหลังจากได้แหกกฏข้อห้าม

ผู้เฒ่ามองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน ปลงอนิจจังไม่น้อย รู้สึกว่าเย่จั้งผู้นี้หากไม่ใช่สร้างฐานรากวิถีมนุษย์ ถ้าเช่นนั้นอนาคตของคนผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้จะเป็นสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ ความเหิมเกริมอหังการเช่นนั้น เขาก็ไม่ยินดีที่จะไปยั่วยุหาเรื่อง

เดินอยู่บนทางภูเขา ความห้าวเหิมในใจป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรุนแรงมากขึ้น สายตาของเขากวาดมองไปรอบด้าน หัวใจเต้นดังโครมคราม

“ความรู้สึกเช่นนี้ก็คือ…ขอแค่ข้าเห็นแล้วถูกใจ ก็แย่งมาได้เลย? ไม่ว่าจะเป็นอะไร ขอแค่ฝีมือของข้าแข็งแกร่งก็สามารถแย่งชิงมาได้ตามใจชอบ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก เรื่องแบบนี้เขาไม่เคยทำมาก่อนที่สำนักธาราเทพ ยามนี้ราวกับได้กินผลไม้ต้องห้าม เดินหาไปทั่วเขตนิ้วส่วนล่างของเขาจงเฟิงอยู่นาน ในที่สุดตอนเที่ยงเขาก็ถูกใจถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้ยึดครองอาณาบริเวณไม่น้อย รอบด้านมีต้นไม้โลหิตมากมายโอบล้อมให้กลายเป็นโลกส่วนตัว

บนต้นไม้โลหิตเหล่านั้นมีใบหน้าครบทั้งหู ตา จมูก ปาก และลิ้น แม้จะหลับตา ทว่ากลับให้ความรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความพิลึกพิลั่นและน่าสะพรึงกลัว แม้จะยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ก็สร้างความหวาดผวาในใจคนได้แล้ว

ไม่มีประตูใหญ่สำหรับเข้าออก มีเพียงทางเล็กๆ หนึ่งเส้น ซึ่งถูกต้นไม้โลหิตเหล่านั้นขวางเอาไว้ เมื่อมองจากที่ไกลๆ สถานที่แห่งนี้มีเส้นเลือดที่กลายมาเป็นหมอกกำลังค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศและกระจายไปทั่วทิศ

มองเห็นแค่เพียงรางๆ ว่าพื้นที่จุดศูนย์กลางของต้นไม้เลือดนี้มีบ่อสีเลือดอยู่หนึ่งแห่ง ปราณเลือดเข้มข้น รอบด้านมีหินสีเขียวปูเป็นทาง ทั้งยังมีศพหลอมบางส่วนที่ซื้อเอามา พวกมันสวมเกราะเหล็ก กำลังเฝ้าคุ้มครองรอบด้านด้วยความระแวดระวัง

ใกล้กับบ่อเลือดมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ประตูใหญ่เป็นสีขาวเด่นสะดุดตา ด้านบนสลักภาพค่ายกลเอาไว้ ตอนนี้กำลังเปิดใช้เต็มกำลัง ส่องประกายวิบวับต่อเนื่อง กระตุ้นทุกสิ่งที่อยู่รอบบริเวณ ทำให้โลกส่วนตัวแห่งหนึ่งกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ลักษณะพลังไม่ธรรมดา

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองโลกของถ้ำแห่งนี้ก็เลียริมฝีปาก ดวงตาทั้งคู่โชนแสง

“เป็นที่ที่ดียิ่งนัก…”

เมื่อก่อนตอนที่เขาขโมยสูดปราณเลือดก็เคยเดินผ่านที่แห่งนี้ พอจะนึกได้ว่าที่นี่เหมือนจะเป็นถ้ำของเสินซ่วนจื่อ และก็เคยถามเย่จั้งตัวปลอมมาก่อน รู้ว่าถึงแม้เสินซ่วนจื่อจะมีตบะอยู่สร้างฐานรากขั้นต้น แต่เนื่องจากเขาฝึกวิชาคาถาฟ้าเพิ่มเติม ทำให้มีความสามารถในด้านการพยากรณ์น่าตกตะลึง แม้แต่สำนักเองก็ยังให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างยิ่ง

อีกทั้งคนผู้นี้ยังสร้างฐานรากวิถีดินสำเร็จในพื้นที่ลึกลับอี้โยว แม้น้ำขึ้นน้ำลงจะไม่มาก แต่ก็พอที่จะทำให้ชื่อเสียงของเขาในสำนักธาราโลหิตเลื่องลือขึ้นไปอีกก้าว

คนประเภทนี้ สามารถครอบครองถ้ำสถิตแห่งนี้มายาวนานก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจอะไร

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนลุกเรือง สะบัดร่างหนึ่งครั้งก็เข้ามาใกล้ทันที และชั่วขณะที่เขาเข้ามาใกล้โลกของถ้ำแห่งนี้ ทันใดนั้นใบหน้าบนต้นไม้โลหิตทั้งหมดพากันลืมตาขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ประกายตารุบหรู่แฝงไว้ด้วยไอสังหาร พริบตาเดียวก็กวาดมองลงมาบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ทว่าเพียงแค่มองเห็น ใบหน้าบนต้นไม้โลหิตเหล่านี้พลันเผยความตะลึงพรึงเพริด ปากก็กรีดร้องโหยไห้

“มารเย่มาแล้ว!!”

“คือมารเย่!!”

“สวรรค์ มารเย่มาแก้แค้นแล้ว นายท่านช่วยด้วย!!”

ในถ้ำสถิต เสินซ่วนจื่อกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทั้งเกลียดทั้งกลัวป๋ายเสี่ยวฉุน ในสมองเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมของอีกฝ่ายเมื่อวาน กังวลว่าอีกฝ่ายจะมาแก้แค้น ยามนี้พลันได้ยินเสียงจากด้านนอก ใจของเขาร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม หน้าเผือดสี

“เขามาจริงๆ ด้วย!!”

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version